อิสลามกับประชาธิปไตย (ตอนที่ 32)

อิสลามกับประชาธิปไตย (ตอนที่ 32)

 


4. ความยุติธรรมเป็นแกนหลัก
ความยุติธรรมเป็นแกนหลัก นั้นโดยเนื้อแท้แล้วเข้ากันได้กับประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งก็คือประชาธิปไตยทางศาสนา อย่างไรก็ตาม อาจไม่มีความสัมพันธ์กับประชาธิปไตยที่ไม่มีศาสนาหรือไม่ใช่ประชาธิปไตยทางศาสนา เพราะจุดกำเนิดของความยุติธรรมไม่ใช่อื่นใดนอกจากศาสนาและธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้น ผู้ที่เพิกเฉยต่อศาสนาเท่ากับเขาไม่ให้ความสนใจกับสัญชาติญาณดั้งเดิมของตน เพียงแต่ทำให้ธรรมชาติของมนุษย์เป็นเกณฑ์และแกนหลักของความปรารถนาทั้งมวล ทั้งที่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตสองมิติ กล่าวคือมิติธรรมชาติและสัญชาติญาณดั้งเดิม:
ปีกนำพาวิญญาณบินสู่เบื้องบน  แต่กรงเล็บยึดกายาไว้เบื้องล่าง
สัญชาติญาณดั้งเดิมอันบริสุทธิ์ของมนุษญ์จะเรียกเขาไปสู่จิตวิญญาณแห่งโลกเบื้องบน แต่ธรรมชาติของมนุษย์ไม่รู้จักสิ่งใดนอกจากวัตถุของโลกเบื้องล่างที่จะเชิญชวนเขายังมัน
 ความผิดพลาดของมนุษย์ยุคเรอเนซองส์ในตะวันตกไม่น้อยไปกว่าความผิดพลาดของเมื่อวาน ในยุคโบราณและยุคกลาง ศาสนาที่บิดเบี้ยวและไม่ถูกต้องได้ขัดขวางผู้คนและไม่อนุญาตให้พวกเขาค้นพบการขึ้นสู่สวรรค์ทางจิตวิญญาณ และในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาวันนั้นมาพร้อมกับชื่อต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น เช่น มนุษยนิยม มนุษย์เข้ามาแทนที่พระเจ้าและทำให้เขาไม่ยอมรับสิ่งใดโดยปราศจากประสบการณ์ นั่นคือ ปัจจุบันนี้ มนุษย์ในโลกตะวันตกได้กลายเป็นปฏิฐานนิยม (positivism)และประจักษ์นิยม (Empiricism)อย่างแท้จริง ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้ตัวเองมีประสบการณ์กับทุกสิ่งแม้แต่ศีลธรรม และจะปฏิบัติตามเมื่อใดก็ตามที่เป็นประโยชน์สำหรับเขา แบบเดียวกับที่เรียกกันว่าเสรีนิยมในปัจจุบัน
 นอกจากจะมีปัญหาทางปรัชญาอย่างจริงจังแล้ว ความคิดนี้ยังถูกบั่นทอนด้วยแนวทางต่างๆ การแสวงหาความยุติธรรมและความยุติธรรมทางสังคมในตะวันตกก็ไม่รอดจากประจักษ์นิยม (Empiricism)และปฏิฐานนิยม (positivism) นอกจากจะได้รับการสนับสนุนโดยแนวคิดสัมพัทธภาพและวิวัฒนาการทางมโนทัศน์แล้วยังประสบกับแนวคิดประจักษ์นิยม (Empiricism)อีกด้วย ในขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับความยุติธรรมเป็นฐานหลักและความยุติธรรมทางสังคมสังคมต่างๆ สังคมประชาธิปไตยไม่ได้รับการยกเว้นจากกฎหมายนี้ด้วยเช่นกัน
 อาจกล่าวได้ว่า ความยุติธรรมทางสังคม ไม่ใช่คุณลักษณะของประชาธิปไตย
เราจะกล่าวว่า: หลักการนี้เป็นตัวแทนหลักการอื่นๆ อีกหลายประการในระบอบประชาธิปไตยที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา เพราะที่นั่นพูดถึงคุณลักษณะต่างๆ เช่น ความเสมอภาค ความเท่าเทียม เสรีภาพ และอื่นๆ แต่ในหลักความยุติธรรมซึ่งมีความหมายที่ถูกต้องคือ {putting everything in its place การวางทุกสิ่งไว้ในที่ของมัน} ทำให้เราไม่ต้องพึ่งหลักการเหล่านั้นมากมาย ดังนั้น ความยุติธรรม การมีส่วนร่วม สิทธิแห่งพระเจ้าและสิทธิของประชาชนเป็นคุณลักษณะหนึ่งของประชาธิปไตยทางศาสนาและแฝงอยู่ในนั้น อย่างที่กล่าวได้ว่าสิทธิร่วมกันระหว่างพระเจ้าและประชาชน หรือประชาชนกับผู้ปกครอง จะเข้ากันได้อย่างไร ในขณะที่ประเด็นการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยทางศาสนามีความสำคัญมาก เราต้องค้นหาคำตอบที่ละเอียดกว่านี้สำหรับคำถามนี้
5. จริยธรรมอิสลาม
เราไม่ได้พูดเกินจริงหากเราจะกล่าวว่าคุณลักษณะที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของประชาธิปไตยทางศาสนาคือการนำจริยธรรมอิสลามไปใช้ในสังคม ท่านศาสนทูต (ศ้อลฯ) ไม่ได้กล่าวว่า ฉันมาเพื่อทำให้หลักศรัทธา(อุศูล)หรือหลักปฏิบัติ(ฟุรุอ์)ของศาสนาสมบูรณ์แบบท่ามกลาของศาสนาสมบูรณ์แบบสำหรับมนุษยชาติ แต่เขาดำรัสว่า:
إِنَّمَا بُعِثْتُ لِأُتَمِّمَ مَکارِمَ الْأَخْلَاقِ
“ฉันได้รับการแต่งตั้งมาเพื่อทำให้ศีลธรรมสมบูรณ์แบบ”
  เป็นที่ชัดเจนว่าภายใต้จริยธรรมที่ถูกต้องและสมบูรณ์แบบ ความเชื่อและหลักปฏิบัติ ก็จะถูกทำให้สมบูรณ์แบบเช่นกัน เช่นเดียวกับการไม่มีจริยธรรมอิสลามในสังคมเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความอ่อนแอของความศรัทธาและความบกพร่องด้านความเชื่อทางศาสนาของชาวมุสลิม การปกครองด้วยของจริยธรรมอิสลามบ่งบอกถึงการปกครองของพระเจ้า การยึดความยุติธรรมเป็นแก่น การมีส่วนร่วมของประชาชน และคุณลักษณะอื่นๆ ดำรงอยู่ได้ด้วยการปครองของพระเจ้าและจริยธรรมของอิสลาม แต่น่าเสียดายที่ต้องกล่าวว่าพฤติกรรมของนักเคลื่อนไหวหลายคนของเรานั้นยังห่างไกลจากหลักจริยธรรมของอิสลาม ไม่ว่าจะเป็นจริยธรรมในการบริหาร สังคม การเลือกตั้ง และศีลธรรมทั้งหมดของเราที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นมนุษย์ พรรคและกลุ่มต่างๆ ในการเลือกตั้งเป็นเพียงการแนะนำและพิสูจน์ตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการลบล้างคู่แข่ง การกระทำที่ไม่เป็นอิสลามทั้งหมดเหล่านี้เป็นสัญญาณว่าจริยธรรมเสรีนิยมจอมปลอมได้เข้ามาแทนที่จริยธรรมอิสลาม ผลประโยชน์ส่วนบุคคลแทนการเสียสละ, ความกลัวแทนที่การต้องการการเป็นชะฮีด, การเห็นแก่ตนแทนที่การเห็นแก่พระเจ้า, การยึดติดกับโลกแทนที่จะเป็นปรโลก, วัตถุนิยมแทนจิตวิญญาณ, ความไร้จุดหมายแทนการมีเป้าหมาย ฯลฯ เป็นบทเรียนที่สำนักคิดที่ไม่เชื่อในพระเจ้าได้สอนให้แก่มนุษยชาติ สำหรับนักเรียนของสำนักคิดนี้ยังคงเป็นเด็กที่ไม่ช้าก็เร็วจะสำนึกผิดในการเข้าชั้นเรียนนี้
 อย่างไรก็ตาม บรรดาศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ละเลยแม้แต่นิดเดียวในทิศทางแห่งความสุขของมนุษย์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า พวกเขาตระหนักว่าความสุขของมนุษย์นั้นอยู่ในจริยธรรมส่วนบุคคลและสังคม และอธิบายออกมาได้เป็นอย่างดี เป็นที่ชัดเจนว่าคำสั่งเหล่านี้บางคำสั่งสามารถมีประสบการณ์และได้รับมาโดยมนุษย์เอง แต่ไม่สามารถรับทั้งหมดได้จากประสบการณ์ ปัญหาของชาวตะวันตกในปัจจุบันคือเขาพูดว่า: ฉันจะยอมรับแม้กระทั่งจริยธรรมผ่านประสบการณ์เท่านั้น!
6. รัฐบาลที่โปร่งใส ตอบสนองและบทบาทของประชาชนในด้านนี้ (ตอนต่อไป)