เตาฮีด 6 (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า)

เตาฮีด 6 (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า)


    เมื่อเรารู้แล้วว่านอกจากฟิตรัตแล้วมนุษย์ยังต้องใช้สติปัญญาเข้ามาช่วยในการพิสูจน์และในการรู้จักพระผู้เป็นเจ้า ฮาดีษบทหนึ่งท่านศาสดามูฮัมมัด(ศ)ได้กล่าวถึงการรู้จักพระผู้เป็นเจ้าว่า
أوّلُ العلم مَعرفةُ الجَبّار و آخرُ العلم تَفویضُ الأمر الیه
“ความรู้แรกที่มนุษย์ควรรู้คือการรู้จักพระผู้เป็นเจ้า และสุดท้ายที่มนุษย์ควรปฏิบัติคือการหมอบหมายงานต่างๆให้แก่พระองค์”                        
        مَعرفةُ “มะริฟัต” คือการรู้จักอย่างลึกซึ้ง จะเรียกว่าเป็นมะริฟัตได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์สามารถปฏิบัติตามคำสั่งในความเชื่อนั้น  แต่ถ้าไม่ปฏิบัติยังไม่เรียกว่ามี”มะริฟัต” เป็นแค่เพียงความรู้  จะเป็นมะริฟัตได้เมื่อมนุษย์หมอบหมายไปตามที่เขารู้ เช่นการเชื่อว่าพระองค์คือผู้ประทานริสกีปัจจัยยังชีพ คือผู้ประทานทุกสิ่งทุกอย่าง การที่มนุษย์จะประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จขึ้นอยู่กับการอนุมัติของพระองค์ และในขณะเดียวกันมนุษย์ต้องดิ้นร้นขวนขวายด้วยโดยที่มนุษย์ต้องเข้าใจอยู่เสมอว่าผลของการงานต่างๆนั้นพระองค์เป็นผู้อนุมัติ ซึ่งหมายถึงการหมอบหมายผลของการกระทำทุกสิ่งทุกย่างให้แก่พระองค์ มนุษย์ต้องดิ้นรนต่อสู้ขวนขวายเพื่อไปให้ถึงการรู้จักพระผู้เป็นเจ้าให้ได้ หลังจากไปถึงการรู้จักแบบมีมะริฟัตต่อพระผู้เป็นเจ้าแล้วก็จำเป็นที่จะต้องดิ้นรนขวนขวายต่อสู่ไปสู่การหมอบหมายในการปฏิบัติอามัลต่างๆให้ได้ การที่มนุษย์จะไปสู่สิ่งนี้ได้นั้น จำเป็นที่มนุษย์จะต้องมีความรู้ที่สูงขึ้นไปจนกระทั่งไปสู่ความรู้ที่สมบรูณ์ ด้วยการรู้จัก(มะริฟัต)ที่สมบรูณ์เท่านั้นที่ทำให้มนุษย์ไปถึงการงาน(อิบาดัต)ที่สมบรูณ์ได้ ปราศจากการรู้จักที่สมบรูณ์ไม่มีใครสามารถไปถึงการปฏิบัติการงาน(อิบาดัต)ได้อย่างสมบรูณ์ ดังนั้นการพัฒนาของมนุษย์การรู้จักพระผู้เป็นเจ้าของมนุษย์ไม่มีสิทธิ์หยุดแค่เพียงฟิตรัต(มโนธรรม) ฟิตรัตเพียงอย่างเดียวไม่สามารถนำมนุษย์ไปสู่การรู้จักที่สมบรูณ์ ฟิตรัตเพียงอย่างเดียวไม่สามารถนำมนุษย์ไปสู่การปฏิบัติอามัล(อิบาดัต)ที่สมบรูณ์ได้
    การรู้จักพระผู้เป็นเจ้าด้วยสติปัญญามีหลายรูปแบบหลายระดับขั้นทางสติปัญญา สติปัญญาก็มีหลายระดับขั้น ระดับเบื้องต้น ระดับกลาง ระดับที่สูงขึ้นไปลึกลับซับซ้อน กว่า ถ้ามนุษย์พัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงแน่นอนว่า”มะริฟัต” การรู้จักของเขาก็จะสูงขึ้นไปด้วย การรู้จักที่เพียงพอนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ไม่ผ่านสติปัญญาแต่การใช้สติปัญญาก็ไม่ได้หมายความว่าต้องใช้สติปัญญาชั้นสูง โดยเบื้องต้นมนุษย์สามารถพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าด้วยสติปัญญาเท่าที่เขามีอยู่ได้ ในอัลกุรอานพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า พิสูจน์ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้าด้วยสติปัญญาเบื้องต้น สติปัญญาเบื้องต้นคือตัวอย่างการพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าของหญิงปั้นฝ้าย นั้นคือความหมายของการใช้สติปัญญาเบื้องต้น ใช้สติปัญญาในเรื่องที่ตนเองคุ้นเคย ผูกพัน และมีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสิ่งนั้น
        วิธีการเบื้องต้นและง่าย เป็นวิธีที่ทุกคนสามารถทำได้ คือฟิตรัตเบื้องต้นและสติปัญญาเบื้องต้นของมนุษย์ เพราะทั้งสองนี้คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่แล้ว ทั้งสติปัญญาเบื้องต้นและฟิตรัตเบื้องต้น สติปัญญาเบื้องต้นก็หมายความว่าการมีความรู้เบื้องต้น  มีฟิตรัตเบื้องต้นในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า อิสลามเน้นไปที่การให้ใช้สติปัญญาเบื้องต้น เรื่องราวของศาสนาเริ่มกันที่สติปัญญาเบื้องต้น การใช้สติปัญญาคือการพินิจพิเคราะห์หาเหตุหาผล หาเนื้อแท้ของทุกสรรพสิ่ง ค้นหาแก่นสารของสรรพสิ่ง หาฮากีกัตของสรรพสิ่ง ตัวอย่างขออูฐที่ได้กล่าวอธิบายไปแล้วในบทที่ผ่านมา ซึ่งจะมากล่าวในที่นี้อีกครั้งหนึ่ง ในซูเราะฮ์ ฆอชียะฮ์ โองการที่ 17
أَ فَلا یَنْظُرُونَ إِلَى الْابِلِ کَیْفَ خُلِقَتْ
“พวกเจ้าไม่พิจารณาไปยังอูฐดอกหรือว่ามันถูกสร้างมาอย่างไร”
    โองการนี้บอกมนุษย์ว่าสติปัญญาเบื้องต้นก็เพียงพอที่จะพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าได้ จะเห็นได้ว่าการใช้สติปัญญาเบื้องต้นมันมีอยู่ในมนุษย์ทุกคนแม้แต่คนที่เลี้ยงอูฐ ดังนั้นการที่พระองค์บอกว่าให้ดูที่อูฐ ต้องการบอกคนที่อยู่กับอูฐ ต้องการบอกคนที่เลี้ยงอูฐว่า จงพิจารณาไปยังอูฐเพื่อจะพบถึงการมีอยู่ของพระผู้สร้าง ดูว่าอูฐถูกสร้างมาอย่างไร โดยมองไปที่รายละเอียดในการสร้างอูฐ คนที่อยู่ในประเทศที่มีอูฐคนเหล่านี้จะรู้รายละเอียดของอูฐเป็นอย่างดี อูฐถูกสร้างมาให้มีตาสองชั้น เมื่อมันปิดตาชั้นแรกมันยังสามารถมองเห็นอยู่เพื่อสามารถเดินในทะเลทรายได้ในเวลาที่เกิดพายุทะเลทราย ทรายจะไม่เข้าตาของอูฐ อูฐมีท้องที่สามารถเก็บน้ำได้จำนวนถึง 20-30 เพื่อใช้เดินทางไกลในทะเลทรายที่ไม่มีแหล่งน้ำ เท้าของอูฐเป็นลักษณะที่ตรงกลางจะลุ่มลงไปเพื่อสามารถที่จะเดินในทะเลทรายได้ ถ้าเป็นกีบไม่สามารถเดินในทะเลทรายได้ เท้าจะจมทราย นอกจากนั้นแล้วมนุษย์สามารถใช้ประโยชน์จากอวัยวะต่างๆของอูฐได้เกือบทั้งหมด มนุษย์ใช้อูฐเป็นยานพหานะ ใช้เนื้อและนมของอูฐเป็นอาหาร แม้กระทั่งหนังและมูลของมันมนุษย์ก็สามารถใช้ประโยชน์ได้
   จะเห็นว่าอูฐกับทะเลทรายเป็นสิ่งที่คู่กัน มันมีความเหมาะสมถูกต้อง มันช่างเป็นสิ่งเหมาะสมเหมาะเจาะมาก เมื่อมนุษย์ใช้สติปัญญาเบื้องต้นไม่มีใครคิดว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญแค่มนุษย์พิจารณาอูฐก็นำไปสู่การรู้จักพระผู้เป็นเจ้าได้
     แต่ละบุคคลแต่ละสภาพแวดล้อมก็มีความรู้เบื้องต้นที่แตกต่างกันไป ซึ่งความรู้เบื้องต้นของชาวอาหรับของคนที่อยู่ในทะเลทราย คือความรู้เกี่ยวกับอูฐ เกือบจะไม่มีอาหรับคนใดที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับอูฐ  เป็นความรู้เบื้องต้นที่ไม่ต้องไปเรียนอะไรอย่างลึกซึ้ง   คนที่อยู่กับสิ่งใดก็ตามเขาก็จะมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งนั้นในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า เนื่องจากว่าพระผู้เป็นเจ้านั้นทรงปรากฏอยู่ในทุกๆสรรพสิ่ง พระผู้เป็นเจ้านั้นทรงประจักษ์อยู่ในทุกๆสรรพสิ่ง สิ่งที่ยืนยันคือโองการจากอัลกุรอาน ในซูเราะฮ์ อัลบูรูญ โองการที่ 9
وَ اللّهُ عَلى کُلِّ شَیْء شَهِیدٌ
“แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์(ซบ)นั้นทรงถูกประจักษ์เหนือทุกๆสรรพสิ่ง”
    คำว่า “”ชะฮีด”มีอยู่หลายความหมาย หนึ่งในความหมายจากโองการนี้ คือ ประจักษ์แจ้ง หมายความว่ามนุษย์สามารถประจักษ์พระองค์ในทุกสิ่งทุกอย่างได้ การประจักษ์ก็หมายถึงการปรากฏ พระองค์ปรากฏอยู่ในทุกๆสรรพสิ่ง มนุษย์สามารถประจักษ์พระองค์ได้ในทุกๆสรรพสิ่ง เพราะพระองค์ “ชะฮีด”ในทุกๆสิ่ง พระองค์ปรากฏอยู่ในทุกสรรพสิ่ง หมายความว่าไม่ว่ามนุษย์จะมองอะไรก็ตามสามารถพบเจอพระองค์ได้ มนุษย์สามารถพิสูจน์พระองค์ได้ในทุกๆที่ ในซูเราะฮ์ อัลฆอชิยะฮ์ โองการที่ 17 ที่บอกให้มนุษย์พิจารณาไปยังอูฐว่ามันถูกสร้างมาอย่างไร ก็ไม่ได้หมายความว่าให้มนุษย์มองไปที่อูฐเพียงอย่างเดียว คนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีอูฐ เช่นสมมติคนไทยเราไม่มีอูฐไม่ได้หมายความว่าเราไม่ต้องพิจารณาอะไร เราสามารถพิจารณาไปยังสิ่งใกล้ตัวเรา พิจารณาไปยังสัตว์อื่นๆ หรือสรรพสิ่งอื่นๆได้ โองการต่อมาในซูเราะฮ์อัลฆอชียะฮ์โองการที่ 18-20
وَ إِلَى السَّماءِ كَيْفَ رُفِعَتْ
“พวกเจ้ามิได้พิจารณาไปยังชั้นฟ้าดอกหรือว่ามันถูกยกให้สูงอย่างไร”
    ท้องฟ้าถูกประดับประดาอย่างสวยงามด้วยดวงดาวที่สว่างไสว ด้วยดวงอาทิตย์ที่จรัสแสง ด้วยดวงจันทร์ที่เจิดจ้า และอากาศและออกซิเจนก็ได้รับการเติมเต็มเพื่อให้สิ่งที่มีชีวิตสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ถ้าหากไม่มีอากาศจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดหลงเหลืออยู่เลย
وَ إِلَى الْجِبالِ كَيْفَ نُصِبَتْ
“พวกเจ้าไม่พิจารณาไปยังภูเขาดอกหรือว่ามันถูกวางไว้อย่างไร”
ภูเขาก็เหมือนกับตะปูของโลกทำให้แผ่นดินดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง และภูเขายังเป็นแหล่งตาน้ำ และเป็นที่เก็บแร่ธาตุต่างๆไว้อย่างมากมาย
وَ إِلَى الْأَرْضِ كَيْفَ سُطِحَتْ
“พวกเจ้าไม่พิจารณาไปยังแผ่นดินดอกหรือว่ามันถูกแผ่ลาดไว้อย่างไร”
    แผ่นดินถูกทำให้กว้างขว้างและมีความเหมาะสมที่มนุษย์สามารถจะอยู่อาศัยได้ การเดินทางและการขนส่งเกิดขึ้นอย่างสะดวกและง่ายดาย มนุษย์กำลังใช้ประโยชน์แร่ธาตุทางอุตสาหกรรมต่างๆที่มาจากแผ่นดิน
    ถ้าหากมนุษย์ได้พิจารณาและไตร่ตรองสิ่งต่างๆเหล่านี้ทั้งหมดแล้วไม่มีความสงสัยใดๆเลยว่าสรรพสิ่งต่างเหล่านี้ถูกจัดวางไว้อย่างมีระบบระเบียบพึ่งพาซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้จากผู้สร้างที่มีความรอบรู้อย่างถี่ถ้วน และความสัมพันธ์กันของสรรพสิ่งต่างๆยังชี้ให้เห็นว่าผู้สร้างและผู้อภิบาลชั้นฟ้าแผ่นดินและสิ่งที่อยู่ระหว่างมันทั้งสองนั้นต้องมีแค่หนึ่งเดียว
    เมื่อมนุษย์มีความรู้เบื้องต้นความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับชั้นฟ้า ภูเขา แผ่นดิน หรือสรรพสิ่งใดก็ตาม มนุษย์ก็จะพบพระผู้เป็นเจ้าในความรู้อันนั้นที่เขามีอยู่  มนุษย์สามารถพิจารณา ในสิ่งที่เขามีความรู้ และพิสูจน์การมีอยู่ของพระองค์ด้วยสิ่งนั้น จะให้อัลกุรอานบอกไว้ทั้งหมดเลยนั้นเป็นไปไม่ได้ อัลกุรอานบอกไว้เป็นเพียงตัวอย่าง ไม่ว่ามนุษย์จะพิจารณาสิ่งใดด้วยด้วยความรู้เบื้องต้นก็สามารถพบพระผู้เป็นเจ้าได้ เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรง”ชะฮีด” ทรงประจักษ์อยู่ในทุกสรรพสิ่ง บรรดาศาสดาก็ใช้วิธีนี้ อัลกุรอานก็ใช้วิธีนี้เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าใจได้
    แม้แต่การพิสูจน์การมีอยู่หนึ่งเดียวความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้าก็สามารถพิสูจน์ด้วยสติปัญญาเบื้องต้นของมนุษย์  อัลกุรอานพิสูจน์เรื่องนี้อยู่ในซูเราะฮ์อัมบิยาอฺ โองการที่ 22
لَوْ کانَ فیهِما آلِهَةٌ إِلَّا اللَّهُ لَفَسَدَتا
“ถ้าในชั้นฟ้าและแผ่นดินมีพระเจ้าอื่นนอกจากอัลลอฮ์(ซบ)แล้ว มันทั้งสองก็จะพินาศอย่างแน่นอน”
    ทำไมชั้นฟ้าและแผ่นดินจะพินาศเมื่อมีพระเจ้าหลายองค์  เพราะเมื่อมีพระเจ้าหลายองค์ไม่มีใครยอมใครกัน ถ้าพระเจ้าองค์หนึ่งยอมอีกองค์หนึ่ง องค์ที่ยอมก็ไม่ใช่พระเจ้าที่แท้จริง องค์ที่ถูกยอมคือพระเจ้าที่แท้จริง ในระบบจักรวาลตามความเป็นจริงมนุษย์ก็เห็นได้ว่า สรรพสิ่งไม่ได้ขัดแย้งกัน สรรพสิ่งขับเคลื่อนไปในระบบเดียวกับ สรรพสิ่งขับเคลื่อนไปสู่เปาหมายเดียวกัน มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันส่งผลซึ่งกันและกัน มีระบบระเบียบเดียวกัน มาจากอำนาจเดียวกันถ้ามาจากหลายอำนาจแล้วสรรพสิ่งก็จะไม่สามารถหาความเป็นระบบระเบียบได้ สมมติพระเจ้าองค์หนึ่งจะให้ดวงอาทิตย์ขึ้นทางหนึ่ง พระเจ้าอีกองค์หนึ่งจะให้ดวงอาทิตย์ขึ้นอีกทางหนึ่ง ขัดแย้งกัน พระเจ้าองค์หนึ่งอยากให้ดวงอาทิตย์ขึ้นหกโมง พระเจ้าอีกองค์หนึ่งจะให้ขึ้นแปดโมง และเรื่องอื่นๆ เพราะต่างคนต่างก็มีอำนาจยอมกันไม่ได้เป็นพระเจ้าเหมือนกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ชั้นฟ้าและแผ่นดินก็จะพบกับความพินาศตามที่อัลกุรอานได้บอกไว้ สติปัญญาเบื้องต้นของมนุษย์จึงสรุปได้ว่า พระเจ้าต้องมีองค์เดียวเท่านั้น    

สถาบันศึกษาศาสนา อัลมะฮ์ดี (อ.)