รหัสความสำเร็จในการเผยแผ่สาส์นของท่านศาสดามุฮัมหมัด(ศ็อลฯ)

รหัสความสำเร็จในการเผยแผ่สาส์นของท่านศาสดามุฮัมหมัด(ศ็อลฯ)

وَالضُّحَى. وَاللَّيْلِ إِذَا سَجَى(آرام گیرد). مَا وَدَّعَكَ رَبُّكَ وَمَا قَلَى. وَلَلْآخِرَةُ خَيْرٌ لَّكَ مِنَ الْأُولَى. وَلَسَوْفَ يُعْطِيكَ رَبُّكَ فَتَرْضَى. أَلَمْ يَجِدْكَ يَتِيمًا فَآوَى
ก่อนอื่น ขอแสดงความยินดีกับเดือนรอบีอัลเอาวัล โดยเฉพาะวันประสูติอันจำเริญของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) และอิมามญะอ์ฟัร ซอดิก(อ.)
 ประการที่สอง ข้อเท็จจริงที่ว่า หากการประสูติของท่านศาสดายะห์ยา (อ.) และศาสดาท่านอื่นๆ ของพระผู้เป็นเจ้าเป็นที่น่ายินดีและเป็นข่าวดี การประสูติของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ย่อมเป็นที่น่ายินดีและถือเป็นข่าวดีหลายเท่า
 یا زَکَرِیّا انّا نُبَشِّرُکَ بِغلامٍ اسمُهُ یَحیَی لَم نَجعَل لَهُ مِن قَبلُ سَمِیّا(مریم/7)
แม้ว่าสัปดาห์แห่งเอกภาพจะผ่านไปแล้ว แต่ก็ไม่ถือว่าสายเกินไปที่จะแสดงความยินดี และโดยพื้นฐานแล้วการประชุมและสัมมนาครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อจุดประสงค์นี้ ขอแสดงความยินดีอีกครั้งในสัปดาห์อกภาพ อันจะนำมาซึ่งความสมานฉันท์หมู่มุสลลิม 2 พันล้านคนทั่วโลก ด้วยพระประสงค์ของอัลลอฮ์(ซบ.)
 ประเด็นที่สามในการสัมมนาที่ยิ่งใหญ่และเชิงวิชาการครั้งนี้ คือการตั้งคำถามจากอัลกุรอาน ว่าพระเจ้าผู้ทรงอำนาจจะทรงทำตามสัญญาของพระองค์ที่ให้ไว้แก่ท่านศาสนทูต (ศ็อลฯ) อย่างไร? และพระองค์จะทรงทำให้ท่านศาสดาของพระองค์พึงพอใจได้อย่างไร!
ท่านผู้ฟังที่เคารพรักทุกท่านคิดว่ามีโองการใดของอัลกุรอานที่เป็นคำตอบสำหรับคำถามนี้? وَلَسَوْفَ يُعْطِيكَ رَبُّكَ فَتَرْضَى ซึ่งหมายความว่า: โอ้ศาสนทูตผู้ทรงเกียรติ ในไม่ช้านี้เราจะให้เจ้าจนกว่าเจ้านั้นจะพอใจอย่างสมบูรณ์
 พระเจ้าได้ตรัสเช่นนี้กับบรรดาศาสดาและตัวแทนของพระองค์ท่านใดบ้าง?
ความพอใจของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ในโลกนี้และความพึงพอใจของท่านในโลกหน้าเป็นประเด็นที่สำคัญมากซึ่งมีเพียงพระเจ้าผู้ทรงอำนาจเท่านั้นที่สามารถทำให้ความพึงพอใจดังกล่าวบรรลุได้
แท้จริงแล้ว ท่านศาสนทูต(ศ็อลฯ) ต้องการอะไรจากพระเจ้า? บ้าน ลูกๆ ความมั่งคั่งทางโลก ภูเขาทองคำ ชัยชนะเหนือศัตรู หรือแม้แต่กษัตริย์อย่างศาสดาสุไลมาน? สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถยอมรับได้สำหรับศาสนทูตท่านสุดท้าย(ศ็อลฯ)
 โองการอันทรงเกียรตินี้สามารถแสดงถึงการบรรลุความปรารถนาทางโลก(ดุนยา)หรือปรโลก(อาคิเราะฮ์) ความปรารถนาแห่งอาคิเราะฮ์ของท่านศาสนทูต(ศ็อลฯ)ดังที่มีปรากฎในฮะดีษบางบท ดูเหมือนว่าจะเป็นการ "ให้การอนุเคราะห์-ชะฟาอัต" แก่ประชาชาติของท่าน เห็นได้ชัดว่าบรรดาศาสดาแต่ละท่านมาทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จ โดยพยายามชี้นำผู้คนให้เคารพสักการะพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ พวกเขาทั้งหมดจึงปรารถนาให้ทุกคนบนโลกเป็นผู้เคารพสักการะพระเจ้าและเข้าสู่สวรรค์ ในขณะเดียวกันไม่มีการบอกกล่าวแก่พวกเขาว่าพระเจ้าผู้จะทรงทำให้พวกท่านพอใจทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า!
 ดังนั้นการให้การอนุเคราะห์(ชะฟาอัต)แก่ประชาชาติถึงแม้จะเป็นความปรารถนาของศาสดาทั้งหลายก็ตาม แต่ได้ถูกสัญญาไว้กับศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ในตัฟซีรของมัจมะอุลบะยาน และตัฟซีรอื่นๆ รายงานว่ามุฮัมหมัด ฮานาฟิยะฮ์ บุตรชายของอิมามอาลี (อ.) ซึ่งได้กล่าวกับชาวอิรักว่า “ในความเห็นของพวกท่าน โองการที่ให้ความหวังมากที่สุดในคัมภีร์ของพระเจ้าคือโองการที่ 53 บทอัซซุมัร ซึ่งพระองค์ตรัสว่า:
قُلْ يَا عِبَادِيَ الَّذِينَ أَسْرَفُوا عَلَى أَنْفُسِهِمْ لَا تَقْنَطُوا مِنْ رَحْمَةِ اللَّهِ إِنَّ اللَّهَ يَغْفِرُ الذُّنُوبَ جَمِيعًا إِنَّهُ هُوَ الْغَفُورُ الرَّحِيمُ
ชาวอิรักตอบว่าใช่ ในความเห็นของเรา นี่เป็นโองการที่ให้ความหวังมากที่สุดในอัลกุรอาน ทว่ามุฮัมหมัด ฮานาฟิยะฮ์ตอบพวกเขาว่า: แต่เราซึ่งเป็นครอบครัวของท่านศาสดา เชื่อว่าโองการที่ให้ความหวังมากที่สุดในอัลกุรอานคือโองการ " وَلَسَوْفَ يُعْطِيكَ رَبُّكَ فَتَرْضَى " เพราะรางวัลที่พระเจ้าประทานแก่ศาสดาของพระองค์คือ "ตำแหน่งแห่งการอนุเคราะห์-ชะฟาอัต" ที่จะมอบให้ในวันกิยามัต ท่านศาสดา(ศ็อลฯ) จะให้การอนุเคราะห์และบรรดามุสลิมจนกว่าท่านจะพึงพอใจและเปรมปรีดิ์
 สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ไม่เพียงแต่ตำแหน่งการชะฟาอัตนี้จะมีท่านเท่านั้นแต่ยังมีผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งของเรือนร่างของท่าน(ศ็อลฯ)อีกด้วยนั้นคือคือท่านหญิงฟาติมะฮ์(อ.)ที่ได้รับตำแหน่งเป็นผู้ให้การชะฟาอัตอีกด้วย ซึ่งสิ่งนี้ก็ได้เติมเต็มความพอใจแก่ศาสดา (ศ็อลฯ) ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน
สาเหตุการประทานซูเราะฮ์อัฎฎุฮา นั้นคือ วิวรณ์(วะห์ยู)ไม่ถูกส่งลงมายังท่านระยะหนึ่ง ฝ่ายศัตรูก็กล่าวหาว่าพระเจ้าทอดทิ้งท่านศาสดาแล้ว โองการต่างๆ ข้างต้นจึงถูกประทานลงมาเพื่อเป็นการปลอบประโลมท่านศาสดา(ศ็อลฯ) บางทีเหตุผลของการหยุดชะงักของการประทานวิวรณ์(วะห์ยู)นั้นเพื่อที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้ผู้คนเข้าใจว่าทุกสิ่งที่ถูกประทานลงมานั้นมาจากพระองค์ และศาสดาไม่มีสิทธิ์และอำนาจใดในถ้อยคำของวะห์ยู เวลาของวะห์ยู และจำนวนของมัน
 สัญญาณที่แสดงว่าพระเจ้าทรงไม่ทอดทิ้งศาสดาของพระองค์ก็คือในซูเราะฮ์เล็กๆ นี้ “อัฎฎุฮา” คือการกล่าวถึงท่านศาสดาถึงสิบสามครั้งด้วยกัน
 แม้ว่าควรสนใจเกี่ยวกับความปรารถนาทางโลกของศาสดา แต่แน่นอนว่าความปรารถนาเหล่านั้นเป็นปฐมบทที่สำคัญสำหรับปรโลก ซึ่งสามารถหาคำตอบได้ถึงความปรารถนานี้จากซูเราะฮ์ (เกาษัร) เพราะเป็นซูเราะฮ์ที่พูดถึงรางวัลที่ถูกมอบให้และความพึงพอใจที่ได้รับแล้ว
بسم الله الرحمن الرحیم. انّا اعطیناک الکوثر. فصلّ لربّک و انحر. انّ شانئک هوالابتر
ในซูเราะฮ์อันสูงส่งนี้ พระเจ้าตรัสกับศาสดาของพระองค์ว่า เราได้ให้สิ่งที่เราสัญญาไว้กับเจ้าในโลกนี้แล้ว เพราะประการแรก เรามอบสิ่งดีๆ มากมายให้กับเจ้า และประการที่สอง เราทำให้ศัตรูของเจ้าสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ ความดีงามอันมากมายในโองการนี้เป็นเอกฉันท์ระหว่างนักวิชาการชีอะฮ์และซุนนีว่าจากพยานหลักฐานคำว่า "อับตัร" ในตอนท้ายของซูเราะฮ์นี้ หมายถึง "ท่านหญิงฟาติมะฮ์(อ.)”
 อิบนุ อบี อัล-หะดีด มุอ์ตะซีลี ได้บันทึกหะดีษบทหนึ่งไว้ในส่วนของมุสตัดรอกาต กะลิมาตกิศอร ซึ่งอัมร์ บิน อาส ได้ติงท่านอิมามอาลี (อ.) ว่าเหตุใดจึงถือว่า ฮะซัน(อ.)และฮุเซน (อ.) เป็นบุตรของของศาสนทูตของพระเจ้า (ศ็อลฯ)
 อิมามตอบว่า: หากทั้งสองคนไม่ใช่บุตรของท่านศาสนทูตของพระเจ้าแล้วไซร์ ท่านศาสนทูตของพระเจ้าย่อมสูญสิ้นพันธุ์(อับตัร) และอัลลอฮ์ทรงปฏิเสธสิ่งนั้นจากพวกเขา ดังนั้น “เกาษัร” คือการมีอยู่ของท่านหญิงฟาติมะฮ์(อ.) และลูกหลานผู้บริสุทธิ์ของท่าน
 ผู้ฟังที่รักทุกท่าน ท่านต้องยอมรับแน่นอนเลยว่าสงครามวัฒนธรรมและการโฆษณาชวนเชื่อและสงครามนุ่มนวลมีประสิทธิภาพมากกว่าสงครามหนัก อัมร์ อาศ และ มุอาวียะฮ์ ผู้ซึ่งไม่สามารถชนะในสงครามศิฟฟีนที่หนักหน่วงกับอิมามอาลี(อ.) หลังจากผ่านไป 18 เดือน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงเริ่มทำสงครามนุ่มนวล และการโฆษณาชวนเชื่อที่ไม่ดีต่ออิมามอาลี (อ.) และมะดีนะฮ์ ด้วยเหตุนี้ อัมร์ บิน อาศ จึงตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับอิมามอาลี (อ.) ว่า: อาลีเรียกลูก ๆ ของเขา ฮาซัน และฮุเซนว่าเป็นลูกของท่านศาสดา(ศ็อลฯ)ได้อย่างไร? อิมามอาลี (อ.) ได้โต้แย้งที่สวยงามที่สุดแก่เขาด้วยอัลกุรอาน เพราะหากไม่ใช่เช่นนี้ที่ลูกหลานของผู้ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ็อลฯ) จะดำเนินต่อไปผ่าน ท่านหญิงฟาติมะฮ์ (อ.) ซูเราะฮ์ “เกาษัร” ย่อมมีปัญหาและถูกตั้งคำถามอย่างแน่นอน!  ด้วยเหตุนี้อัมร์ อาศจึงต้องนิ่งเงียบไป
 ที่น่าแปลยิ่งคือยังมีผู้คนในโลกอิสลามที่ยอมรับผลรวมของความย้อนแย้งและแม้กระทั่งความขัดแย้ง โดยพยายามหาข้ออ้างต่างๆนาๆมาสนับสนุนทั้งสองอย่าง เมื่อเราเห็นหรือรู้ว่ามุอาวิยะฮ์และอัมร์ บิน อาศได้ยกทัพต่อสู้กับมะดีนะฮ์และคอลีฟะฮ์ที่ 4 และมาต่อสู้กับคอลีฟะฮ์และอิมามในสมัยของพวกเขา เราจะโต้แย้งได้จริงหรือว่าทั้งสองคนถูกและสัจธรรมและด้วยวลีที่ว่า “พวกเขาวินิจฉัยผิดพลาด" ถือว่าทั้งคู่ไม่ผิด? เยาวชนในสังคมอิสลามในปัจจุบันจะยอมรับได้ไหมว่า เช่น มุอาวิยะฮ์และอาลี (อ.) ต่างก็ถูก แต่พวกเขาเอง(อิมามอาลีและมุอาวียะฮ์)ไม่ถือว่าเป็นเช่นนั้น! คนหนุ่มสาวในสังคมของเราทุกวันนี้ยอมรับหรือไม่ว่า "สัจธรรมนั้นอยู่กับผู้ที่ชนะ และการพิพากษาอยู่กับผู้ที่ชนะ และเราอยู่กับผู้ที่ชนะ"?!
 หรือเยาวชนในสังคมจะเราพูดทันที ประการแรก วลีนี้เข้ากันไม่ได้กับระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ประการที่สอง มันเข้ากันไม่ได้กับสามัญสำนึก และประการที่สาม มันเข้ากันไม่ได้กับบทรายงานที่ถูกต้อง แต่วลีนี้ทำให้ มุอาวียะฮ์และอัมร์ อาศ เป็นที่รู้จักเพื่อให้พวกเขาปลอดภัย ซึ่งน่าเป็นที่น่าเสียใจที่บางนิกายได้ทำให้กลายเป็นคำวินิจฉัยที่รู้จักกันหรือนิติศาสตร์ที่รู้จักกัน ตามที่ได้กล่าวไว้ เราได้รวมตัวกันที่นี่เพื่อทบทวนและดำเนินการตามวิธีการโฆษณาชวนเชื่อของอิสลามที่ดีที่สุดเพื่อดึงดูดเยาวชนของเรา ใช่แล้วที่ท่านผู้ฟังที่เคารพ วิธีการเผยแผ่เช่นนี้อยู่นอกเหนือจากวิธีและแนวทางที่ท่านศาสดาของเราได้ทิ้งไว้  และวิธีการเช่นนี้กำลังเผชิญกับความล้มเหลว หากเราไม่สามารถแนะนำเยาวชนของเราด้วยเหตุผลที่ถูกต้องได้ เยาวชนมุสลิมจะถูกดึงดูดไปทางซ้ายและขวาและการมีความคิดที่เบี่ยงเบน
 อย่างไรก็ตาม ด้วยการประทานซูเราะฮ์ “เกาษัร”  ได้แจ้งข่าวเร้นลับสองประการ ได้แก่ การประทานท่านหญิงฟาติมะฮ์ (อ.) ให้ในไม่ช้านี้และการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ของพวก ความต่อเนื่องของสายตระกูลและลูกหลานของศาสนทูตของพระเจ้า (ศ็อลฯ)) จากลูกหลานของท่านหญิงฟาติมะฮ์(อ.)ซูเราะฮ์ “เกาษัร” เป็นซูเราะฮ์ลำดับที่ 15 ที่ถูกประทานลงมา แต่อยู่ในลำดับที่ 180 ของการเรียบเรียงเป็นซูเราะฮ์ที่สั้นที่สุดของอัลกุรอาน
 ฟัครุรซอซี นักวิชาการชาวซุนนีผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า: ความหมายของซูเราะฮ์ก็คือ อัลลอฮ์ทรงประทานลูกหลานแก่ท่านศาสดาที่คงอยู่ตลอดไป ดูเถิดว่าครอบครัวของเขาถูกฆ่าไปแล้วเท่าไร? ในขณะที่โลกเต็มไปด้วยลูกหลานของศาสนทูตของพระเจ้า และไม่มีใครจากตระกูลอุมัยยะฮ์สามารถทัดเทียมท่านศาสดา(ศ็อลฯ)ได้ในเรื่องนี้ และจงพินิจเถิดว่ามีนักวิชาการระดับสูงจากลูกหลานของท่านศาสดามากมายเท่าไร บาเกร,ซอดิก,กาซิม,ริฎอ,นัฟ ซะกียะฮ์ ฯลฯ
 فَانْظُرْ كَمْ قُتِلَ مِنْ أَهْلِ الْبَيْتِ، ثُمَّ الْعَالَمُ مُمْتَلِئٌ مِنْهُمْ، وَلَمْ يَبْقَ مِنْ بَنِي أُمَيَّةَ فِي الدُّنْيَا أَحَدٌ يُعْبَأُ بِهِ، ثُمَّ انْظُرْ كَمْ كَانَ فِيهِمْ مِنَ الْأَكَابِرِ مِنَ الْعُلَمَاءِ كَالْبَاقِرِ وَالصَّادِقِ وَالْكَاظِمِ وَالرِّضَا عَلَيْهِمُ السَّلَامُ وَالنَّفْسُ الزَّكِيَّةُ وَأَمْثَالُهُمْ.
(ตัฟซีร ฟัครุรรอซี เรียบเรียงโดย ฟัคร ราซี เล่มที่ 32 หน้า 124 จัดพิมพ์โดยอัลฟิกร์)
 มีอีกคำถามหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงในที่นี้ว่า อัลลอฮ์ (ซบ.)ไม่สามารถสืบทอดลูกหลานของท่านศาสดา(ศ็อลฯ)ผ่านทางบุตรชายของท่านที่จะมีไปจนถึงวันกิยามัตได้หรืออย่างไร? แล้วทำไมและด้วยเหตุผลสำคัญอะไรที่ลูกหลานของศาสดายังคงดำรงต่อไปผ่านทางสตรีผู้ยิ่งใหญ่แห่งศาสนาอิสลาม ท่านหญิงฟาติมะฮ์(อ.)
 เนื่องจากในสังคมที่การฝังศพเด็กผู้หญิงทั้งเป็น เป็นวัฒนธรรมที่ปกคลุมพวกเขา การมีลูกสาวเป็นสัญลักษณ์ของความอัปยศอดสูและความอับอาย แต่ในสังคมเช่นนี้ ประการแรก อัลลอฮ์(ซบ.)ทรงเอาชีวิตบุตรชายของท่านศาสดาไปตั้งแต่ยังเยาว์วัย ทั้งกอซิมและอิบรอฮีม
 การที่ลูกหลานได้สืบทอดดำรงอยู่ต่อไปจากท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ(อ.) เพื่อนำเกียรติและคุณค่าของผู้หญิง มารดา และครอบครัวมาสู่โลก
 โลกทุกวันนี้ต้องประสบกับอนารยธรรมสมัยใหม่เช่นกันด้วยสโลแกนที่ว่า สตรี,ชีวิตและเสรีภาพ  แต่ในความเป็นจริงแล้วสตรีกำลังถูกฉายภาพแห่งความเป็นทาส ความตกต่ำมาสู่สตรีในสังคม ในความเป็นจริงแล้ว ผู้หญิง ฮิญาบ และจิตวิญญาณต่างหากที่สามารถยกระดับชายและหญิงให้อยู่ในระดับจิตวิญญาณที่สูงในสังคมได้
 เกี่ยวกับแนวทางการเผยแผ่ศาสนาที่ประสบความสำเร็จ ไม่ต้องสงสัยเลยแนวทางที่ประสบความสำเร็จที่สุดของศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ็อลฯ) ซึ่งสามารถดึงดูดผู้คนนับไม่ถ้วนได้คือ "จริยธรรม" ของท่าน انک لعلی خلق عظیم... พระเจ้ายังตรัสอีกว่า فان کنت فظاً غلیظ القلب لانفضوا من حولک กล่าวคือ ถ้าท่านเป็นคนใจร้อน ไร้มารยาท ใจกระด้าง คนรอบข้างก็จะกระจัดกระจายไป
 ท่านผู้เข้าร่วมสัมมนาที่เคารพรัก หากเราไม่สามารถดึงดูดผู้ไม่ศรัทธาเข้าสู่ศาสนาอิสลามได้สักคนนึง นั่นก็เพราะว่ายังห่างไกลจากจริยธรรมแห่งศาสดาอีกมากนั่นเอง
 ท่านทั้งหลาย จงพินิจแนวทางการทูตและการเมืองของท่านศาสนทูต(ศ็อลฯ)แล้ว ว่ามีเกียรติเพียงใดและในขณะเดียวกันก็เป็นสากล สาส์นของผู้ท่านศาสนทูต(ศ็อลฯ)ที่ส่งถึงกษัตริย์แห่งอิหร่าน โคสโรว์ ปาร์เวซ และอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของโรมและอียิปต์ และกษัตริย์แห่งอบิสซิเนีย และที่อื่นๆ ซึ่งเชิญชวนพวกเขาให้มานับถือศาสนาอิสลามและเอกานุภาพแห่งพระเจ้า ท่านได้ทำเกิดมุสลิมประมาณ 2 พันล้านคนในปัจจุบัน แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถรวมประชากรกลุ่มนี้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและเป็นเอกภาพกัน ซึ่งการเป็นเอกภาพของมุสลิมและการปฏิบัติตามศาสนาอิสลามจะเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ทุกคนและไม่เป็นอันตรายต่อใครเลย
 เหตุใดความสามัคคีในหมู่ชาวมุสลิมประมาณ 2 พันล้านคนในปัจจุบันจึงเป็นเรื่องยาก แต่ไซออนิสต์ที่มีจำนวนประชากรเพียงสามถึงสี่ล้านคนสามารถรวมกันและครองโลกได้!
 มีหลายปัจจัยที่ทำให้มุสลิมในโลกปัจจุบันเป็นเอกภาพกันได้ มีพระเจ้าองค์เดียว กิบลัตเดียวกัน กะอ์บะฮ์เดียวกัน ศาสดาองค์เดียวกัน คัมภีร์กุรอานเล่มเดียวกัน เส้นทางเดียวกัน และปัจจัยอื่น ๆ นับพันที่ยังประโยชน์แก่เราทั้งดุนยาและอาคิเราะฮ์ แต่น่าเสียดายที่คนอื่นๆ ที่มีผลประโยชน์ทางโลกเหมือนกันเท่านั้นสามารถเป็นเอกภาพและสามัคคีกันได้ แต่มุสลิมกลับน้อยกว่า! ทำไม? ไม่ใช่เพราะการไม่ให้ความสนใจของนักวิชาการและนักคิดทั้งหลายหรอกหรือ?
 หนึ่งในศักยภาพและความสามารถที่มีอยู่ซึ่งถือได้ไม่เฉพาะในประเทศอิสลามเท่านั้นแต่ยังรวมถึงประเทศที่เป็นมิตรและพี่น้องทั้งหมดด้วยคือพลังแข็งและอ่อนของอิหร่านอิสลามซึ่งสามารถทำให้เกิดการร่วมมือกันมากขึ้น ให้โลกและโลกอิสลามห่างไกลจากความต่าง
 ปัจจุบัน อิหร่านที่นับถือศาสนาอิสลามสามารถหยุดยั้งความโลภและความสวาปามของไซออนิสต์จากปาเลสไตน์และเลบานอนได้ และบังคับให้ไซออนิสต์ย้ายออกจากภูมิภาคนี้ทีละน้อย และอพยพไปยังพาราโกเนียหรือสถานที่ห่างไกล
 ในเวลาเดียวกัน; อนารยชนสมัยใหม่ได้มาถึงจุดนี้แล้ว ได้เผาอัลกุรอานคัมภีร์แห่งพระเจ้า ได้แสดงให้ทุกคนเห็นแล้วว่า อนารยชนสมัยใหม่นั้นเลวร้ายยิ่งกว่าและมีความอดทนน้อยกว่าอนารยชนสมัยเดิมหลายร้อยเท่า
 การเผาอัลกุรอานในยุคอนารยชนสมัยใหม่และดั้งเดิมเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกันที่ไม่สามารถอยู่ถาวรได้ อัลกุรอานเป็นพจนารถของพระเจ้าและพระวจนะของศาสนทูตของพระเจ้า (ศ็อลฯ)เช่นกัน จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์และจะนำทางมนุษยชาติตลอดไป
 แต่เหตุใดที่อนารยชนสมัยใหม่จึงต้องการเผาพจนารถของพระเจ้า เพราะประการแรก คัมภีร์เล่มนี้เป็นปาฏิหาริย์ชั่วนิรันดร์ และประการที่สอง มีสัญญาไว้ในคัมภีร์จากฟากฟ้านี้ว่าบ่าวผู้ชอบธรรมและบ่าวที่ดีของพระเจ้าจะปกครองโลกนี้
وَلَقَدْ كَتَبْنَا فِى ٱلزَّبُورِ مِنۢ بَعْدِ ٱلذِّكْرِ أَنَّ ٱلْأَرْضَ يَرِثُهَا عِبَادِىَ ٱلصَّٰلِحُونَ
(ซูเราะฮ์อัลอันบิยาอ์ โองการที่ 105)

 

บรรยายโดย ดร. นัศรุลลอฮ์ สิคอวะตี ลอดอนี

ถอดความโดย เชคอิมรอน พิชัยรัตน์