การเมืองกับจิตวิญญาณในอาชูรอ

การเมืองกับจิตวิญญาณในอาชูรอ

" เมื่อคนแบบฮุเซนจะไม่ยอมบัยอัตให้กับคนแบบยะซีด "
 
" ฉันไม่เห็นความตายคือสิ่งอื่นใดเลยนอกเสียจากความผาสุก ส่วนการมีชีวิตอยู่ร่วมกับผู้กดขี่ ข่มเหง และอธรรมนั้น  มิใช่สิ่งอื่นใดเลยนอกเสียจากความอัปยศ "

                                                  อิมามฮุเซน(อ.)
       ชะฮีด(เสียชีวิต)ฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 61 (ค.ศ.680)
ถูกสังหาร ณ. แผ่นดินกัรบาลา โดยกองทัพของราชวงศ์อุมัยยะฮ์

                              
                                       
       เมื่อกล่าวถึงบริบทโดยรวมในเหตุการณ์แห่งอาชูรอ ตั้งแต่การเดินทางออกจากมาดีนะฮ์ของอิมามฮุเซน(อ.) ไปยังเมืองกูฟะฮ์  และถูกสกัดกั้นจนต้องเปลี่ยนเส้นทางไปหยุดพักกองคาราวานที่แผ่นดินกัรบาลา ทั้งหมดนี้เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ามิได้มีเรื่องราวของการเมืองมาเกี่ยวข้อง  เราไม่สามารถแยกตัวเราออกจากการเมืองได้  เมื่อเราดำรงชีวิตอยู่ในสังคม ทุกมิติของการใช้ชีวิตล้วนเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับการเมืองแทบทั้งสิ้น  การเมือง หมายถึง กระบวนการและวิธีการ ที่จะนำไปสู่การตัดสินใจของกลุ่มคนที่มีปฏิสัมพันธ์กัน  เป็นใช้อำนาจแบบสองทางระหว่างฝ่ายที่เป็นผู้ปกครอง (Rulers) และฝ่ายผู้ถูกปกครอง (Ruled) การปกครองที่มีรูปแบบแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นระบอบประชาธิปไตย  เผด็จการทหาร หรือราชาธิปไตย

 

      ในอิสลามมีรายละเอียดมากกว่าแค่ระบบการเมืองที่มีผู้นำ มีรูปแบบและกระบวนการที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับประชาชน รูปแบบการปกครองของอิสลามต้องอยู่ภายใต้ธรรมนูญของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน มีศาสดาและอิมามเป็นผู้ชี้นำ มีเป้าหมายเพื่อผดุงความยุติธรรม และนำพามนุษย์ไปสู่ความผาสุกที่แท้จริง ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่มีหลายมิติตั้งแต่เรื่องปัจเจกที่บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าไปจนถึงเรื่องราวมิติทางสังคมการเมือง ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนผสมผสานกันอย่างแนบแน่น

     ในยุคก่อนผู้คนอาจมองว่าการเมืองเป็นเรื่องที่ไกลตัว  แต่ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นแนวทางชีอะฮ์หรือซุนนี่ต่างก็เข้าใจแล้วว่าศาสนาและการเมืองคือเนื้อเดียวกัน   ศาสนามิได้แยกออกจากการเมือง เช่นในการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านที่นำเอาหลักกฎหมายของศาสนาอิสลามมาเป็นกฎหมายที่ใช้ปกครองในรัฐหรือแม้แต่ไอซิส(Isis) ที่ต้องการนำเอากฎหมายอิสลามมาปกครอง  กลุ่มตอลิบานในอัฟกานิสถานเองก็เช่นกัน  รวมไปถึงชาติรัฐต่างๆที่ใช้กฎหมายชารีอะอ์เป็นรัฐธรรมนูญ โดยมีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับการตีความและค่านิยมทางศาสนาของแต่ละสำนักคิดและแต่ละพื้นที่ในการหยิบยกนำมาใช้   เหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นว่าในอิสลามศาสนาไม่อาจแยกออกจากการเมืองได้

       แต่ในขบวนการอาชูรอ มีรายละเอียดที่ลงลึกไปมากกว่าบริบททางการเมือง  การเดินทางออกจากมาดีนะฮ์ของอิมามฮุเซน(อ.) คือการปฏิเสธการบัยอัต (การให้สัตยาบัน)ต่อผู้ปกครอง คือการแสดงจุดยืนทางการเมืองของอิมาม และการออกมาจากเมืองมะดีนะฮ์ที่ยืนยันต่อการเป็นขบถต่ออำนาจรัฐที่อธรรม ท่านปฏิเสธอำนาจของผู้ปกครองที่อธรรม กดขี่ ข่มเหง  ที่มากไปกว่านั้นคือยะซีด คือผู้ปกครองที่มิได้ยืนอยู่บนบรรทัดฐานของศาสนา ดังนั้นการให้สัตยาบันกับยะซีดถือเป็นการทำลายศาสนาอิสลาม เป็นการละทิ้งหน้าที่ที่ต้องปกป้องพิทักษ์ศาสนา เป็นการละทิ้งหน้าที่ที่ต้องเชิญชวนผู้คนไปสู่หนทางแห่งอัลลอฮ์  ในระหว่างทางอิมามก็ทำการเรียกร้องเชิญชวนให้ผู้คนเข้าร่วมขบวนการในการต่อสู้กับผู้ปกครองที่อธรรม

         ขบวนการอาชูรอ คือ เรื่องราวที่มีบริบททางการเมืองการปกครองที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณอันสูงส่งเป็นจิตวิญญาณแห่งการเป็นบ่าวที่มีความผูกพันต่ออัลลอฮ์อย่างมากถึงมากที่สุด เป็นจิตวิญญาณแห่งการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างเรากับอัลลอฮ์  เป็นจิตวิญญาณแห่งความเสียสละ  ความอดทน  และมอบความไว้วางใจของเราให้กับอัลลอฮ์  คือการมอบหมายชีวิตเพื่ออุดมการณ์บนหนทางของพระเจ้า
เป็นขบวนการที่ให้ความสำคัญในการนมาซ  การอ่านอัลกุรอาน การขอดุอาอ์และการเคารพสักการะต่อพระองค์ถึงขั้นที่ขอเวลาประวิงการรบไว้เพื่อการนี้
หรือแม้แต่ในช่วงเวลาบ่ายของวันอาชูรอท่ามกลางสมรภูมิรบ สิ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับอิมามฮุเซน(อ.)และเหล่าสาวกของท่านคือการนมาซ

       อิมามฮุเซน(อ.)คือแบบอย่างของการเชื่อมโยงสัมพันธ์ตัวตนกับพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์  แม้ว่าจะอยู่สถานการณ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับภยันตราย  และได้เห็นภาพของคนใกล้ชิด  คนในครอบครัว  คนที่รัก ญาติและมิตรสหาย ผู้ติดตาม  ต้องเสียชีวิตไปทีละคนในเวลาไล่เลี่ยกัน แม้จะต้องรู้ว่าหนทางข้างหน้าคือความตาย  แม้จะรู้ว่าครอบครัวลูกหลานจะต้องถูกจับเป็นเชลยในภายหลัง  อิมามก็ยังคงมุ่งมั่นและไม่หวั่นไหว  อิมามยังคงทำหน้าที่และทำข้อสอบนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งมันคือเรื่องราวของจิตวิญญาณอันสูงส่ง เป็นบททดสอบทางความศรัทธาที่มนุษย์มีต่อพระเจ้า ในสถานการณ์ที่วิกฤตที่สุด
ในช่วงเวลาที่สูญเสียชีวิตของคนที่ท่านรัก และในสถาวะที่ไม่เหลือใคร ท่านได้กล่าวว่า" ข้าพระองค์พึงพอใจต่อสิ่งที่พระองค์ทรงกำหนดและสวามิภักดิ์อย่างสิ้นเชิงต่อสิ่งที่พระองค์ทรงมอบหมาย"

      ขบวนการอาชูรอ คือคำตอบว่ายังมีมนุษย์ที่มีความศรัทธาถึงขั้นที่พร้อมที่จะสละชีวิตเพื่อปกป้องพิทักษ์ศาสนา การมีชีวิตอยู่โดยปราศจากอุดมการณ์ในการปกป้องและพิทักษ์ศาสนาคือชีวิตที่ไร้ค่า ขบวนการแห่งอาชูรอคือคำตอบต่อคำถามของมวลมาลาอิกะอ์  เมื่อครั้งที่พระเจ้าจะทำการสร้างมนุษย์ขึ้น เป็นคำตอบต่อข้อถามที่ว่าพระองค์จะสร้างมนุษย์ ผู้ที่จะหลงผิดและไม่เชื่อฟัง ผู้ที่จะหลั่งเลือดซึ่งกันและกันรวมไปถึงเป็นพวกที่จะสร้างความเสียหายขึ้นบนหน้าแผ่นดิน ขึ้นมาทำไม?   พระองค์ทรงตอบว่า"แท้จริงฉันรู้ในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้"  ซึ่งขบวนการแห่งอาซูรอนี่เองที่เป็นคำตอบที่เป็นรูปธรรมของคำถามนั้น.........

                                ฮุซัยนียะห์ซัยยิดุชชุฮะดาอ์
                เดือนมุรฮัรรอม ปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 1444