ยุทธศาสตร์และเป้าหมายของอาชูรอ
ยุทธศาสตร์และเป้าหมายของอาชูรอ
ยุทธศาสตร์และเป้าหมายของอาชูรอในการรำลึกและการปกปักษ์รักษาศาสนาอิสลามอันบริสุทธิ์ ขณะที่การปกป้องเรื่องราวและการรำลึกในทุกรูปแบบคือยุทธวิธี การเข้ามามีบทบาทของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญของศาสนาอิสลาม แม้ภาพรวมภายนอกจะมองว่าพวกเขาก็คือมุสลิม และได้เข้ารับอิสลามตั้งแต่ในช่วงแรกๆภายหลังจากที่ท่านศาสดา(ศ็อล)ประกาศศาสนา แต่หากพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้วจะพบว่าเนื่องจากการเข้ารับอิสลามของพวกเขาเข้ามาด้วยความจำนน ลึกลงไปแล้วพวกเขาเหล่านี้ยังมีระบบความคิดที่ปฏิเสธการเป็นศาสนทูตของท่านศาสดา(ศ็อล) มองว่าศาสนาอิสลามที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเกมการเมืองและการสร้างอำนาจของตระกูลบนีฮาซิม(สายตระกูลของท่านศาสดา) เบื้องลึกของความคิดนี้สามารถสรุปได้จากบทกวีที่ยะซีดได้เคยกล่าวไว้ว่า"มันเป็นเพียงเกมอำนาจของบนีฮาชิมเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วไม่มีวะฮีย์(วิวรณ์)ที่ถูกประทานมาจากฟากฟ้าใดๆทั้งสิ้น"
เมื่อ"บนีอุมัยยะฮ์"มีโอกาสเข้ามามีอำนาจการปกครอง เขาจึงเล่นเกมการเมืองโดยมีการปฏิบัติตนในที่สาธารณะประหนึ่งว่าเป็นผู้ที่ศรัทธาและยึดมั่นในหลักคำสอน ซึ่งแท้จริงแล้วมิได้มีความศรัทธาต่อศาสนาอิสลามแต่อย่างใด แต่จำเป็นต้องใช้ศาสนาอิสลามเป็นเครื่องมือ และทำการออกแบบศาสนาอิสลามในรูปแบบที่เอื้อกับความต้องการของพวกเขา มีการพยายามขยายแนวคิดในการกำหนดสภาวะโดยพระเจ้า(ซึ่งอธิบายว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ถูกกำหนดและถูกลิขิตมาจากพระผู้เป็นเจ้า ฉะนั้นผู้ศรัทธาควรที่จะยอมรับต่อการกำหนดของพระเจ้านี้
และไม่ควรที่จะปริปากทักท้วง อำนาจการปกครองที่เป็นของพวกเขาและการบริหารกิจการงานต่างๆของพวกเขาก็เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาแล้วจากพระเจ้า
ในขณะที่ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์มีเสรีภาพในการเลือกปฏิบัติ) พวกเขาพยายามปลูกฝังให้ความเชื่อนี้หยั่งรากลึกลงไปในสังคมเพื่อประโยชน์ในการรักษาอำนาจของพวกเขาไว้อย่างมั่นคง
นอกจากนั้นมีการสั่งให้บิดเบือนเรื่องราวที่เกี่ยวกับบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ของนบี, ปิดบังความประเสริฐของพวกท่าน, มีการสาปแช่งอิมามอะลี(อ.)ในมัสยิด ผู้ใดที่แสดงความรักหรือยกย่องต่อบรรดาลูกหลานของท่านศาสดาจะถูกตัดเงินช่วยเหลือจากรัฐและถูกกดขี่ข่มเหงต่างกรรมต่างวาระ อีกทั้งมิได้ให้ความสำคัญต่อหลักคำสอนที่แท้จริงตามแบบอย่างของท่านศาสดา มีการปล่อยปละละเลยหลักปฏิบัติที่ออกนอกกรอบของศาสนา อีกทั้งยังมีการปลูกฝังแนวคิดที่เป็นลบต่อลูกหลานของท่านศาสดาให้กับประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ยะซีดบุตรของมุอาวิยะฮ์เข้ามามีอำนาจ ยะซีดดื่มสุราในที่สาธารณะต่อหน้าผู้คน เข่นฆ่าผู้คนบริสุทธิ์ และแสดงตนในลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับหลักคำสอนของศาสนาอิสลามอย่างเปิดเผย
หากปล่อยให้แนวคิดเช่นนี้เกิดขึ้นและขยายตัวออกไปในวงกว้าง ศาสนาอิสลามอันบริสุทธิ์อย่างแท้จริงจะไม่เหลืออะไรเลย สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการกัดกร่อนทำลายล้างศาสนาอิสลามจากภายใน โดยการใช้อำนาจรัฐเป็นเครื่องมือ อิมามฮุเซน(อ.)จึงไม่สามารถยอมรับได้ ท่านจึงต้องการต่อสู้กับกระแสแนวคิดที่เกิดขึ้น เพื่อปฏิรูปสังคมอิสลามให้กลับมาสู่ครรลองของท่านศาสดา แต่เมื่ออำนาจอยู่ในมือของรัฐ การโฆษณาชวนเชื่อ การใช้อำนาจรัฐบีบคั้น กดดัน ให้ประชาชนมีความหวั่นเกรง ทำให้ประชาชนนิ่งเฉย หากใช้คำในยุคปัจจุบันเพื่อให้เห็นภาพคงเปรียบได้กับคำว่า" safe zone " คือแม้จะรู้ว่าความจริงคืออะไรแต่ก็ไม่ออกมาแสดงจุดยืนเพราะไม่อยากเดือดร้อน จนอิมามฮุเซน(อ.)ต้องทำการปลุกจิตสำนึกของประชาชาติมุสลิมด้วยการหลั่งเลือดบนผืนแผ่นดินกัรบาลา
เมื่อรัฐมีอำนาจครอบคลุมความคิดและการกระทำของประชาชนและใช้ทุกวิธีการเพื่อรักษาอำนาจ แม้กระทั่งวีรกรรมในอาชูรอที่เกิดขึ้น ฝ่ายอำนาจรัฐก็ยังพยายามบิดเบือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นทำให้เป็นเรื่องของกบฎที่ต้องการแย่งชิงอำนาจ หรือเป็นเรื่องของความขัดแย้งในอำนาจระหว่างสองตระกูล โดยปิดบังเป้าหมายที่แท้จริง เพราะหากประชาชนได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในผืนแผ่นดินกัรบาลา ย่อมจะพบความจริงได้อย่างไม่ยากนัก หากการเดินทางนั้นเป็นการเดินทางเพื่อต้องการแย่งชิงอำนาจหรือก่อกบฎ ด้วยจำนวนคนเพียงน้อยนิด และมีทั้งสตรีและเด็กทารกจะสามารถเอาชนะรัฐที่มีกองกำลังทหารนับหมื่นได้เช่นไร เมื่อเรื่องราวถูกบิดเบือนจึงเป็นหน้าที่ของเหล่าบรรดาผู้ที่มีความรักในอิสลามและลูกหลานของท่านศาสดาทุกคนที่จะต้องทำให้เรื่องราวในกัรบาลากลายเป็นอมตะ มิใช่เพียงแค่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งบนหน้าประวัติศาสตร์และสูญหายไปตามกาลเวลา หรือเป็นประวัติศาสตร์ที่ถูกเขียนบิดเบือนโดยผู้ชนะ
โดยรากฐานแรกของการรักษาเรื่องราวเกิดจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์คือท่านหญิงซัยนับและอิมามซัยนุลอาบิดีน(อ.) หลังจากนั้นบรรดาอิมามในยุคต่อมาก็ใช้ทุกสรรพกำลัง ทุกสถานการณ์ในการรักษาเรื่องราวบนผืนแผ่นดินกัรบาลาไว้ โดยมียุทธศาสตร์หลักคืออาชูรอส่วนการปกป้องเรื่องราวให้ยังคงเป็นที่รู้จักและยังดำรงอยู่โดยใช้ยุทธวิธีคือการทำพิธีกรรมรำลึกในรูปแบบต่างๆ เช่น การร่ำไห้ / การมะตั่ม /การไปซิยารัตที่หลุมพระศพ/ การบรรยายในมัจลิส / การบอกเล่ากับผู้คนที่พบเจอ/การแต่งดำ/การแต่งบทกวี รวมไปถึงการละอ์นัตหรือสาปแช่งผู้ที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์กัรบาลา (ซึ่งปรากฎอย่างชัดเจนในบทซิยารัตโดยเป้าประสงค์คือเพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้รู้ว่าใครมีส่วนร่วม ลักษณะคนแบบไหนที่เป็นศัตรูกับศาสนา ใครคือกลุ่มที่ต้องการทำลายศาสนาอิสลามอันบริสุทธิ์ ใครคือกลุ่มคนที่กดขี่ข่มเหงและทำร้ายท่านอิมาม รวมไปถึงพวกที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของท่านแล้วได้แสดงความพึงพอใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น )
เรื่องราวของอิมามฮุเซน(อ.)และวีรกรรมอาชูรอคือการเลือกยืนระหว่างฮักก์กับบาติล เตาฮีดกับตอฆูตสัจธรรมกับความมดเท็จ เป็นการสอนให้เราต้องแสดงจุดยืน มีความแข็งกร้าวกับศัตรู อย่าวางเฉยและก้มหัวให้กับคนที่ละเมิดและบิดเบือนศาสนา ศึกษาเรื่องราวของอาชูรอในทุกมิติเพื่อสร้างความเข้าใจถึงเป้าหมายหลักและอุดมการณ์ที่แท้จริงของอิมาม และทำให้ขบวนการอาชูรอเป็นพลวัตที่ขับเคลื่อนอยู่เสมอเพื่อมิให้เรื่องราวจบลงไปพร้อมกับโศกนาฏกรรมในครั้งนั้น .......
ฮุซัยย์นียะห์ซัยยิดุชชุฮะดาอ์
เดือนมุรฮัรรอม ปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 1444