เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

เตาฮีด 8 (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า)

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

เตาฮีด 8 (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า)

 

อิลลัตฟาอิลีออลี ปฐมเหตุที่แท้จริงและสมบูรณ์)
 วิชาปรัชญาได้แบ่งอิลลัต (ปฐมเหตุ) ออกเป็นสองประเภท
- “อิลลัต ฮากีกี” (ปฐมเหตุที่แท้จริง) “คืออิลลัตที่ทั้งการเกิดขึ้นและทั้งการดำรงอยู่ของ”มะลูล” (ผล) หรือสรรพสิ่งขึ้นอยู่กับมัน” ถ้าหากไม่มีมันสรรพสิ่งไม่สามารถเกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้
- “อิลลัต มุอิดดาต” (ปฐมเหตุที่เป็นตัวช่วย) คือ ถ้าไม่มีมัน “มะลูล” (ผล)หรือสรรพสิ่งสามารที่จะเกิดขึ้นได้ การเกิดขึ้นและการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง”มะลูล”(ผล)ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมันเป็นตัวหลัก  
    ยกตัวอย่างเพื่อความเข้าใจ”อิลลัต”ทั้งสองประเภท เช่นตัวอย่างของ “ต้นไม้” “อิลลัตฮากีกี”(ปฐมเหตุที่แท้จริง) ของมันคือเมล็ดพันธ์ถ้าไม่มีเมล็ดต้นไม้ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ส่วน”อิลลัตมุอิดดาต”(สาเหตุที่เป็นตัวช่วย) คือ “น้ำ” ถึงแม้ว่าเราเอาเมล็ดไปปลูกในดินที่มีน้ำแล้วแต่ต้นไม้ก็ไม่ขึ้น ทำไมน้ำจึงเป็น “อิลลัตมุอิดดาต”(สาเหตุที่เป็นตัวช่วย) เพราะถ้ามีน้ำอย่างเดียวต้นไม้ก็ไม่ขึ้น ถ้าน้ำเป็น”อิลลัตฮากีกี”(สาเหตุที่แท้จริง)ก็หมายความว่าที่ไหนมีน้ำที่นั้นก็ต้องมีต้นไม้ และยังพบอีกว่าบางครั้งมีเม็ดพันธ์เติบโตขึ้นโดยไม่มีน้ำ ดินก็เป็น”อิลลัตมุอิดดาต” เพราะถ้าเป็น”อิลลัตฮากีกี” หมายความว่าที่ไหนมีดินที่นั้นก็มีต้นไม้ สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นเพียงตัวช่วยในการเกิดขึ้นของต้นไม้ ดิน น้ำ แสงอาทิตย์เป็นองค์ประกอบที่ทำให้ต้นไม้เกิดขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งบางครั้งองค์ประกอบบางอย่างอาจขาดหายไปแต่ต้นไม้ก็ยังเกิดขึ้นได้ เช่นต้นไม้ที่เกิดบนภูเขาหิน ที่ที่ไม่มีดิน หรืออุตสาหะกรรมยุคใหม่การปลูกผักโดยที่ไม่ใช้ดิน
    ใน”อิลลัตฮากีกี”(สาเหตุที่แท้จริง) ก็แบ่งออกเป็นสี่ประเภท
1 “ฆออี” คือ เป้าหมาย จุดประสงค์ วัตถุประสงค์  ในการทำสิ่งๆหนึ่งให้เกิดขึ้น
2 “ซูรี” รูปร่าง ลักษณะ แม่แบบ
3 “มาดดี” วัสดุ อุปกรณ์ วัตถุดิบ
4 “ฟาอีลี” ผู้กระทำ สมมติมีรูปแบบแล้ว มีเป้าหมายแล้ว มีวัตถุดิบแล้ว แต่ยังไม่มีผู้กระทำ สรรพสิ่งก็ยังไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้
    “เป้าหมาย”ก็เป็น อิลลัต ฮากีกี ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาโดยไม่มีเป้าหมายสมมติมนุษย์ไม่มีความจำเป็นเก้าอี้ไม่ต้องการเก้าอี้ มนุษย์มีไม้แล้ว มีรูปแบบแล้ว แต่มนุษย์ไม่ต้องการให้มันเกิด เก้าอี้ก็ยังไม่เกิดขึ้น จะเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์มีความต้องการมีความประสงค์ บางครั้งเป้าหมายในการเกิดขึ้นเพื่อใช้เอง หรือบางครั้งเพื่อไว้จำหน่าย หรือเพื่ออะไรก็แล้วแต่
  “อิลลัตฮากีกี”(สาเหตุที่แท้จริง)ทั้งสี่นั้นมีความสำคัญทั้งหมด ขาดอันใดอันหนึ่งไป “มะลูล” (ผล)ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้ และอิลลัตที่สำคัญที่สุดคือ”อิลลัตฮากีกี ฟาอีลี” (ผู้กระทำ) เราได้เข้าใจนิยามของ”อิลลัตฮากีกี”ไปแล้วว่า “การเกิดขึ้นและการคงอยู่ของ”มะลูล”ขึ้นอยู่กับการคงอยู่ของมัน” แต่ในความเป็นจริงถ้าเราพิจารณาการสร้างของมนุษย์จะตรงกับนิยามแค่ครึ่งเดียว ตรงที่การเกิดขึ้นเท่านั้น แต่การคงอยู่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ”อิลลัตฟาอิลี” เพราะบางครั้ง”อิลลัตฟาอิลี”(ผู้กระทำ)ไม่อยู่แล้ว เช่นตัวอย่างของการสร้างเก้าอี้ ผู้กระทำคือช่างไม้ เก้าอี้ได้เสร็จสมบรูณ์แล้ว บางครั้งช่างไม้ได้ตายไปแล้ว แต่เก้าอี้ยังคงมีอยู่ แสดงว่าการคงอยู่ของเก้าอี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับช่างไม้อย่างสมบรูณ์ เมื่อสร้างมาแล้วเขาก็ตายไป แสดงว่าช่างไม้เป็น”อิลลัตฟาอิลี”ที่ไม่สมบรูณ์  ไม่ตรงนิยามที่ว่า การคงอยู่ของมะลูล(ผล)ขึ้นอยู่กับอิลลัตฮากีกีฟาอิลีด้วย และอิลลัต(สาเหตุ)ทางวัตถุทั้งหมดจะเป็นในลักษณะนี้  ในมุมมองหนึ่งมันเป็น”อิลลัตฮากีกี”(สาเหตุที่แท้จริง) แต่ไม่ได้เป็น”อิลลัตฮากีกี”อย่างสมบรูณ์ ดังนั้นแสดงว่ามันต้องมี”อิลลัตฟาอิลี”ที่สูงส่งและสมบรูณ์กว่านี้ จะต้องมี”อิลลัตฟาอีลี”อันหนึ่งที่ดำรงอยู่ตลอดไปทำไมถึงรู้ได้ว่านอกจาก”อิลลัตฟาอิลี”ทางวัตถุแล้ว ยังมี”อิลลัตฟาอิลี”ที่สูงส่งและคงอยู่ตลอดไปอีก เพราะการคงอยู่ของสรรพสิ่งต่างๆตั้งแต่การเกิดขึ้นมาของโลกจนถึงวันนี้ยังคงดำรงอยู่ เช่นสรรพสิ่งต่างๆยังคงดำรงอยู่ มนุษย์จำนวนหนึ่งยังคงดำรงอยู่ ทะเลยังคงอยู่ วันนี้ทะเลก็ยังคงอยู่ภูเขาก็ยังคงอยู่ ท้องฟ้าก็ยังคงอยู่ ดวงอาทิตย์ ดวงดาวต่างๆก็ยังคงอยู่ อะไรคือ”อิลลัตฟาอิลี”(ผู้กระทำ))ที่แท้จริงของมัน หรือบางครั้งบางสิ่งบางอย่างอาจจะแปลงสภาพไปเช่นมนุษย์ตายไปแปลงสภาพกลายเป็นดินแต่ก็ถือว่ามันยังคงอยู่ เมื่อสิ่งต่างๆเหล่านี้ยังคงอยู่แสดงว่ามันต้องมี”อิลลัตฟาอิลี”ที่สมบูรณ์หนึ่งที่ดำรงอยู่ตลอดไปและไม่ใช่วัตถุเพราะวัตถุสูญสลายได้      ซึ่งก็คือ “วาญิบุลวูญูด” เพราะเราได้พิสูจน์ไปแล้วว่า วาญิบุลวูญูดเป็นสิ่งที่มีมาแต่เดิมและคงอยู่ตลอดไป การที่มันมีอยู่ตลอดไปก็หมายถึงว่าสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ได้ก็เพราะมัน วาญิบุลวูญูดเป็นปฐมเหตุที่แท้จริงและสมบูรณ์ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ “อิลลัตฟาอิลี ออลี”
    “อิลลัตฟาอิลี ออลี” อันนี้ไม่สามมารถที่จะเป็นอื่นได้นอกจาก”วาญิบุลวูญูด” เพราะมาจากตัวนิยามของมันเองคือ “การเกิดขึ้นและการคงอยู่ของมะลูล(ผล)ขึ้นอยู่กับการคงอยู่ของอิลลัต(สาเหตุ)ของมัน” เพราะ”วาญิบุลวูญูดนั้นเป็น”อิลลัต”ที่ดำรงอยู่ตลอดไป บนหลักการอันนี้ทำให้เราเห็นความขัดแย้งระหว่างปรัชญาอิสลาม กับปรัชญาตะวันตก ที่เชื่อว่าหลังจากที่”อิลลัตฟาอิลี”ให้กำเนิด “มะลูล”แล้ว สิ่งนั้นก็ดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเองตามธรรมชาติ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอิลลัตฟาอิลี”อีกต่อไป แต่อิสลามตามแนวทางชีอะห์ เชื่อว่า การมีและการดำรงอยู่ของ”มะลูล”ขึ้นอยู่กับการให้ที่ไม่สิ้นสุดของ”อิลลัตฟาอิลี”  ซึ่งเรียก”อิลลัต”อันนั้นว่า “อิลลัตฟาอิลี ออลี” (ปฐมเหตุที่แท้จริงและสมบูรณ์) “มะลูล”จะพึ่งพิงอยู่กับมันโดยไม่ตัดขาดแม้แต่วินาทีเดียว
   ตัวอย่างหนึ่งเช่นเมื่อมนุษย์เอาเมล็ดพันธ์ไปปลูก มนุษย์ก็จะพบว่ามันเติบโตไปตามวิถีทางธรรมชาติของมันหมดทุกเมล็ดหรือไม่ ไม่เลย เพราะในความเป็นจริงพบว่า บางเมล็ดพันธ์ไม่เจริญเติบโต บางเมล็ดตายกลางทาง บางเมล็ดพันธ์พอโตมาแล้วบางต้นให้ผล บางต้นไม่ให้ผลอีก ถามว่าเกิดจากอะไร เกิดจากการได้รับจาก”อิลลัตฟาอิลี ออลี”ไม่เท่ากัน  “บารอกัต” ไม่เท่ากัน”บารอกัต”คือ ถ้าใช้กับต้นไม้ หมายถึง การงอกเงย ความอุดมสมบรูณ์ ซึ่งขึ้นอยู่กับการให้ของของ”อิลลัตฟาอิลี ออลี” ต้นไหนที่ได้รับความบารอกัต ก็จะอุดมสมบรูณ์ ส่วนต้นไหนที่ไม่ได้รับความบารอกัต ก็จะไม่งอกเงยขึ้นมา หรืออาจะไม่อุดมสมบรูณ์ ไม่ให้ผล  
     ในภาคทฤษฎีของปรัชญาแนวทางซุนนี อาจจะพูดอีกแบบหนึ่งแต่ในทางปฏิบัติ ทั้งของชีอะห์และซุนนีนั้นเหมือนกัน ซุนนีปฏิบัติเหมือนกับความเชื่อของชีอะห์  การปฏิบัติของซุนนีเองเป็นตัวยืนยัน เช่นตัวอย่าง การนมาซฮายัต(ละหมาดวิงวอนให้ความต้องการถูกตอบรับ) และการวิงวอนขอดุอาอ์ต่างๆ  สมมุติถ้าเกิดเทือกสวนไร่นาไม่ประสบความสำเร็จ พวกเขาจะพูดว่า “อัลลอฮ์(ซบ)ไม่ค่อยให้ อัลลลอฮ์ให้น้อย” แสดงว่าในทางปฏิบัติซุนนีก็เชื่อไปยังสิ่งหนึ่งที่ให้อยู่ตลอดเวลา พลังที่ถูกส่งมาตลอดเวลาไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่ง”อิลลัตฟาอิลี ออลี” มีความแตกต่างจาก”อิลลัตฟาอิลี”ที่เป็นวัตถุ  “อิลลัต ฟาอิลี”ที่เป็นวัตถุเมื่อมันให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดไป มันก็จะสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป เช่นตัวอย่างของช่างไม้ ในขณะทำเก้าอี้เขาก็ไม่สามารถทำสิ่งอื่นได้ เขาจะสูญเสียพละกำลังไป บางครั้งไม่มีพละกำลังที่จะทำสิ่งอื่น  แต่การให้ของ”อิลลัตฟาอิลี ออลี”นั้นไม่มีวันหมดสิ้น ไม่ได้ทำให้มันสูญเสียสิ่งใดไป ไม่ได้ทำให้มันมีน้อยลง ไม่ว่ามันจะให้ไปเท่าไรก็ตาม  
   มีหลายๆเหตุการณ์ที่พิสูจน์ว่ามี”อิลลัตฟาอิลี ออลี”ที่แท้จริงและสมบรูณ์อยู่เช่น การเชือดให้ขาด “อิลลัตฮากีกี”ของมันก็คือ ผู้เชือด มีดที่คม เป้าหมายในการเชือด  สิ่งที่จะเชือด วิธีการเชือด  แต่ทำไม่เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมแล้วแต่การเชือดก็ไม่ได้รับการอนุมัติให้เกิดขึ้น ถามว่าทำไม เช่นในกรณีของท่านศาสดาอิบรอฮีม(อ)ที่เชือดท่านศาสดาอิสมาอีล(อ) แสดงว่านอกเหนือจาก”อิลลัตฮากีกี”ทางวัตถุเหล่านี้แล้วยังมี”อิลลัตฮากีกี”อื่นอีกที่สูงส่งกว่าสมบรูณ์กว่า เพราะถ้ามีดคมแล้วมันต้องเชือดเข้าแล้วทำไมจึงเชือดไม่เข้า แสดงว่ามี”อิลลัตฮากีกี”ที่สมบูรณ์หนึ่งที่ควบคลุมในสิ่งต่างๆเหล่านี้ทั้งหมดอยู่ ซึ่งอิลลัตฟาอิลี ออลี นั่นก็คือพระผู้เป็นเจ้าที่ค่อยควบคลุมกิจการต่างๆอยู่  หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง สมมุติมนุษย์ไม่สบาย แล้วมนุษย์ก็กินยา พบว่าบางคนหายบางคนไม่หาย แสดงว่ายาเป็นองค์ประกอบเท่านั้น ผู้รักษาเยี่ยวยาที่แท้จริงไม่ใช่ยา ยาไม่ได้เป็น”อิลลัตฟาอิลี”ที่แท้จริงที่ทำให้หายจากโรค ถ้ายาเป็น”อิลลัตฟาอิลี”ที่แท้จริง แสดงว่าทุกคนที่กินยาในโรคเดียวกันก็จะหายจากโรค แต่พบว่าบางคนหาย บางคนไม่หาย แสดงว่าผู้ที่ทำให้หายที่แท้จริงไม่ใช่วัตถุ สาเหตุของการที่ทำให้หายหรือไม่ให้หายอย่างแท้จริงนั้นคือ”อิลลัตฟาอิลี”ที่สมบรูณ์ซึ่งไม่ใช่วัตถุนักปรัชญาบอกว่านั้นก็คือ วาญิบุลวูญูด
หมายถึงพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง แต่กฎอันหนึ่งตามธรรมชาติเมื่อองค์ประกอบทางวัตถุครบสมบรูณ์ ผลของมันก็จะเกิดขึ้นอยู่เสมอๆ เมื่อ “อิลลัต”(สาเหตุ) ครบ “มะลูล”(ผล(ก็จะเกิดขึ้นมาตลอดจนบางครั้งทำให้มนุษย์ลืม “อิลลัตฟาอิลี” ที่แท้จริงและสมบรูณ์ ถ้าเมื่อไรที่มีองค์ประกอบครบสมบรูณ์แล้วแต่ผลของมันยังไม่เกิดขึ้น ถ้ามื่อใดที่กินยาแล้วแต่ไม่หายนั้น เหตุผลหนึ่งเพื่อให้มนุษย์ได้นึกถึง “อิลลัตฟาอิลี ออลี”ที่แท้จริงและสมบรูณ์ หรือพระผู้เป็นเจ้านั้นเอง ส่วนมากมนุษย์จะนึกถึงพระผู้เป็นเจ้าเมื่อสิ้นหวังจากวัตถุ

สถาบันศึกษาศาสนา อัลมะฮ์ดี (อ.)

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม