บทเรียนการรู้จักศัตรู(นัฟซู) ตอนที่ 3

 บทเรียนการรู้จักศัตรู(นัฟซู) ตอนที่ 3

ดังที่เคยกล่าวไปแล้วว่าศัตรูที่น่ากลัวที่สุดนั่นคือนัฟซูของเราเอง อารมณ์ใฝ่ต่ำและแรงปรารถนาด้านมืดของตัวเราเองคือศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด  การที่เราต่อสู้กับมันนั้นคือการทำสงครามอันยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นการญิหาดในหนทางของพระองค์ มีผู้คนมากมายที่ผ่านสมรภูมินี้  ผู้ที่ถูกสังหารในหนทางแห่งการต่อสู้อันศักดิ์สิทธิ์นี้อยู่ในสถานภาพของชะฮีดเช่นกัน
ผู้ที่ทำสงครามใหญ่กับนัฟซูมีอยู่ 3 จำพวกด้วยกัน
1.พวกที่พ่ายแพ้ราบคาบโดนจับเชลยของนัฟซู- บุคคลจำพวกนี้เป็นบุคคลที่น่าละอาย คือยอมแพ้ ยอมศิโรราบให้กับศัตรู เป็นเชลยของนัฟซู
2.พวกที่ต่อสู้ได้รับชัยชนะเหนือศัตรู - บุคคลในกลุ่มนี้คือสุดยอดของนักรบ เพราะการต่อสู้กับตัวเองมิใช่เรื่องง่าย ถ้าถึงระดับขั้นทึ่เอาชนะได้แสดงว่าเขาคือผู้ที่ได้ไปถึงยังเป้าหมายที่สูงส่งในหนทางพระองค์แล้ว
3.พวกนี้คือพวกที่เป็นส่วนใหญ่ของสังคม ในบางเวลาแม้จะมีเสียงกระซิบกระซาบภายนอกจากชัยฏอน และต้องต่อสู้กับนัฟซูภายในตนเอง  แพ้บ้างชนะบ้างแต่สู้ไม่ถอย อดทนและไม่เคยยอมแพ้แบบศิโรราบเหมือนพวกที่หนึ่ง การตายของบุคคลในประเภทนี้อยู่ในในฐานะชะฮีดเช่นกัน
บันไดขั้นแรกในการต่อสู้กับนัฟซู ก็คือ"ยักฆ์เซาะฮ์"- หมายถึงการตื่นรู้  คือถ้าเรายังไม่ตื่น เราจะออกไปต่อสู้ไดัอย่างไร การตื่นในที่นี้มิใช่การตื่นจากการนอน แต่เป็นการตื่นจากการหลับใหลภายในจิตใจ ในขณะที่เราทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ เรากินข้าว เราไปซื้อของ เราเดินเหินไปได้ทั่วแต่สติของเรายังไม่ตื่น ตาของเราลืมแต่สมาธิของเรายังหลับอยู่ ในคัมภีร์อัลกุรอาน {ศึกษา ซูเราะฮ์อะอ์รอฟ : 179 } กล่าวประณามมนุษย์กลุ่มหนึ่งไว้อย่างรุนแรง "เราได้ให้บังเกิดสำหรับญะฮันนัม ท่วมท้นไปด้วยมนุษย์และญิน เขามีหัวใจแต่ไม่ใช้ประโยชน์ที่จะนำมาเข้าใจ เขามีดวงตาแต่ไม่ใช้มันในการมองเห็น เขามีหูแต่ไม่ใช้ฟัง พวกเขาเหล่านึ้เปรียบเสมือนเดรัจฉานแต่เลวร้ายยิ่งกว่า( เพราะมีสติปัญญาแต่ไม่ใชั  ไม่ใช้หัวใจในเรื่องของสัจธรรม) พวกมันเหล่านี้เป็นพวกที่หลับใหล”  
         การที่จะต่อสู้ในสงครามนี้ต้องปลุกตัวเองให้ตื่น ต้องรู้ก่อนว่าทำไมยังหลับใหล?  บางครั้งการจะเข้าใจในสิ่งหนึ่งให้ดีขึ้นได้ ต้องเรียนรู้และเข้าใจในสิ่งที่ตรงข้ามกับมัน คือเราสามารถจะรู้จักสิ่งนึงได้จากสิ่งตรงกันข้าม ต้องใช้สิ่งตรงข้ามในการอธิบาย  หากเราตัองการรู้จักการตื่นรู้ให้แจ่มชัด ก็ต้องรู้จักการหลับใหลให้ดี  ซึ่งบางคนการหลับใหลของเขาอยู่ในระดับของชนิดที่ลึกมาก ไม่ได้ต้องการหาความจริง ไม่ได้ต้องการแสวงหาสัจธรรมอะไรเลย {ศึกษา ซูเราะฮ์ อัมบิยาอ์/1 } " เวลาแห่งการคิดบัญชีของมนุษย์ใกล้เข้ามา (ต้องการสื่อให้เห็นถึงว่าวันกิยามัตใกล้มาถึงแล้ว) แต่พวกเขายังหลับใหลอยู่ อยู่ในสภาพที่ผินหลังให้" อัลกุรอานสำทับเตือนแล้ว พวกเขาก็ยังไม่ตื่น คนประเภทนี้จะไปต่อสู้กับนัฟซูได้อย่างไร แสดงว่าชัยฏอนพาดำดิ่งไปลึกมาก มีฮะดิษมากมายที่กล่าวถึงการหลับใหล    มีรายงานจากท่านอิมามอาลี (อ)อาวุธร้ายที่สุดของศัตรูก็คือทำให้หลับใหล  เช่นกันท่านอิมามซอดิก(อ.)ได้กล่าวเตือนให้ระมัดระวังจากการหลับใหล เพราะสุดท้ายแล้วการหลับใหลจะทำให้มนุษย์จะลืมตัวเอง   
        ฉะนั้นคงเห็นถึงความสำคัญของการตื่นรู้แล้ว แม้กระทั่งเรื่องของการเตาบะฮ์ (การกลับตัวกลับใจ) คนที่สามารถไปถึงขั้นที่จะเตาบะฮ์ได้ ต้องผ่านการตื่นรู้ก่อน ต้องเข้าใจก่อนว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นคือบาป แล้วสำนึกผิด หลังจากนั้นจึงค่อยเตาบะฮ์ตัว บรรดาปราชญ์แห่งจิตวิญญาณระดับสูง  เชื่อว่ายักฆ์เซาะฮ์(การตื่นรู้)คือความเมตตาของอัลลอฮ์ เชื่อว่าเป็นความเมตตาจากเบื้องบน เป็นสิ่งที่พระองค์มอบให้ ผู้ที่จะปลุกให้เราตื่นจากการหลับใหลคือพระองค์
  ในบทมูนาญาจ์ต ชะบานิยะฮ์ เป็นดุอาอ์ที่อิมามทุกท่านเคยอ่านรำพัน “โอ้พระผู้เป็นเจ้าของข้า ข้าพระองค์ไม่มีพลังเหลืออยู่  ที่จะออกมาจากการฝ่าฝืนละเมิดต่อพระองค์ (คือจมอยู่กับบาปทั้งมวล) นอกเสียจากว่าพระองค์จะเป็นผู้ปลุกให้ข้าพระองค์ตื่น ในสภาพที่หลงรักพระองค์" ตัวบทของดุอาอ์เองทำให้เราเข้าใจอะไรได้ลึกซึ้งมากมาย   ฉะนั้นเราต้องเข้าใจแก่นของดุอาอ์ และจิตวิญญาณที่แท้จริงซึ่งในบทดุอาอ์นี้ได้สะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า การตื่นรู้มาจากความเมตตาของพระองค์ แล้วถ้าใครได้รับมา มันคือก้าวแรกที่มั่นคงในการต่อสู้กับศัตรูที่มีนามว่า"นัฟซู"


(ขอขอบคุณ จิตรา อินทร์เพ็ญ ในการเรียบเรียง)