อิสลามอันบริสุทธิ์กับอิสลามที่บิดเบือนและความสัมพันธ์ 2 บริบทระหว่างท่านศาสดา(ศ็อล)กับอิมามฮุเซน(อ.)

 

อิสลามอันบริสุทธิ์ กับ อิสลามที่บิดเบือน และความสัมพันธ์ 2 บริบทระหว่างท่านศาสดา(ศ็อล)กับอิมามฮุเซน(อ.)

 

    " ฮุเซนมาจากฉัน และฉันมาจากฮุเซน " คือประโยคอมตะที่ได้ยินได้ฟังกันบ่อยครั้ง   และมีคำอธิบายที่หลากหลายที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) กับ อิมามฮุเซน(อ.)  ตั้งแต่ครั้งที่อิมามยังเยาว์วัย  หนึ่งในคำอธิบายนั้นคือ "ศาสนาอิสลามเกิดขึ้นโดยการประกาศของท่านศาสดามุฮัมมัด  แต่การดำรงอยู่ของศาสนานั้นอยู่ได้ด้วยอิมามฮุเซน(อ.) "

      หลังจากที่ท่านศาสดาประกาศศาสนาแล้วนั้น  ในขณะที่ท่านทำหน้าที่เทศนาธรรม และปฏิบัติศาสนกิจในฐานะศาสนทูต อิมามฮุเซน(อ.)กับอิมามฮะซัน(อ.)จะเข้าไปเล่นใกล้ๆกับท่านศาสดา  บางครั้งในช่วงเวลาที่ท่านกำลังนำนมาซและอยู่ในท่าสูยูดอิมามฮุเซน(อ.)ก็ปีนขึ้นไปขี่บนตัวท่านจนท่านไม่สามารถลุกขึ้นมาได้  แต่ท่านศาสดาจะรอจนกว่าหลานผู้นี้จะลงมาจากหลังของท่านโดยมิได้ว่ากล่าวแต่อย่างใด   ซึ่งการกระทำต่างๆที่แสดงออกต่อหน้าสาธารณชนทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของท่านศาสดากับครอบครัวของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ท่านอิมามอะลี(อ.) ท่านอิมามฮะซัน(อ.)และอิมามฮุเซน(อ.)  ทั้งในฐานะของผู้เป็นตากับหลาน ผู้เป็นพ่อกับบุตรีและบุตรเขย และทั้งในฐานะของศาสนทูตและผู้ศรัทธาชน  หากเรานำมาตรึกตรองให้ลึกซึ้งด้วยกับสถานภาพของความเป็นศาสดาที่มีภารกิจในการประกาศศาสนา ซึ่งในศาสนาอิสลามเชื่อว่าทุกๆอิริยาบถของท่านศาสดาคือแบบฉบับอันดีเลิศที่ถูกรับรองด้วยคัมภีร์อัลกุรอาน แต่การกระทำที่ท่านศาสดาแสดงออกต่ออิมามฮุเซน(อ.)  ตั้งแต่เกิด การตั้งชื่อ การขอดุอาอ์ให้หลานชายคนนี้เป็นที่รักของผู้คน ล้วนมีนัยยะที่ลึกซึ้งมากไปกว่าความรักและความผูกพันของตาที่มีต่อหลาน ซึ่งสิ่งที่จะคลี่คลายภาษากายเหล่านี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ แต่ละช่วงจนกระทั่งถึงวันอาชูรอ

      เมื่อสัจธรรมและความจริงแท้มีเพียงหนึ่งเดียว และเป็นที่ทราบกันว่าภายในศาสนาอิสลาม มีการเผชิญหน้าระหว่าง 2 เส้นทาง คือ 1. อิสลามอันบริสุทธิ์ตามแนวทางของท่านศาสดา กับ 2. อิสลามที่ถูกบิดเบือน   การต่อสู้กันของทั้งสองกระแสนี้มีมาตั้งแต่ยุคต้น  ข้างฝ่ายหนึ่งให้ความศรัทธาและเดินตามแนวทางอิสลามอันบริสุทธิ์ผ่านตัวแทนที่ท่านศาสดาได้แต่งตั้งไว้  ข้างฝ่ายหนึ่งเชื่อในผู้ปกครองที่ใช้ศาสนาอิสลามเป็นเครื่องมือในการรักษาอำนาจ โดยมิได้มีความศรัทธาในศาสนาอิสลามอย่างแท้จริงซึ่งการบิดเบือนศาสนาเกิดขึ้นภายหลังจากท่านศาสดา เมื่อคำสั่งเสียของท่านศาสดาถูกละเลย เมื่อมีบุคคลกลุ่มหนึ่งยึดเข้าอำนาจในการปกครอง และสานต่ออำนาจนั้นโดยเฉพาะในยุคของบนีอุมัยยะฮ์  ที่ภายในโลกอิสลามได้แตกออกเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัด คือ 1.ฝ่ายที่เชื่อว่าท่านศาสดาได้แต่งตั้งอิมามอะลี(อ.)เป็นตัวแทนไว้แล้ว(ศึกษาเหตุการณ์ในฆอดีรคุม) 2.คือฝ่ายที่เชื่อว่าท่านศาสดามิได้แต่งตั้งตัวแทนไว้ จึงรวมตัวกันเลือกท่านอบูบักร์เป็นตัวแทนต่อจากท่านศาสดา (ต่อด้วยท่านอุมัร , ท่านอุสมาน ) ภายหลังจากที่ท่านอุสมานถูกลอบสังหาร ผู้คนในโลกอิสลามต่างพร้อมใจกันเรียกร้อง เชิญให้อิมามอะลี(อ.) เป็นคอลิฟะฮ์คนต่อไป แต่ก็มีผู้คนที่อยู่ภายใต้การปกครองของมุอาวิยะฮ์ ที่เมืองชาม ที่ไม่ยอมรับการเป็นผู้นำของอิมามอะลี(อ.) และมีการสู้รบเกิดขึ้น  ต่อมาเมื่ออิมามอะลี(อ.)เสียชีวิตลง  ตระกูล"บนีอุมัยยะห์"ได้สร้างเงื่อนไขในการยึดอำนาจจากอิมามฮะซัน(อ.)โดยมีข้อตกลงในเรื่องสนธิสัญญาสงบศึกและก็ได้ตระบัดสัตย์ต่อข้อสัญญา  มุอาวิยะฮ์ได้ขึ้นปกครองในฐานะคอลีฟะฮ์และได้แต่งตั้งยะซีดบุตรชายเป็นผู้ปกครองต่อจากเขา และเมื่อยะซีดได้ขึ้นปกครองก็ได้บีบบังคับทำให้อิมามฮุเซน(อ.)ให้สัตยาบันแก่เขา

        ต่อข้อคำถามที่ว่าเหตุใดกลุ่มบุคคลที่สูญเสียผลประโยชน์จากการประกาศศาสนาของท่านศาสดาและเป็นพวกบูชาเจว็ดแบบตระกูลอุมัยยะฮ์ จึงไม่กลับไปบูชาเจว็ดเช่นเดิม เมื่อได้มีอำนาจปกครอง คำตอบคือพวกเขาเล็งเห็นว่าศาสนาอิสลามมีประโยชน์ต่อพวกเขาในการแสวงอำนาจและรักษาอำนาจการปกครองได้ดีกว่าพวกรูปปั้นเจว็ด ศาสนาอิสลามมีศักยภาพในการแสวงหาอำนาจได้ดีกว่า ซึ่งพวกเขาได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอิสลามในตลอดระยะเวลาสิบปีที่ท่านศาสดาปกครองคาบสมุทรอาหรับ และยังกล้าท้าทายจักรวรรดิ์โรมตะวันออกที่เป็นมหาอำนาจในยุคนั้น

     ตลอดระยะเวลาการปกครองของ"บนีอุมัยยะห์" หากผู้ใดที่มีความรักในบรรดาลูกหลานท่านศาสดา จะถูกกลั่นแกล้ง ตัดเงินช่วยจากรัฐ รวมไปถึงมีการทำร้ายกระทำทารุณเพื่อให้เกิดความหวาดกลัวและยอมสวามิภักดิ์กับพวกเขา อีกทั้งให้มีการสาปแช่งอิมามอะลี(อ.)ในช่วงเทศนาธรรมนมาซวันศุกร์ในมัสยิด มีการห้ามมิให้ทำการจดบันทึกหะดิษ(เริ่มตั้งแต่ยุคกาหลิบที่สอง) , มีการเผยแผ่ศาสนาอิสลามในรูปแบบที่พวกเขาต้องการ   , มีการวางรากฐานอย่างต่อเนื่องในการสืบทอดอำนาจ
สนับสนุนความเชื่อในเรื่องการกำหนดสภาวะและลิขิตจากพระเจ้าอย่างสุดโต่ง โดยไม่สนใจถึงหลักคำสอนที่แท้จริง   เมื่อผู้คนในสังคมต่างหลับไหลและศาสนาอิสลามถูกบิดเบือนไปจากคำสอนของท่านศาสดา อิมามฮุเซน(อ.)จึงจำเป็นต้องใช้เลือดของท่านเพื่อปลุกจิตวิญญานของประชาชาติมุสลิมให้ตื่นขึ้น  โดยมีเป้าหมายคือชักชวนให้ผู้คนหวนกลับมาสู่หนทางที่เที่ยงตรง  การเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ของขบวนการอาชูรอจึงเกิดขึ้น

  หากมองเพียงผิวเผิน ผู้คนทั่วไปอาจมองว่ารื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นการแย่งชิงอำนาจการปกครองกันของสองตระกูลระหว่างบนีอุมัยยะฮ์กับบนีฮาชิม  แต่หากวิเคราะห์ลงไปในรายละเอียดแล้ว เป็นการต่อสู้กันระหว่างอิสลามอันบริสุทธิ์  ความเชื่อความศรัทธาที่มาจากต้นทางคือศาสดามุฮัมมัดศาสนาทูตของอัลลอฮ์  และอิสลามที่ถูกบิดเบือนคำสอนทางศาสนาเพื่อผลประโยชน์ทางอำนาจ ซึ่งเส้นทางทั้งสองยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน    บทความนี้เป็นเพียงการขยายความหมายแค่เพียงบางส่วนของประโยคที่ว่า " ฮุเซนมาจากฉัน ฉันมาจากฮุเซน " ทำให้เข้าใจถึงการกระทำของท่านศาสดาในทุกอิริยาบถที่ปฏิบัติต่ออิมามฮุเซน(อ.) ที่มิใช่เพียงแค่การแสดงความรัก ความผูกพันระหว่างตากับหลาน หากแต่ยังเป็นการบ่งบอกถึงภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของผู้ประกาศศาสนาและผู้ปกปักษ์รักษาศาสนาอีกด้วย ซึ่งยังคงมีรายละเอียดอีกมากมายที่ต้องทำการศึกษา

                             ฮุซัยย์นียะซัยยิดุชชุฮะดาอ์
                      มุรฮัรรอม ปี ฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 1444