เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

เตาฮีด 5 (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า)

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

    เตาฮีด 5 (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า)

 

เมื่อเราได้มาแล้วว่าความรู้แรก ความรู้เบื้องต้นที่จะนำไปสู่การพิสูจน์พระผู้เป็นเจ้า ความรู้ที่จะนำไปสู่การรู้จักพระผู้เป็นเจ้า คือความรู้ที่มาจากสติปัญญา(อักลี) ส่วนความรู้ประเภทอื่นๆก็มีความสำคัญเช่นกันไม่ใช่ไม่มีความสำคัญ แต่เบื้องต้นความรู้จากสติปัญญา “อักลี” ทำให้มนุษย์พิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าได้ ส่วนความรู้อื่นๆที่เหลือประโยชน์ของมันคือทำให้มนุษย์รู้จักพระผู้เป็นเจ้าเพิ่มมากยิ่งขึ้น รู้จักเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆของพระผู้เป็นเจ้า รู้จักเป้าประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า รู้แจ้งเห็นจริงในพระผู้เป็นเจ้า
    รายละเอียดของศาสนาได้มาจากความรู้ที่เหลือทั้งสามประเภท ได้มาจาความรู้ที่ได้มาจากการยอมจำนน(ตะอับบุดี) มาจากความรู้ที่มาจากการรู้แจ้งเห็นจริง(ชูฮูดี)  แต่ส่วนมากได้มาจาก การ “ตะอับบุดี” การเชื่อโดยจำนน เริ่มจากพื้นฐานที่สำคัญ ไปจนถึงสูงสุดของศาสนา แล้วก็ย่างก้าวไปสู่การประจักษ์แจ้งเห็นจริงในทุกสรรพสิ่ง เริ่มจาก “ตะอับบุดี”การเป็นบ่าวของพระองค์ ไปสู่จุดสูงสุดคือ “อิรฟาน” หรือ”ชูฮูดี” การประจักษ์แจ้งเห็นจริง  
    เรื่องราวของซามีรีเป็นบุคคลหนึ่งจากบานีอิสรออีลผู้ที่ปั้นลูกวัวด้วยกับดินและลูกวัวนั้นพูดได้ ไม่เรียกว่าเป็น “ชูฮูดี” แต่เรียกว่า “กะชับ” กะชับหมายถึงการมองเห็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติชั้นเบื้องต้น ซึ่งไม่ใช่เครื่องยืนยันความสำเร็จของมนุษย์ ต้อง “ชูฮูดี” เท่านั้น หมายถึงการพบเจอกับอัลลอฮ์(ซบ) เมื่อมนุษย์พบเจอพระองค์แล้ว หมายความว่ามนุษย์เห็นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว
     ทำไมอิสลามจึงให้ความสำคัญในการพิสูจน์พระผู้เป็นเจ้าก่อน  เพราะถ้าการมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าถูกพิสูจน์สิ่งอื่นก็สามารถถูกพิสูจน์ได้ ถ้ายังไม่พิสูจน์ว่าพระเจ้ามีหรือไม่มี มนุษย์ไม่สามารถพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีองค์เดียวหรือหลายองค์ มนุษย์ไม่สามารถไปพิสูจน์ว่าพระเจ้าทรงยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรมได้ เพราะมนุษย์ยังไม่รู้เลยว่าพระเจ้ามีหรือไม่มี ถ้ายังไม่พิสูจน์การมีอยู่พระเจ้ามนุษย์ไม่สามารถพิสูจน์ความเป็นศาสดาความเป็นตัวแทนตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้าได้ ดังนั้นหลังจากพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว เราจึงสามารถพิสูจน์ความยุติธรรม ความรอบรู้ อำนาจและคุณลักษณะอื่นๆของพระผู้เป็นเจ้าได้  และสามารถพิสูจน์ความเป็นศาสดา พิสูจน์เรื่องชีวิตหลังความตายได้ ที่นี้เมือเราจะต้องพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าสามารถที่จะพิสูจน์อย่างไรได้บ้าง เมื่อสิ่งแรกที่มนุษย์ต้องพิสูจน์คือการพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า ถามว่าแล้วมนุษย์จะพิสูจน์อย่างไร
    ฟิตรัต เป็นวิธีหนึ่งที่สามรถพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าได้ ฟิตรัตคืออะไร ฟิตรัต คือ สัญชาตญาณ หรือ มโนธรรม ของมนุษย์สิ่งนี้มีอยู่ในมนุษย์ทุกคนมีติดตัวมนุษย์มาตั้งตั้งแต่เกิดไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ และมีอยู่ในมนุษย์ทุกยุคสมัย ด้วยฟิตรัตของมนุษย์ มนุษย์รู้ว่า ความเมตาเป็นสิ่งที่ดี ด้วยฟิตรัตของมนุษย์ มนุษย์รู้ว่า การกดขี่เป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ต้องมีใครมาบอก โยธรรมชาติของมนุษย์จะรู้เอง และศาสนาก็ยืนยันว่ามนุษย์รู้จักพระผู้เป็นเจ้ามาตั้งแต่เกิดซึ่งเรื่องนี้เราได้ทำความเข้าใจมาแล้วส่วนหนึ่งในตอนที่ 2  และเนื้อหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟิตรัตในซูเราะฮ์ อัรรูม โองการที่ 30 ได้ยืนยันไว้
فَأَقِمْ وَجْهَكَ لِلدِّينِ حَنيفاً فِطْرَتَ اللَّهِ الَّتي‏ فَطَرَ النَّاسَ عَلَيْها لا تَبْديلَ لِخَلْقِ اللَّهِ ذلِكَ الدِّينُ الْقَيِّمُ وَ لكِنَّ أَكْثَرَ النَّاسِ لا يَعْلَمُونَ
“ดังนั้นเจ้าจงผินหน้าของเจ้าสู่ศาสนาที่เที่ยงแท้โดยเป็นฟิตรัตของอัลลอฮ์ซึ่งได้ทรงสร้างพวกเจ้าขึ้นมา ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการสร้างของพระองค์ นั่นคือศาสนาอันเที่ยงตรง แต่ทว่าส่วนมากขอมนุษย์นั้นไม่รู้”
 จากโองการดังกล่าวมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาบนฐานฟิตรัตหนึ่งซึ่งยอมรับการมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า จิตวิญญาณของมนุษย์เชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า จิตวิญญาณของมนุษย์มีความเชื่อของพระเจ้าอยู่แล้ว และเมื่อไรที่มนุษย์ยอมรับการมีอยู่ของพระเจ้ามันก็จะแสวงหารายเอียดเอง
    มีมนุษย์จำนวนมากที่ไม่ยอมถูกกดขี่ เพราะฟิตรัตของเขาไม่ยอมรับ ฟิตรัตเขาบอกว่าการกดขี่และการยอมรับการกดขี่เป็นสิ่งที่ไม่ดี  คนที่ไม่มีความรู้ในศาสนาที่ไม่ชอบการกดขี่มีมากมาย การโกหกในเบื้องลึกมนุษย์ทุกคนรู้ว่ามันไม่ดี  และเช่นเดียวกันคนที่ไม่ได้มีความรู้ทางศาสนา แต่เขามีความเมตตา เขาชอบความเมตตา การพูดความจริงหรือชอบความจริง มนุษย์รู้ได้ว่าสิ่งเหล่านนี้เป็นสิ่งที่ดีโดยที่เบื้องต้นไม่จำเป็นต้องมีศาสนามาบอก  สิ่งนี้ก็คือฟิตรัต สิ่งนี้เกิดมาจากฟิตรัต ไม่ต้องมีใครมาบอกรู้ได้ด้วยความรู้สึกด้านของมนุษย์เอง
    และในเรื่องเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าก็เช่นกัน มนุษย์สามรถรับรู้ได้ว่าจิตใต้สำนึกของเขามีความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า มีอำนาจหนึ่งอยู่เหนืออำนาจเขา ให้คุณและให้โทษแก่เขา ถามว่าวันนี้ทำไมเราจึงเห็นมนุษย์จำนวนหนึ่งไหว้อิฐไหว้ปูน ไหว้ดวงจันทร์ไหว้ดวงอาทิตย์ ไหว้ดวงดาว ไหว้แม่น้ำ ไหวทะเลไหว้ภูเขา ฯลฯ เพราะมนุษย์เหล่านั้นเห็นว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ให้ประโยชน์แก่เขา มีอำนาจมากกว่าเขา มีอำนาจเหนือเขา เขาจึงเคารพภักดีสิ่งเหล่านี้เป็นพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่พวกเขาคิดกันขึ้นมาเอง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง เราเพียงยกตัวอย่างเพื่อที่จะชี้ให้เห็นว่า “ฟิตรัต” ของมนุษย์กำลังแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า หาที่พักพิงเพื่อจิตใจจะได้สงบมั่น แสวงหาผู้มาคุ้มครอง นั้นหมายถึงพระผู้เป็นเจ้านั้นเอง
    ตัวอย่างเช่น ถ้ามนุษย์ออกเดินเรือกลางทะเล เกิดพายุลูกใหญ่ตีเรือแตกล้มกลางทะเล เรือกำลังจะจม ทำให้มนุษย์เกิดความกลัวอย่างรุนแรง ความช่วยเหลือทางด้านวัตถุไม่สามารถที่จะช่วยเหลือมนุษย์ได้ แต่ในขณะเดียวกันส่วนลึกด้านในของมนุษย์ยังมีความหวังอยู่ ยังหวังที่จะรอดชีวิตอยู่ มนุษย์จะรู้สึกว่ามันมีอำนาจหนึ่งที่สามารถช่วยเหลือเขาได้  เขายังคงมีความหวังและความฝันในปาฏิหาริย์ ซึ่งก็คือกำลังหวังในความช่วยเหลือของอำนาจหนึ่งที่เหนือเขา ซึ่งเราเรียกว่า “พระผู้เป็นเจ้า”  ส่วนฟิตรัตจะพิสูจน์อะไรได้บ้างนั้นขึ้นอยู่กับการพัฒนา การเรียนรู้ทำให้ฟิตรัตมีความเข้มข้นขึ้น  เมื่อมนุษย์เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าแล้ว แต่ความเชื่อที่มีผลทำให้มนุษย์เป็นคนดียิ่งขึ้น ทำให้มนุษย์พัฒนาขึ้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนการเพิ่มพูนความรู้ ขึ้นอยู่กับการค้นหาของมนุษย์
     ฟิตรัตของมนุษย์นั้น สามมารถแบ่งได้เป็นสองประเภทคือ “ฟิตรัตมะริฟัต” คือฟิตรัตที่จะนำเราสู่การรู้จักพระเจ้า คือสิ่งที่จะบอกว่าพระเจ้ามีจริง และอีกฟิตรัตหนึ่งคือ “ฟิตรัตอูบูดียัต” สิ่งทีนำเราสู่การเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้า สิ่งที่จะนำเราสู่การขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า การขอบคุณนั้นมนุษย์ทั้งหมดยอมรับว่าจะต้องขอบคุณต่อผู้มีพระคุณ ต่อผู้ที่ช่วยเหลือเต่อผู้ที่สร้างเขามา ต่อผู้พระผู้เป็นเจ้าของเขา วิธีหนึ่งในการขอบคุณก็คือ การเคารพภักดีนั้นเอง
    ที่นี้เรามาทำเข้าใจ ฟิตรัต มโนธรรมเพิ่มเติม  ถึงแม้ฟิตรัต (ธรรมชาติดั่งเดิมของมนุษย์) เป็นตัวช่วยให้มนุษย์รู้จักพระผู้เป็นเจ้า และภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า แต่มันไม่สามารถนำให้มนุษย์รู้จักพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างสมบรูณ์ ฟิตรัตเป็นเพียงจุดเริ่มต้นจุดเชิญชวนที่ทำให้มนุษย์ยอมรับว่าโลกนี้มีพระเจ้า ฟิตรัตทำแค่ให้มนุษย์เคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้า แต่บางครั้งอาจจะเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าที่ผิดอาจจะเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้าจอมปลอมก็เป็นไปได้ มนุษย์จำเป็นที่จะต้องได้รับความรู้ที่ถูกต้องและเนื้อหาที่สมบรูณ์เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าด้วย ถามว่าแล้วจะรู้ได้แบบไหน รู้ได้อย่างไร  เรื่องนี้ก็จะเข้าสู้ขั้นตอนต่อไป คือการใช้สติปัญญาเข้ามาช่วย มนุษย์ไม่สามรถรู้จักพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างดีและสมบรูณ์ โดยไม่ใช้สติปัญญา ไม่มีมนุษย์คนใดที่ใช้ฟิตรัตเพียงอย่างเดียวแล้วทำให้เขารู้จักพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างสมบรูณ์ การที่มนุษย์มีฟิตรัต ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์ไม่มีความจำเป็นต้องเรียนวิชาอื่นๆ มนุษย์ยังคงต้องเรียนรู้วิชาอื่นๆด้วย ฟิตรัตเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการรู้จักพระผู้เป็นเจ้า มนุษย์ต้องใช้สติปัญญาด้วย
    ในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้านั้นทั้งฟิตรัตในการรู้จักพระผู้เป็นเจ้า และทั้งฟิตรัตในการเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้า จะต้องใช้สติปัญญาเข้ามาช่วยด้วยเพื่อจะได้เคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงถูกต้องและเพื่อการเพิ่มพูนความเข้มข้นการรู้จักและการเคารพภักดี และด้วยกับสติปัญญาทำให้ฟิตรัตทั้งสองเกิดการพัฒนายิ่งขึ้น มนุษย์จำเป็นจะต้องใช้สติปัญญาเพื่อจะได้เข้าใจอย่างถูกต้องในสิ่งที่ฟิตรัตบอกว่ามนุษย์กำลังเรียกหาพระผู้เป็นเจ้า และในสิ่งที่ฟิตรัตบอกว่ามนุษย์กำลังแสวงหาการเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องใช้สติปัญญาชั้นสูง สติปัญญาเบื้องต้นก็ถือว่าเพียงพอในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า เพราะสติปัญญาเบื้องต้นเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าให้กับมนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคนมีทุนทางฟิตรัตเท่ากัน มนุษย์ทุกคนมีทุนทางสติปัญญาเท่ากัน แต่ความแตกต่าง ความฉลาดที่ไม่เท่ากันนั้น ขึ้นอยู่กับการใช้ คนที่ใช้มาก ดูแลรักษาดี มันก็จะให้ข้อมูลที่มาก ฉลาดมากกว่าคนที่ไม่ค่อยได้ใช้  ฟิตรัตและสติปัญญาเปรียบเสมือนกล่องเก็บความรู้มนุษย์กลับไปหามันมากเท่าไร  มนุษย์ก็จะได้ข้อมูลมากเท่านั้น  พระเจ้าให้สติปัญญามาเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าพระองค์มี ให้สติปัญญามาเพียงพอว่าจะต้องเคารพภักดีต่อพระองค์ พระองค์ให้สติปัญญามาเพียงพอในการรับรู้การมีอยู่ของพระองค์ ตัวอย่างของหญิงชราที่ปั้นฝ้ายที่พิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้าด้วยสติปัญญาเบื้องต้น แม้แต่หญิงชราก็มีสติปัญญาเพียงพอในการพิสูจน์พระผู้เป็นเจ้า แต่เมื่อมนุษย์รู้จักพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น เมื่อมนุษย์ใช้สติปัญญามากขึ้นมันจะเพิ่มความเข้มข้นในการรู้จักพระองค์ และในการเคารพภักดีพระองค์ และทำให้มนุษย์สามารถเผชิญปัญหาต่างได้อย่างงายดายยิ่งขึ้น การรู้จักและภักดีพระผู้เป็นเจ้าด้วยสติปัญญานั้น จะมีความเข้มแข็งและลึกซึ้งกว่าการรู้จักและภักดีด้วยฟิตรัต และการรู้จักและภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าที่จะเพิ่มความเข้มแข็งและความลึกซึ้งขั้นสูงสุด คือ “ชูฮูดี” การรู้จักและภักดีพระผู้เป็นเจ้าในรูปแบบที่ได้พบเจอพระองค์ มองเห็นพระองค์ด้วยตาใจ  

สถาบันศึกษาศาสนา อัลมะฮ์ดี (อ.)

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม