บันทึกของ มร.แฮมเฟอร์ สายลับอังกฤษในดินแดนอิสลาม (ออตโตมาน)ตอนที่ 4

บันทึกของ มร.แฮมเฟอร์ สายลับอังกฤษในดินแดนอิสลาม (ออตโตมาน)ตอนที่ 4


รัฐมนตรีว่าการได้มอบหมายหน้าที่ให้ข้าพเจ้าเข้าไปดูแลในบริษัทอินเดียตะวันออก   บริษัทนี้หากมองจากรูปลักษณ์ภายนอก จะเป็นการทำธุรกิจแบบธรรมดาทั่วๆ ไป แต่ในความเป็นจริงนั้น มีเป้าหมายที่ชัดเจนที่แอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ นั่นคือการหาแนวทาง เพื่อที่จะเข้าไปมีอิทธิพล มีบทบาทให้มากยิ่งขึ้นและครอบครองอินเดียและชมพูทวีป
 รัฐบาลอังกฤษมีความเชื่อมั่นว่า อินเดียจะยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของเขาตลอดไป อันเนื่องด้วยในอินเดีย มีชนชาติ เชื้อสาย เผ่าพันธุ์ และภาษาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จึงมองไม่เห็นแม้แต่วี่แววของแนวทางใดๆ ในการปลดปล่อยให้ได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริงได้
สำหรับจีนนั้น รัฐบาลอังกฤษก็มีความเชื่อมั่นเป็นลักษณะนี้เช่นกัน เพราะชนส่วนใหญ่ในประเทศนี้จะนับถือศาสนาพุทธและศาสนาขงจื๊อและในหมู่พวกเขาก็ไม่มีแรงจูงใจและแรงกระตุ้นให้เกิดการลุกขึ้นต่อสู้   ทั้ง 2 ศาสนานั้นเปรียบเสมือนกับศาสนาที่ตายแล้วซึ่งไม่มีชีวิตชีวา ไม่ใส่ใจเรื่องของสังคมและความเป็นอยู่ จะมีเพียงแค่เรื่องจิตวิญญาณเท่านั้น  ดังนั้นแรงจูงใจและแรงผลักดันที่จะเกิดการลุกขึ้นต่อสู้และการปลุกระดมนั้น เป็นไปได้ยากอย่างแน่นอน
 เหตุผลดังกล่าว จึงทำให้รัฐบาลอังกฤษ ไม่ค่อยหวาดวิตกกับ 2 ประเทศดังกล่าวเท่าใดนัก แต่ทว่าในอนาคตภายภาคหน้า อาจจะเป็นไปได้ที่จะมีเหตุการณ์หรือการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น จึงทำให้ฝ่ายเราเองก็ไม่ละเลยและนิ่งนอนใจต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น   โดยเราได้วางแผนในเชิงระยะยาวเอาไว้ ซึ่งมีทั้งการสร้างความขัดสน ยากจน โง่เขลา หรือบางทีอาจจะต้องใช้การแพร่กระจายเชื้อโรค  ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อให้เรามีอิทธิพลมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การดำเนินการตามแผนเดินไปอย่างราบรื่นและไม่มีอุปสรรคปัญหา เราจึงต้องอำพรางตัวของเราและปกปิดเจตนารมณ์เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน  แต่ความเป็นจริงแล้วมันเต็มไปด้วยความลุ่มลึกและมั่นคง
 ลักษณะการเช่นนี้สอดคล้องกับคำสุภาษิตคำหนึ่งของพุทธศาสนาที่ว่า : “หวานเป็นลม ขมเป็นยา”  นั่นหมายความแม้ว่ายาจะขมสักเพียงใด เราก็ต้องทำให้ผู้ป่วยปรารถนาที่จะรับประทานยาด้วยความหวาน  ดังนั้นเราจึงต้องดำเนินการอย่างละเอียดในทุกๆ ขั้นตอน