ไม่มีการบังคับในศาสนาตามทัศนะของชะฮีดมุฏอฮารีย์

ไม่มีการบังคับในศาสนาตามทัศนะของชะฮีดมุฏอฮารีย์


เชคอิมรอน พิชัยรัตน์/เรียบเรียง


มีประโยคหนึ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของ อายะตุลกุรซี ที่รู้จักกัน:
لا إِكْراهَ فِی اَلدِّینِ قَدْ تَبَیَّنَ اَلرُّشْدُ مِنَ اَلْغَیِّ
“ไม่มีการบังคับในการนับถือศาสนา (เพราะ) แน่แท้ทางนำได้กระจ่างชัดจากทางหลงผิดแล้ว”
แน่แท้ทางนำได้กระจ่างชัดจากทางหลงผิดแล้ว หมายความว่าเจ้าจงอธิบายความจริงและสัจธรรมให้เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คน เพราะความจริงและสัจธรรมนั้นชัดเจนในตัวของมันเองอยู่แล้ว
ไม่มีการบังคับในศาสนา หมายถึง ไม่มีการบังคับให้นับถือศาสนาอิสลาม โองการนี้ชัดเจน มีบันทึกไว้ในตำราอรรถาธิบายอัลกุรอานว่า ชายชาวอันซอรคนหนึ่งเคยเป็นคนนอกศาสนา เขามีบุตรชายสองคนนับถือศาสนาคริสต์ ผู้เป็นพ่อมีความรักต่อลูกชายสองคนนี้เป็นอย่างมาก แต่พ่อเป็นมุสลิมและเสียใจมากที่ลูกชายสองคนของเขากลายเป็นคริสเตียน เขามาหาท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ศ็อลฯ) แล้วกล่าวว่า: โอ้ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์! ฉันควรทำอย่างไร? ลูกๆของฉันนับถือศาสนาคริสต์เสียแล้ว ไม่ว่าฉันจะทำอย่างไรพวกเขาจะไม่กลับมาเป็นมุสลิม ท่านอนุญาตให้ฉันบังคับพวกเขาให้เลิกนับถือศาสนาคริสต์แล้วมาเป็นมุสลิมหรือไม่? ท่านศาสดาดำรัสว่า ไม่อนุญาต . لا إِكْراهَ فِی اَلدِّینِไม่มีการบังคับในศาสนา (มัจมูเอะฮ์ออซอร ฮีดมุฏอฮารีย์ เล่ม 20 หน้า 236)
มีบันทึกไว้เกี่ยวกับสาเหตุการประทานโองการนี้ว่า ในเมืองมะดีนะฮ์มีสองเผ่าคือเอาซ์และค็อซร็อจ ทั้งสองเผ่าเป็นชาวมะดีนะฮ์ดั้งเดิม พวกเขาเป็นเพื่อนบ้านกับชนเผ่าใหญ่ชาวยิวหลายเผ่า หนึ่งในเผ่าเหล่านี้คือ บะนีนะฎีร และอีกเผ่าคือ บะนีกุรอยเฎาะฮ์ และยังมีชาวยิวเผ่าอื่นๆ อีกที่อยู่รอบเมืองมะดีนะฮ์
เนื่องจากศาสนาของชาวยิวคือศาสนายูดาย มีคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ จึงพบว่าในหมู่พวกเขามีผู้รู้หนังสือไม่มากก็น้อย ต่างจากชาวเมืองมะดีนะฮ์ดั้งเดิมที่กราบไหว้เจว็ด ไม่ได้รู้หนังสือ และช่วงหลังเองที่เพิ่งมีคนที่รู้หนังสือเพียงไม่กี่คนในหมู่พวกเขา ชาวยิวมีอิทธิพลในเมืองเพราะพวกเขามีวัฒนธรรมและความคิดในระดับที่สูง แม้ว่าศาสนาของ เอาซ์และค็อซร็อจ จะแตกต่างจากศาสนาของชาวยิว แต่ก็ยังได้รับอิทธิพลจากความเชื่อของชาวยิวและบางครั้งพวกเขาก็ส่งลูกๆ ไปเรียนกับชาวยิว จนทำให้ลูกๆ ของพวกเขาเลิกนับถือศาสนาเดิมที่กราบไหว้เจว็ด และกลายเป็นชาวยิว เมื่อศาสดาเข้าสู่มะดีนะฮ์ เด็กเหล่านี้บางคนอยู่ภายใต้การเลี้ยงดูของชาวยิวและนับถือศาสนายูดาย และบางคนไม่เลิกนับถือศาสนายูดาย ในขณะที่พ่อแม่ของพวกเขาเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม เมื่อชาวยิวตัดสินใจว่าจะอพยพออกจากมะดีนะฮ์ เด็กเหล่านั้นก็อพยพไปกับชาวยิวด้วย พ่อแม่ของเด็กเหล่านั้นเข้าพบท่านศาสดามุฮัมหมัดเพื่อขออนุญาตแยกลูก ๆ ของพวกเขาออกจากชาวยิวแล้วบังคับให้พวกเขาเลิกนับถือศาสนายิว และเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม  ทว่าท่านศาสดาไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้น พวกเขากล่าวว่า โอ้ท่านศาสนทูต! ให้เราบังคับพวกเขากลับมานับถืออิสลามหรือไม่? ท่านศาสดาดำรัสว่า ไม่อนุญาต ตอนนี้พวกเขาเลือกแล้วก็จงปล่อยพวกเขาเถิด กล่าวกันว่าโองการนี้ก็ถูกประทานลงมา
 لا إِكْراهَ فِی اَلدِّینِ قَدْ تَبَیَّنَ اَلرُّشْدُ مِنَ اَلْغَیِّ
อีกโองการที่เป็นที่รู้จักกันดี:
 اُدْعُ إِلی سَبِیلِ رَبِّكَ بِالْحِكْمَةِ وَ اَلْمَوْعِظَةِ اَلْحَسَنَةِ وَ جادِلْهُمْ بِالَّتِی هِیَ أَحْسَنُ
“จงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระผู้อภิบาลของสูเจ้าด้วยวิทยปัญญา การตักเตือนที่ดี และการโต้แย้งพวกเขาด้วยวิธีการที่ดีกว่า”
มัจมูเอะฮ์ออซอร ชะฮีดมุฏอฮารี เล่มที่ 20 หน้า: 237
อีกโองการหนึ่ง พระองค์ตรัสว่า:
وَ قُلِ اَلْحَقُّ مِنْ رَبِّكُمْ فَمَنْ شاءَ فَلْیُؤْمِنْ وَ مَنْ شاءَ فَلْیَكْفُرْ”
“จงกล่าวบอกไปเถิดว่า นี่คือสัจธรรมมาจากพระผู้อภิบาลของพวกท่าน ฉะนั้นผู้ใดประสงค์(ที่จะศรัทธา)ก็จงมีศรัทธา ส่วนบุคคลใดประสงค์(ที่จะปฏิเสธ)ก็จงปฏิเสธ”
ดังนั้นโองการนี้กล่าวอย่างชัดเจนว่าการศรัทธาและการไม่ศรัทธานั้นเป็นเรื่องเสรี จึงไม่มีการบังคับ ดังนั้น อิสลามไม่ได้บอกว่าต้องบังคับให้ผู้คนนับถือศาสนาอิสลาม ไม่ใช่ว่า หากพวกเขาเป็นมุสลิมก็ดี ถ้าไม่เป็นมุสลิมก็ฆ่าพวกเขา แต่อิสลามบอกว่าเป็นสิทธิเสรีของพวกเขา ใครปรารถนาที่จะศรัทธาก็ศรัทธา ผู้ใดไม่ปราถนาที่จะศรัทธาก็ไม่ศรัทธา
อีกโองการหนึ่ง:
وَ لَوْ شاءَ رَبُّكَ لَآمَنَ مَنْ فِی اَلْأَرْضِ كُلُّهُمْ جَمِیعاً أَ فَأَنْتَ تُكْرِهُ اَلنّاسَ حَتّی یَكُونُوا مُؤْمِنِینَ
“หากพระผู้อภิบาลของเจ้าทรงปรารถนาละก็ ผู้ที่อยู่ในแผ่นดินทั้งหมดก็คงต้องมีศรัทธาแล้ว เจ้าจะบีบบังคับมนุษย์จนกว่าพวกเขาจะเป็นผู้ศรัทธาอย่างนั้นหรือ?”