จริยธรรมของอิมามญะอ์ฟัร อัศศอดิก

จริยธรรมของอิมามญะอ์ฟัร อัศศอดิก

อิมามญะอ์ฟัร อัศศอดิก (อ.) เป็นอิมามท่านที่ 6 ของสายธารชีอะฮ์อิมามียะฮฺ เป็นหนึ่งในบุตรหลานของท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) ท่านมีสานุศิษย์จำนวนมากมาย เนื่องในวันคล้ายวันชะฮาดะฮ์ของท่าน จึงขอแนะนำท่านอิมาม (อ.) ให้ได้รู้จักกัน

 

ท่านอิมามญะอ์ฟัร อัศศอดิก (อ.) เกิดเมื่อวันที่ 17 เราะบิอุลเอาวัล ฮ.ศ 80 ณ เมืองมะดีนะฮฺ อัล มุเนาวะเราะฮฺ บิดาคือ ท่านอิมามมุฮัมมัด อัลบากิร (อ.) มารดาคือ ท่านหญิง อุมมุฟัรวะฮฺ บุตรสาวของท่านกอซิม บิน อบูบักร์ ท่านเคาะลิฟะฮฺที่ 1

อิมามศอดิก (อ.) ได้กล่าวถึงมารดาของตนไว้ว่า มารดาของข้าพเจ้าเป็นผู้มีความศรัทธา มีความสำรวมตนต่อพระเจ้า และมีความประพฤติดีงาม อัลลอฮ์ทรงรักบรรดาผู้ประพฤติดี

อิมามญะอฺฟัร (อ.) ได้ชชีวิตอยู่กับท่านอิมามซัจญาด (อ.) ผู้เป็นปู่นานถึง 15 ปี และอยู่กับท่านอิมามบากิร (อ.) ผู้เป็นบิดานานถึง 34 ปี

ผู้คนทั้งหลายเรียกขานท่านฉายานามหลายอย่างเช่น อัศศอบิร (ผู้มีความขันติ) อัลฟาฎิล (ผู้มีเกียรติ) 

อัฏฏอฮิร (ผู้สะอาด) แต่ที่รู้จักกันจนเป็นที่แพร่หลายมากที่สุดก็คือ อัศศอดิก (ผู้สัจจะ) ฉายานามทั้งหมดล้วนเป็นหลักฐานบ่งบอกถึงบุคลิกภาพทางด้านจริยธรรม และวิถีการดำเนินชีวิตที่ดีงามของท่านอิมาม (อ.) ทั้งสิ้น

เมื่ออิมามฮุซัยนฺ (อ.) ได้พลีชีพแล้ว ความอธรรมต่างๆ ที่ผู้ปกครองในตระกูลอุมัยยะฮฺได้กรทำต่อบรรดามุสลิม เป็นสาเหตุทำให้อำนาจการปกครองของพวกเขาต้องเสื่อมและล่มสลาย และเปิดทางให้กับผู้ปกครองในตระกูลอับบาซียะฮฺ ซึงหลอกลวงประชาชนโดยพวกเขาประกาศเชิญชวนให้ประชาชนสนับสนุนบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) แต่หลังจากพวกเขาได้อำนาจมาอยู่ในมือได้ไม่นาน ก็กลับกลายเป็นศัตรูที่ร้ายกาจของอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ทันที

อิมามศอดิก (อ.) ได้ใช้ชีวิตอยู่กับความอยุติธรรมของวงศ์อุมัยยะฮฺเป็นเวลานานมากกว่า  40 ปี และยังได้ใช้ชีวิตอยู่ใสมัยการปกครองของวงศ์อับบาซซียะฮฺอีกมากกว่า 20 ปี เป็นการดำเนินชีวิตที่ห่างไกลจากบทบาททางการเมืองอย่างสิ้นเชิง เพื่อปลูกฝังหลักการศรัทธาให้มั่นคงในจิตใจของผู้คนทั้งหลาย อิมามซอดิก (อ.) ยังได้เผยแผ่จริยธรรม และหลักความเชื่อของอิสลามในสมัยที่หลักความเชื่อที่ปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้า และความเชื่อที่บิดเบือนกำลังแพร่ระบาด อิมามศอดิก (อ.)  ได้ยืนหยัดต่อสู้กับพวกปฏิเสธพระเจ้าและพวกไร้ศาสนา และในสมัยของท่านนั้นเองที่มัซฮับอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ได้แพร่ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง

 

จริยธรรมและบุคลิกภาพ

ซัยดฺ บุตรของอลี นักปฏิวัติสังคมผู้มีเชื่อเสียงกล่าวว่า ทุกสมัยจะมีบุรุษคนหนึ่งจากพวกเรา อะฮฺลุลยัยตฺ เป็นผู้ที่อัลลอฮฺ ทรงทำเป็นข้อพิสูจน์แก่ปวงบ่าวของพระองค์เสมอ และข้อพิสูจน์สำหรับยุคสมัยของเราก็คือบุตรของพี่ชายของข้าพเจ้านั่นเอง ญะอฺฟัร อัศศอดิก บุตรของมุฮัมมัด อัลบากิร แน่นอน คนที่ปฏิบัติตามเขาจะไม่หลงผิด และคนที่ขัดแย้งกับเขาจะไม่ได้รับทางนำ

มาลิก บุตรของอนัส อิมามมัซฮับมาลิกี ได้กล่าวถึงท่านว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ สายตาของข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นใครเหนือกว่าญะอฺฟัร บินมุฮัมมัด ในด้านความสมถะ มีเกียรติ เคร่งครัดในการเคารพภักดีและสำรวมตน ข้าพเจ้าเคยมุ่งไปหาท่าน ท่านได้ให้เกียรติและจูบข้าพเจ้า

อบูฮะนีฟะฮฺ อิมามมัซฮับ ฮะนะฟี เคยเป็นศิษย์ของท่านอิมามศอดิก (อ.) สองปี อบูฮะนีฟะฮฺกล่าวว่า หากไม่มีสองปีนี้แน่นอน นุอฺมาน (อบูฮะนีฟะฮฺ) ต้องพินาศแน่นอน

สหายของท่านอิมามศอดิก (อ.) คนหนึ่งกล่าวว่า ข้าพเจ้าเคยอยู่ที่เมืองมะดีนะฮฺกับอบูอับดุลลอฮฺ (หมายถึงอิมามศอดิก) ขณะทีท่านขี่ลาของท่าน เมื่อเราไปถึงใกล้ตลาด

อิมามศอดิก (อ.) ได้ลงจากหลังลา แล้วก้มกราบ (สุญูด) ต่ออัลลอฮฺท่านอยู่ในท่าสุญูดนาน ส่วนข้าพเจ้าก็รออยู่ แล้วท่านก็เงยศีรษะขึ้นข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าอุทิศตนเป็นผู้รับใช้ท่าน เมื่อสักครู่นี้ท่านลงจากหลังลาแล้วสุญูดเป็นเวลานานเป็นเพราะอะไร อิมามศอดิก (อ.) ตอบว่า เพราะว่าฉันรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่ทรงประทานให้แก่ฉัน ดังนั้น ฉันจึงสุญูดด้วยความขอบคุณต่อพระองค์

สหายของอีกท่านหนึ่งของท่านกล่าวว่า ข้าพเจ้าเคยเห็นอบูอับดุลลอฮฺ (อ.) ถือพลั่วไว้ในมือ แล้วนุ่งผ้าอย่างรัดกุม ท่านกำลังทำงานในสวนของท่านอยู่ แถมมีเหงื่อไหลออกมาจนเปียกโชก ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวกับท่านว่า ข้าพเจ้าได้ถูกกำหนดมาเพื่อรับใช้ท่าน โปรดยื่นพลั่วมาให้ข้าพเจ้าเพื่อช่วยเหลือท่านในการทำงานเถิด ท่านได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า แม้จริงฉันชอบที่เป็นคนทนทุกข์กับความร้อนของแสงแดดในการทำงานเลี้ยงชีพ

วันหนึ่งท่านอิมามศอดิก (อ.) ได้ส่งคนรับใช้ไปทำธุระบางอย่าง แต่เขาได้ล่าช้ามาก ดังนั้น อิมาม (อ.) จึงออกไปตามหาและพบว่าเด็กรับใช้คนนั้นกำลังหลับอยู่ ดังนั้น อิมาม (อ.) จึงนั่งโบกลมให้เขาทางด้านศีรษะ จนกระทั่งเขาตื่นอิมาม (อ.) จึงกล่าวด้วยความเมตตาว่า เจ้านอนทั้งกลางวันและกลางคืนเชียวหรือ กลางคืนเป็นสิทธิของเธอที่จะนอนพักผ่อน ส่วนกลางวันเป็นสิทธิของเราที่เธอจะต้องทำงาน

ท่านอิมาม (อ.) ได้ว่าจ้างคนมาทำสวน ครั้นเลิกงานแล้วอิมามศอดิก (อ.) ได้สั่งแก่มุอฺตัมคนรับใช้ว่า จงมอบค่าจ้างให้คนเหล่านั้นก่อนที่เหงื่อของพวกเขาจะแห้ง

ในยามค่ำคืน ท่านอิมาม (อ.) จะจัดการนำกระสอบที่บรรจุขนมแป้งสาลี เนื้อและเงินดิรฮัมมา แล้วแบกขึ้นย่ามเพื่อนำไปแจกจ่ายชาวเมืองมะดีนะฮฺผู้มีความเดือดร้อน ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่รู้จักท่านเลย และเมื่ออิมามศอดิก (อ.) สิ้นชีวิต พวกเขาก็ไม่พบเห็นที่ทำเช่นนั้นอีกเลย เมื่อนั้นเองผู้คนจึงรู้ว่าบุคคลที่แบกสิ่งของนำมาแจกจ่ายแก่พวกตนในยามค่ำคืนก็คือ ท่านอิมามญะอฺฟัรอัศศอดิก (อ.) นั่นเอง

 

อิมามซอดิก (อ.) กับซุฟยาน อัซเซารียฺ

ครั้งหนึ่งซุฟยาน อัซเซารียฺ เดินผ่านมาในมัสญิดอัลฮะรอม เขาได้เหลือบไปเป็นท่านอิมาม (อ.) ซึ่งกำลังอยู่ในชุดเสื้อผ้าที่มีราคาแพงสวยหรู เขากล่าวทันทีว่า ขอสาบานด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ ฉันจะขอต่อว่าเดี๋ยวนี้ แล้วเขาก็ขยับเขาไปใกล้อิมามศอดิก (อ.) พลางกล่าวว่า

โอ้ บุตรของศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ นีมันมิใช่ชุดต่างกายของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ และมิช้าชุดแต่งกายของท่านอิมามอะลี บุตรของอบูฏอลิบ และมิใช่ชุดของคนใดที่เป็นบรรพบุรุษของท่านเลย

อิมามศอดิก (อ.) กล่าวว่า ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ)  อยู่ในยุคของคนจน แต่อยู่ในยุคของคนรวย ผู้มีคุณธรรมนั้นย่อมมีสิทธิ์ในการครองครองสิ่งที่เป็นความโปรดปรานของอัลลอฮฺมากกว่าคนอื่น จากนั้นอิมามศอดิก (อ.) ได้อ่านพระดำรัสของผู้ทรงสูงส่งว่า จงกล่าวเถิดใครกันที่ห้ามเครื่องประดับของอัลลอฮฺ และปัจจัยยังชีพที่พระองค์ทรงประทานลงมาแก่เจ้า (อะอฺรอฟ / 32)

อิมามศอดิก (อ.) ได้กล่าวว่า ดังนั้น เราจึงมีสิทธิที่จะรับเอาสิ่งเหล่านี้ อันเป็นสิ่งที่อัลลอฮฺทรงประทานมาให้ หลังจากนั้นท่านอิมาม (อ.) ก็ได้เลิกชายผ้านั้นขึ้น ปรากฏว่าเสื้อชั้นในเป็นชุดธรรมดา ท่านอิมามได้กล่าวว่า โอ้ เชารียฺ ชุดข้างนอกที่เจ้าเห็นอยู่นี้เป็นชุดสำหรับคนทั้งหลาย ส่วนชุดนี้เป็นของฉันจริง

 

อิมาม (อ.) กับการค้าขาย

อิมามศอดิก (ป.) ได้เรียกคนใช้คนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า มุซอดิฟ มาพบและมอบเงินจำนวน 1000 ดีนาร ให้ไปค้าขาย อิมามได้สั่งเขาว่า จงเตรียมเสบียงให้พร้อมเพื่อการเดินทางไปขายสิ้นค้าที่อียิปต์ ส่วนฉันเองไปด้วยไม่ได้ เพราะมีสมาชิกในครอบครัวที่ต้องดูและหลายคน มุซอดิฟก็ลงมือจัดแจงเตรียมสิ้นค้า แล้วออกเดินทางพร้อมกับกองคาราวานสิ้นค้าของพ่อค้ากลุ่มหนึ่งที่จะไปอียิปต์ ในระหว่างทางกองคาราวานของพ่อค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่เดินทางกลับจากอียิปต์ มาพบกับพวกเขาเข้า พวกเขาจึงถามพ่อค้ากลุ่มนั้นว่า สิ้นค้าอะไรบ้างซึ่งเป็นที่ต้องการของประชาชนที่นั้น พ่อค้าเหล่านั้นก็บอกว่า ที่อียิปต์ไม่มีสิ้นค้าอะไรสักอย่างเดียว ดังนั้น พ่อค้ากลุ่มที่กำลังจะนำสิ้นไปขายยังอียิปต์ และมุซดิฟก็ตกลงกันว่าจะโก่งราคาสินค้าที่กำลังจะไปไปขาย ครั้นเมื่อไปถึงอียิปต์พวกเขาขายสินค้าบวกกำไรอีกหนึ่งเท่าตัว เมื่อขายหมดแล้วจึงเดินทางกลับมะดีนะฮฺ

มุซอดิฟ ได้เข้าไปพบอิมามศอดิก (อ.) พร้อมกับถุงเงินสองถุง แต่ละถุงบรรจุเงิน 1000 ดีนาร เขาบอกกับอิมามว่า โอ้ นายทานถึงนี้เป็นต้นทุน ส่วนถึงนี้เป็นกำไร

อิมาม (อ.) ถามด้วยความประหลาดใจว่า ทำไมกำไรจึงมากมายขนาดนี้

มุซอดิฟ ได้เล่าเรื่องความต้องการสิ้นค้าดังกล่าวของประเทศอียิปต์ให้อิมามฟัง และเล่าด้วยว่าพวกพ่อค้าได้ตกลงกันว่าจะฉวยโอกาสจากความต้องการของคนอียิปต์ในคราวนี้ และพวกเขาได้ตกลงระหว่างกันว่าจะบวกกำไรหนึ่งเท่าตัวของสินค้า อิมามศอดิก (อ.) รู้สึกเสียใจมากจึงกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจว่า มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่อัลลอฮฺ พวกเจ้าตกลงกันที่จะเอาเปรียบมุสลิมว่าจะไม่ขายสินค้าให้พวกเขา เว้นเสียแต่จะต้องได้กำไรดีนารต่อดีนารเชียวหรือ

อิมามศอดิก (อ.) จึงรับคืนเฉพาะต้นทุนเท่านั้น แล้วกล่าวว่า นี่คือส่วนที่เป็นเงินของเรา และไม่มีความจำเป็นอันใดสำหรับที่จะเอากำไรกับเรื่องนี้ ต่อจากนั้นอิมามศอดิก (อ.) ยังได้กล่าวอีกด้วยว่า โอ้ มุซอดิฟเอ๋ย การต่อสู้กับคามดาบนั้น ยังดูง่ายดายยิ่งกว่าการแสวงหาทรัพย์สินที่อนุมัติเสียอีก

มีคนยากจนรายหนึ่งมาขอบริจาคจากท่านอิมามศอดิก (อ.) ท่านจึงถามคนรับใช้ว่า ที่เจ้ามีเงินอยู่เท่าไหร่

คนรับใช้ 400 ดิรฮัมขอรับ

อิมามศอดิก (อ.) จงให้เขาไปทั้งหมด เมื่อคนยากจนรับแล้วก็อำลาไปด้วยความขอบคุณ

สักครู่หนึ่งอิมามซอดิก (อ.) ได้สั่งคนรับใช้ว่า จงเรียกเขากลับมาก่อน

เมื่อกลับมาถึงคนยากจนก็ได้ถามความประหลาดใจว่า เมื่อข้าพเจ้าขอจากท่าน ท่านก็ได้ให้ข้าพเจ้า แล้วหลังจากนั้นยังมีอะไรอีก

อิมามศอดิก (อ.) กล่าวว่า ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เคยสอนว่าทานบริจาคที่ดีนั้นคือ การทำให้มีการเพียงพออยู่ตลอดไป และแท้จริงเมื่อครู่นี้ฉันยังมิได้ทำให้ท่านพอเพียง ดังนั้น จงรับแหวนวงนี้ไปด้วยเถิด ซึ่งมันมีราคาถึง 10,000 ดิรฮัม ครั้นถ้าหากท่านมีความจำเป็นก็จงขายไปในราคานี้

 

การทำความดีกับมารดา

มีชายชาวคริสต์คนหนึ่งได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม แล้วได้มาหาท่านอิมามศอดิก (อ.) แล้วอิมามก็ได้เชื้อเชิญให้เข้าไปหา แล้วกล่าวกับเขาว่า ลูกเอ๋ย จงถามมาเถิดในสิ่งที่ลูกต้องการจะถาม

ขายหนุ่มกล่าวว่า ทั้งบิดามารดาของข้าพเจ้า และภรรยาของข้าพเจ้าก็ยังเป็นคริสเตียนอยู่ โดยเฉพาะมารดานั้นสายตาพร่ามัว สวนข้าพเจ้าก็ยังอาศัยอยู่กับเขา และรับประทานอาหารในภาชนะของพวกเขา

อิมามซอดิก (อ.) พวกเขากินสุกรหรือไม่

ชายหนุ่ม  มิได้

อิมามซอดิก (อ.) จงรับประทานร่วมกับพวกเขาต่อไป และฉันขอสั่งเสียเจ้าเกี่ยวกับมารดาของเจ้าว่า อย่าได้บกพร่องในการกระทำดีต่อนาง และเจ้าจงเป็นผู้รับภาระในกิจการของนาง

ชายหนุ่มคนนั้นได้กลับไปยังเมืองกูฟะฮฺ เมื่อมารดาได้แลเห็นมารยาทที่ดีงามของเขาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็ถามว่า ลูกเอ๋ย ทำไมลูกไม่เคยปฏิบัติกับแม่อย่างนี้ ในขณะที่ลูกยังอยู่ในศาสนาของแม่ อะไรทำให้แม่เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ นับแต่เจ้าได้ออกจากศาสนาของเราไป แล้วเข้านับถือศาสนาอิสลาม

ชายหนุ่ม บุตรหลานคนหนึ่งของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้สอนลูกเช่นนี้ครับแม่

มารดา เขาเป็นศาสดาด้วยหรือ

ชายหนุ่ม ไม่ใช่หรอก แต่ท่านเป็นลูกหลานของท่านศาสดา

มารดา ถ้าเช่นนั้นศาสดาของลูกก็ต้องเป็นศาสดาที่ดีที่สุด จงแนะนำให้แม่รู้จักศาสนานี้ด้วยเถิด

แล้วลูกชายก็ได้แนะนำให้มารดาของเขาเข้าใจศาสนาอิสลาม ครั้นแล้วนางก็ยอมรับ จากนั้นลูกชายก็ได้สอนให้นางนมาซ

อิมามศอดิก (อ.) กับชีวิตจำเจ

อิมามซอดิก (อ.) เคยกล่าวว่า การให้ชีวิตจำเจอยู่กับความอิ่มเอิบนั้น ให้มีติดต่อกันได้ไม่เกิน 40 วัน ส่วนการให้ชีวิตจำเจอยู่กับความเดือดร้อนและการทดสอบอันขมขื่นนั้นให้มีติดต่อกันได้ไม่เกิน 3 วัน ฉะนั้น ถ้าอยู่ในความอิ่มเอิบเกิน 40 วัน ถือว่าคนผู้นั้นเป็นผู้ถูกสาปแช่ง และถ้าอยู่ในความขัดสนเกิน 3 วัน ก็ถือว่าคนผู้นั้นเป็นคนถูกสาปแช่งเช่นกัน

ในภาวะที่ความต้องการของประชาชนมีสูง อิมามศอดิก (อ.) ได้สั่งคนรับใช้ของท่านว่า จงไปซื้อข้าวบาร์เลย์มา และจงผสมกับอาหารหลักของเรา เพราะว่าฉันรังเกียจที่จะกินอาหารดีๆ ในขณะที่ชาวบ้านกินอาหารเลวๆ

คืนหนึ่งเมื่อความมืดเข้ามาปกคลุมทั่วเมืองมะดีนะฮฺ ขายคนหนึ่งชื่อ มุอัลลา บิน ดุนิซ ได้เห็นอิมามศอดิก (อ.) กำลังได้รับความลำบากท่ามกลางสายฝนและความมืด ขณะเดียวกับที่ยังแบกกระสอบที่บรรจุแป้งอยู่ด้วย ดังนั้น มุอัลลาจึงเดินตามไปดูเพื่อตนจะได้รู้ว่าอิมามซอดิก (อ.) กำลังจะไปไหน ได้มีขนมปังบางส่วนหล่นลง อิมาม (อ.) ได้หยิบขนมปังรวบรวมแล้วเดินต่อไป จนกระทั่งถึงที่อยู่อาศัยของคนยากจน ซึ่งกำลังนอนหลับอยู่ อิมาม (อ.) ได้หยิบขนมปังวางไว้ที่หัวนอนแต่ละคน คนละสองชิ้น ดังนั้น มุอัลลาจึงเข้าไปใกล้ๆ แล้วถามอิมาม (อ.) ว่า พวกเขาเป็นสหายของท่านหรือ

อิมาม (อ.) ตอบว่า มิใช่หรอก

นอกจากนั้นแล้วท่านอิมาม (อ.) ยังให้การอุปการะอีกหลายครอบครัว โดยจะแบกของไปให้พวกเขาในยามกลางคืน ในขณะที่พวกเขาไม่รู้จนกระทั่งเมื่ออิมาม (อ.) ได้เสียชีวิตลง สิ่งของทั้งหลายที่เคยมีมายังพวกเขาในยามค่ำคืนก็ขาดหายไปด้วย นั่นแหละผู้คนจึงรู้ว่า คนที่เคยนำข้าวของมาแจกจ่ายพวกเขาก็คือ ท่านอิมามศอดิก (อ.) นั่นเอง

ครั้งหนึ่งเมืองมะดีนะฮฺได้ประสบกับความแห้งแล้ว ทำให้ข้าวสาลีขาดตลาด อิมามศอดิก (อ.) จึงถามมุอฺตับ คนรับใช้ของคนถึงข้าวสาลีที่มีอยู่ มุอฺตับกล่าวว่า ที่เรามีอยู่ขณะนี้ยังพอไปอีกหลายเดือน อิมาม (อ.) จึงสั่งให้นำไปขายออกสู่ตลาด มุอฺตับแปลกใจมาก เขาพยายามให้ท่านอิมามแบ่งข้าวสาลีออกเป็นสองส่วน แต่อิมามไม่ยอมกระทำตาม

มุชชาร อัลมะการียฺ รายงานว่าครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้เข้าไปหาอบูอับดุลลอฮฺ อัศศอดิก (อ.) ปรากฏว่ามีอินทผลัมพวงหนึ่งวางอยู่ตรงหน้าในขณะที่อิมามกำลังนั่งรับประทานอยู่ ท่านกล่าวว่า บุชชาร เข้ามากินซิ ข้าพเจ้าจงกล่าวกับท่านว่า ขออัลลอฮฺ ทรงประทานความสุขสบายแก่ท่านเถิด แต่ข้าพเจ้ารู้สึกไม่พอใจกับสิ่งหนึ่งที่ได้เห็นระหว่างทาง มันทำให้จิตใจของข้าพเจ้าหดหู่ ที่ได้เห็นเจ้าหน้าที่ทุบตีหญิงคนหนึ่งแล้วนำตัวไปขัง ในขณะที่นางร้อง ขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺและศาสนทูต

ข้าพเจ้าได้ถามผู้คนแทบนั้น พวกเขาบอกว่า บังเอิญนางหกล้มที่ทางเดิน แล้วอุทานว่า ขออัลลอฮฺทรงสาปแช่งกลุ่มชนที่อธรรมต่อท่านหญิงฟาฎิมะฮฺด้วยเถิด

ท่านอิมาม (อ.) หยุดรับประทานแล้วร่ำไห้ จนกระทั่งผ้าเช็ดหน้าเปียกชุ่มต่อจากนั้นท่านก็ได้เดินทางไปยังมัสญิด แล้ววิงวอนขอพรให้นาง นางจึงมิได้ถูกขังอยู่นานสักเท่าใดนักก็ถูกปล่อยตัวออกมา หลังจากนั้นอิมามซอดิก (อ.) ก็ได้ส่งเงินให้แก่นางจำนวน 7 ดีนาร เพราะนางเป็นที่ยากจน

 

ขอขอบคุณเว็บไซต์อัตตักรีบมะซาฮิบอิสลาม