เตาฮีด12 (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า)
เตาฮีด12 (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า)
อิลม์ ความรอบรู้ของพระผู้เป็นเจ้า
คุณลักษณะที่อยู่คู่กับอาตมันของพระองค์ “ศีฟาตซาตียะฮ์” คุณลักษณะต่อไปคือ “อิลม์”
นักวิชาการ นักตรรกศาสตร์ และนักปรัชญาสรุปว่าคำว่า”อิลมฺ” ความรู้ เป็นคำที่ไม่ต้องการนิยาม เมื่อพูดคำว่า “อิลมฺ” (ความรู้) สามารถเข้าใจได้ว่าคืออะไร ไม่ต้องการการอธิบายใดๆมาก เป็นสิ่งชัดแจ้งเหมือนกับเวลากลางวัน
- “อิลมฺ” ผู้ทรงรอบรู้ในทุกสรรพสิ่ง ความรู้ของพระองค์ก็เป็นอันเดียวกับอาตมันของพระองค์ เป็นความรู้มาแต่เดิม มนุษย์ไม่สามารถรู้จักและเข้าใจถึงแก่นแท้ของอาตมันแห่งความรู้ของพระองค์ได้ มนุษย์มีความสามารเข้าใจแค่เพียงความหมายของแก่นแท้อันนั้น ความรู้ของพระผู้เป็นจ้านั้นนั้นพระองค์ทรงรู้ถึงสรรพสิ่งทั้งหมดก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะถูกสร้างขึ้นมาและเช่นเดียวกันพระองค์ทรงรู้ว่าสรรพสิ่งจะเป็นอย่างไรหลังจากที่เกิดขึ้นมา ในการสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เกิดขึ้นนั้นแน่นอนว่าจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งนั้น จะสร้างแบบไหน สร้างอย่างไร สร้างตอนไหน สร้างมาเพื่ออะไร จะต้องมีความรู้อย่างสมบูรณ์ ปราศจากความรู้ไม่มีผู้ใดสามารถสร้างสิ่งหนึ่งๆเกิดขึ้นมาได้อย่างถูกต้องและสมบูรณ์ได้ และยังคุณลักษณะอื่นๆที่แตกย่อยมาจาก”อิลมฺ”คือ ตัวอย่างเช่น“อัซซะมีอฺ”ผู้ทรงได้ยิน และ “อัลบะซีร” ผู้ทรงมองเห็น พระองค์ทรงรอบรู้ในปรากฏการณ์ต่างๆ พระองค์ทรงมองเห็นทรงได้ยิน ทั้งสองศีฟาตนี้คือผู้ทรงได้ยินและผู้ทรงมองเห็นมีความหมายของ “การรับรู้”อยู่ และเช่นเดียวกัน “อัลฮากีม” ผู้ทรงวิทยาปัญญา ก็แตกย่อยมาจากศีฟาต “อาลีม” ผู้ทรงรอบรู้ของพระองค์
อัลลอฮ์(ซบ) เป็นผู้ทรง “อาลีม”(ทรงรอบรู้) ท่านอิมามศอดิก(อ) กล่าวว่า “อัลลอฮุอิลมุน” (อัลลอฮ์คือความรู้) ผู้ใดที่แสวงหาความรู้ก็เท่ากับว่าเขากำลังแสวงหาพระองค์
- สามารถรู้ได้อย่างไรว่าพระองค์มีความรู้
1 พิจารณาจากสิ่งถูกสร้างต่างๆ (มัคลูก) พบว่าในสิ่งถูกสร้างต่างๆนั้นเกี่ยวข้องกับความรู้ สิ่งถูกสร้างมีความรู้ เป็นข้อพิสูจน์ว่าผู้สร้าง มีความรู้ บรรทัดฐานในเรื่องนี้คือสรรพสิ่งต่างๆเป็นสิ่งถูกสร้างของอัลลอฮ์ (มะลูล) อัลลอฮ์คือผู้สร้างก็คือ (อิลลัต) ตามหลักปรัชญา “มะลูล”จะไม่มีอะไรนอกจากสิ่งนั้นได้มาจาก ”อิลลัต” เมื่อพบว่าสิ่งถูกสร้าง ตัวอย่างเช่น พบว่ามนุษย์มีความรู้ แน่นอนว่าผู้สร้างหรือพระเจ้าก็ต้องมีความรู้ด้วย และยิ่งพบมนุษย์ที่มีความรู้มากเท่าใดเราก็ยิ่งรับรู้ถึงความรู้ที่มากมายของพระองค์ ยิ่งมนุษย์เข้าไปศึกษาในแต่ละสรรพสิ่งจะพบว่าทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นมาด้วยความรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน สรรพสิ่งต่างๆเป็นสิ่งยืนยันถึงความรู้ของพระองค์ และยังพิสูจน์ได้อีกว่าอัลลอฮ์มีความรู้ที่สมบูรณ์เพราะได้พิสูจน์ไปแล้วว่าพระองค์ทรงสมบูรณ์ ไม่ต้องการการพัฒนาไปสู่ความสมบรูณ์แล้วพระองค์ทรงอยู่แล้ว”กามิล”
2 ด้วยการพิจารณาไปยังโลกพบว่าส่วนต่างๆของโลกทั้งหมดวางอยู่บนระบบระเบียบอันน่าทึ่งและกำลังเคลื่อนไหวไปในเป้าหมายเดียวกัน ซึ่งด้านหนึ่งสรรพสิ่งทั้งหมดเป็นสิ่งถูกสร้างของพระองค์ “มะลูล” การมีอยู่ของมันเป็นสิ่งยืนยันและพิสูจน์ถึงการมีอยู่ของพระผู้สร้าง “อิลลัต” ด้วยเหตุนี้สติปัญญาจึงตัดสินว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระผู้สร้างสรรพสิ่งต่างๆขึ้นมาด้วยความมีระบบระเบียบที่กำลังขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายเดียวกัน พระองค์สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาด้วยความไม่รู้ แน่นนอนว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นมาได้ต้องมาจากความรู้และเป็นความรู้ระดับสูงด้วย เมื่อเราพิจารณาโลกจักรวาลพบว่าทุกสิ่งทุกสร้างสัมพันธ์กันหมด มีความเป็นระเบียบ มีความสมดุลบางครั้งไม่สามารถอธิบายได้หมดแต่พอจะสรุปได้ว่า โลกนี้มีความสัมพันธ์ถึงขั้นทีว่า”เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” ระบบที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับเอกภพ เอกภพที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์ค้นพบความเป็นหนึ่งเดียวกัน ตัวอย่างหนึ่งเช่น มนุษย์ต้องการออกซิเจนเพื่อสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ โลกนี้มีต้นไม้มากมายต้นไม้จะพ้นออกซิเจนออกมาในตอนกลางวันและพ้นคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาในตอนกลางคืนและดูดออกซิเจนเข้าไป ถ้าต้นไม้ต้องการออกซิเจนตลอดเวลา มนุษย์จะประสบกับปัญหาขาดออกซิเจน เพื่อความสมดุลในตอนกลางวันต้นไม้จะดูดคาร์บอนไดออกไซด์และพ้นออกซิเจนให้กับมนุษย์ ตอนกลางคืนเป็นเวลาที่มนุษย์พักผ่อนเคลื่อนไหวน้อยและใช้ออกซิเจนน้อย ต้นไม้ก็จะดูดเอาออกซิเจนเข้าไปและจะพ้นกลับให้ในตอนกลางวัน
นอกจากพบว่าพระองค์เป็นผู้รู้แล้วยังพบอีกว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ทรง “รอบรู้” ความเป็นระบบระเบียบ ความเป็นเอกภาพของจักรวาล ความสมดุลของจักรวาล เมื่อมนุษย์พิจารณาไปยังสิ่งใดก็แล้วแต่เขาจะพบถึงความเป็นระบบระเบียบ หลักการนี้เรียกว่าการพิสูจน์พระผู้เป็นเจ้าด้วยสูตรเรขาคณิต คือการหารากฐานการหาแก่นแท้ โดยเริ่มต้นจากภายนอก เช่นการหาจุดศูนย์กลางของวงกลมจุดศูนย์กลางเป็นจุดกำเนิดของวงกลม แต่มนุษย์จะหาจุดศูนย์กลางได้ต้องเริ่มหาจากขอบวงกลม ถ้าจะเปรียบเทียบกับโลกนี้ก็คือ ขอบวงกลมก็คือจักรวาล ส่วนจุดศูนย์กลางก็คือพระผู้เป็นเจ้าเจ้า เมื่อมนุษย์รู้จักโลกมากเท่าใด เขาก็จะรู้จักพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นเท่านั้น
หรืออีกตัวอย่างหนึ่งเมื่อมนุษย์อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเขาพบกับความรู้อย่างมากมายในหนังสือเล่มนั้น แน่นอนเขาจะคิดว่าผู้เขียนหนังสือนั้นต้องมีความรู้ที่สูงกว่าในหนังสือ ถ้าจะเปรียบเทียบโลกนี้คือหนังเล่มใหญ่เล่มหนึ่งของอัลลอฮ์(ซบ)ที่ให้มนุษย์ศึกษา อัลกุรอานก็ได้ยืนยันไว้
ในซูเราะฮ์ลุกมาน โองการที่ 27
وَ لَوْ أَنَّمَا فىِ الْأَرْضِ مِن شَجَرَةٍ أَقْلَامٌ وَ الْبَحْرُ يَمُدُّهُ مِن بَعْدِهِ سَبْعَةُ أَبحُْرٍ مَّا نَفِدَتْ كلَِمَاتُ اللَّهِ إِنَّ اللَّهَ عَزِيزٌ حَكِيم
“และหากว่าต้นไม้ที่มีอยู่ทั้งหมดในแผ่นดินเป็นปากกา และมหาสมุทรเป็นน้ำหมึก มีสำรองให้อีกเจ็ดมหาสมุทร พจนาถของพระองค์ก็ยังไม่หมดสิ้นไป แท้จริงนั้นพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจผู้ทรงปรีชาญาณ”
- ความรู้ของพระองค์กับอาตมันเป็นอันเดียวกัน ไม่สามารถแยกออกจากันได้ ไม่ได้มาจากการประกอบกัน ส่วนความรู้ของมนุษย์กับตัวตนของเขาเป็นคนละอย่างกัน พึ่งเพิ่มเข้ามาใหม่ทีหลัง ถ้าความรู้แยกออกจากมนุษย์ มนุษย์ก็จะเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้ เมื่อมนุษย์เรียนรู้มนุษย์ก็จะกลายเป็นผู้ที่มีความรู้ ซึ่งเป็นความรู้ที่สามารแยกออกจากตัวตนของมนุษย์ได้ ตัวอย่างเช่น การลืมเลือนหรือเลอะเลือน
ความรู้ที่ศาสดานำมานั้นเป็นความรู้ที่ล้ำยุคล้ำสมัย วันเวลายิ่งผ่านไปความชัดเจนของมันก็ยิ่งปรากฏชัด เป็นความรู้ที่ไม่ได้ติดอยู่กับยุคสมัย เมื่อนักจิตวิทยามาศึกษาอิสลามก็พบว่าอิสลามสอนจิตวิทยาที่สูงส่ง เมื่อนักสังคมมาศึกษาอิสลามก็พบว่าผู้ที่สอนวิถีชีวิตของมุสลิมนั้นเป็นผู้รู้เรื่องสังคมมากที่สูงสุด ไม่ว่านักอะไรก็แล้วแต่เมื่อมาศึกษาอิสลามจะพบความรู้ที่สูงส่งในด้านนั้นๆของอิสลาม
- ความรอบรู้ของพระผู้เป็นเจ้าจากทัศนะของอัลกุรอาน
อัลกุรอานก็ได้ยืนยันคุณลักษณะแห่งความสมบูรณ์ความรอบรู้ของพระผู้เป็นเจ้า ในซูเราะฮ์อัลมุลก์ โองการที่ 14
أَ لایَعْلَمُ مَنْ خَلَقَ وَ هُوَ اللَّطِیفُ الْخَبِیرُ
“พระผู้ทรงสร้างจะมิทรงรอบรู้ดอกหรือ พระองค์คือผู้ทรงรอบรู้อย่างถี่ถ้วนผู้ทรงตระหนักยิ่ง”
โองการนี้เป็นการถามในเชิงปฏิเสธว่าเป็นไปได้อย่างที่พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างจะไม่ใช่ผู้ทรงรอบรู้ ด้วยกับคำถามนี้อัลกุรอานก็ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าจำเป็นจะต้องมีความรู้ในสร้างสร้างสรรพสิ่ง และจำเป็นที่พระผู้สร้างก่อนที่จะสร้างนั้นนั้นมีความรู้เกี่ยวกับรายละเอียดของสรรพสิ่งทั้งหมด และยืนยันความรู้ของพระองค์หลังจากที่สร้างสรรพสิ่งขึ้นมา พระองค์ทรงรู้อยู่ตลอดเวลาทรงรู้และมองเห็นสรรพสิ่งทั้งหมดอยู่เสมออีกโองการหนึ่งในซูเราะฮ์อัตตะฆอบุนโองการที่ 11 มายืนยัน
وَ اللَّهُ بِكلُِّ شىَْءٍ عَلِيم
“พระองค์ทรงรอบรู้ในทุกๆสรรพสิ่ง”
อีกโองการหนึ่งในซูเราะฮ์อัลลุกมานโองการที่ 34
إِنَّ اللَّهَ عِندَهُ عِلْمُ السَّاعَةِ وَ يُنزَِّلُ الْغَيْثَ وَ يَعْلَمُ مَا فىِ الْأَرْحَامِ وَ مَا تَدْرِى نَفْسٌ مَّا ذَا تَكْسِبُ غَدًا وَ مَا تَدْرِى نَفْسُ بِأَىِّ أَرْضٍ تَمُوتُ إِنَّ اللَّهَ عَلِيمٌ خَبِير
“แท้จริงความรู้เกี่ยวกับวันกียามัตนั้นอยูณอัลลอฮ์ พระองค์คือผู้ประทานฝนลงมา และประองค์ทรงรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในครรภ์ทั้งหลาย และไม่มีชีวิตใดรู้ได้ว่าพรุ่งนี้เขาจะเจอกับอะไร และไม่มีชีวิตรู้ได้ว่าเข้าจะตายในแผ่นดินใด แท้จริงนั้นอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างถี่ถ้วน ”
จากโองการดังกล่าวยืนยันว่าพระองค์ทรงรู้ถึงสิ่งเร้นลับทรงรู้เกี่ยวกับวันกียามัต ทรงรู้ถึงเวลาของการตกลงมาของฝน ทรงรู้ถึงแม้กระทั้งสิ่งที่อยู่ในครรภ์ว่าอนาคตมันจะเป็นอย่างไร ทรงรู้ถึงอนาคตของมนุษย์ว่าเขาจะตายในเวลาใดและสถานที่ใด
ฮาดิษบทหนึ่งที่ยืนยันถึงความรอบรู้ของพระองค์ทั้งก่อนและหลังการสร้าง จากท่านอิมามศอดิก (อ) จากหนังสืออูศูลุลกาฟี เล่มที่ 1 หน้า 107
لم يزل الله عز وجل ربنا والعلم ذاته ولا معلوم... فلما أحدث الأشياء وكان المعلوم وقع العلم منه على المعلوم،
“อัลลอฮ์ผู้ทรงสูงส่งผู้ทรงเกรียงไกร พระผู้อภิบาลของเราทรงมีมาแต่เดิม ความรู้ของพระองค์เป็นอันเดียวกับอาตมันของพระองค์ในขณะที่ยังไม่มีสรรพสิ่งใดอยู่เลย…และเมื่อสรรพสิ่งเกิดขึ้นมา พระองค์ก็ถูกรู้จัก และสรรพสิ่งก็ได้รู้จักความรู้ของพระองค์”
- ผลของการรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าคือผู้ทรงรอบรู้
1 ประโยชน์แรกคือทำให้มนุษย์มีความเชื่อมั่นในการนับถือศาสนา เขาจะมีความเชื่อมั่นว่าศาสนาที่เขานับถือไม่มีวันผิดพลาดเพราะเป็นศาสนาของผู้ที่ทรงรอบรู้ที่สุด ซึ่งโดยธรรมชาติของมนุษย์ก็จะปฏิบัติตามผู้ที่มีความรู้ ยิ่งถ้าเป็นผู้รอบรู้สูงสุดด้วยการตามของเขาก็จะยิ่งเข้มข้น และสามารถสร้างความเชื่อมั่นความมั่นใจในการปฏิบัติตามคำสอนทางศาสนา เขาจะทำทุกสิ่งทุกอย่างตามความสามารถตามที่พระผู้เป็นเจ้าใช้และออกห่างจากสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าห้าม และเขาจะเชื่อมั่นว่าสิ่งที่พระองค์ใช้มันมีผลดีมีประโยชน์กับเขาอย่างแน่นอน และสิ่งที่พระองค์ห้ามมันไม่ดีมันมีโทษกับมนุษย์อย่างแน่นอน
2 ทำให้มนุษย์เกรงกลัวที่จะทำบาป เพราะเขารู้ว่าพระผู้เป็นเจ้า ทรง”ซะมีอฺ”ทรงรอบรู้ และทรง”บะซีร”ทรงมองเห็น ยิ่งเขารู้ว่าพระองค์รู้มากเขาก็ยิ่งเกรงกลัวในการขัดคำสั่งของพระองค์ ยิ่งมนุษย์รู้รายละเอียดมากเท่าไรมันก็ยิ่งทำให้เขาเกิดความยำเกรงมากเท่านั้น ถ้ามนุษย์รู้ว่าแม้แต่ความคิดไม่ดีของเราพระองค์ก็ทรงรู้ทำให้เขาเกรงกลัวในการคิดในสิ่งที่ไม่ดี การที่มนุษย์รู้ว่าพระองค์ทรงรู้มากมีผลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ แต่ไม่มีมนุษย์คนใดรู้ว่าพระองค์รู้มากขนาดไหน อัลกุรอานยืนยันว่าพระองค์รู้สิ่งที่อยู่ในความคิดของมนุษย์ สิ่งที่อยู่ในหัวใจของมนุษย์ ในซูเราะฮ์อัลฆอฟิร โองการที่ 19
يَعْلَمُ خَائنَةَ الْأَعْينُِ وَ مَا تخُْفِى الصُّدُور
“พระองค์ทรงรู้ถึงการทรยศของสายตา และสิ่งที่หัวใจได้ซ่อนเร้นไว้”
ไม่ว่ามนุษย์คิดอะไรก็ตามพระองค์ทรงรู้มัน พระองค์ทรงรู้ว่าสายตาไหนทรยศ สายตาไหนที่ไม่ทรยศ หรือในอีกโองการหนึ่งที่ยืนยันว่าพระองค์ ทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งในที่ลับทั้งในที่แจ้ง ในซูเราะฮ์อัลตะฆอบุน โองการที่ 4
يَعْلَمُ مَا فىِ السَّمَاوَاتِ وَ الْأَرْضِ وَ يَعْلَمُ مَا تُسِرُّونَ وَ مَا تُعْلِنُونَ وَ اللَّهُ عَلِيمُ بِذَاتِ الصُّدُور
“พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดิน และทรงรอบรู้ในสิ่งที่เปิดเผยและสิ่งที่ซ่อนเร้น อัลลอฮ์(ซบ)นั้นทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในทรวงอกของหัวใจ”
ดังนั้นเมื่อมนุษย์รู้ว่าพระองค์ทรงรอบรู้เขาก็ไม่กล้าทำชั่ว ทั้งในที่ลับหรือในที่ซ่อนเร้น หรือในที่เปิดเผยหรือแม้แต่ความชั่วทางความคิดหรือความชั่วทางจิตวิญญาณก็ไม่เกิดขึ้น มนุษย์จะไม่อิจฉาซึ่งกันและกัน “ความอิจฉากัดกินความศรัทธาดั่งไฟที่เผ่าฟางฟื้น” มนุษย์ไม่กล้า”ตะกับบุร”ยโสโอหัง บาปต่างทางจิตวิญญาณก็จะไม่เกิดขึ้น
สถาบันศึกษาศาสนา อัลมะฮ์ดี (อ.)