เตาฮีด 18 (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า)

เตาฮีด 18 (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า)

 

(ความหมายของ  “อิลาฮ์” “พระผู้เป็นเจ้า” และสาเหตุที่ทำให้เกิดการตั้งภาคี)
  - ความหมายของ “อิลาฮ์” “พระผู้เป็นเจ้า”
    “อิลาฮ์”(พระผู้เป็นเจ้า) หมายถึงสิ่งที่คู่ควรต่อการเคารพภักดีและปฏิบัติตาม (อิบาดัต ฏออัต) คำว่า “คู่ควร” นั้นหมายถึงสิ่งนั้นมีสถานะภาพที่คู่ควรเหมาะสมที่จะเป็นพระเจ้า มีความสามารถที่จะรับการอิบาดัตและฏออัต เหมาะสมที่จะเป็นพระเจ้าหรือมี “ชะนียะฮ์” (สถานะภาพ)ในความเป็นพระเจ้า  
     การมี”ชะนียะฮ์”(สถานะภาพ) ในความเป็นพระผู้เป็นเจ้านั้นคือมีความคู่ควรที่จะเป็น”อิละฮ์”(พระเจ้า) ได้ทำความเข้าใจไปแล้วในตอนที่ผ่านๆมาว่าอัลลอฮ์(ซบ)เป็นทั้ง “ผู้ทรงดำรงอยู่ ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงสร้าง พระผู้ทรงอภิบาล ผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพ    ผู้ทรงมีมาแต่เดิม ผู้ทรงดำรงอยู่ตลอดไป พระองค์มีคุณลักษณะแห่งความสมบูรณ์ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ทำให้มนุษย์เข้าใจคำว่า “ลาอิลาฮาอิลลอฮ์” (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์) ได้อย่างดียิ่งขึ้น  ดังนั้นจะมีผู้ใดอีกที่มีความคู่ควรเหมาะสมในการเคารพภักดีและปฏิบัติตามมากไปกว่าพระเจ้าองค์นี้ที่มีคุณลักษณะแห่งความสมบูรณ์ทั้งหมด
   - สาเหตุของการเกิด “ชีริก” “การตั้งภาคีต่อพระผู้เป็นเจ้า”
โลกทัศน์ของมนุษย์นั้นแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักๆคือ “จิตนิยม” เชื่อในพระเจ้า และ “วัตถุนิยม” ไม่เชื่อในพระเจ้า
    จิตนิยมก็ได้พิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าความเป็นพระผู้สร้างของพระผู้เป็นเจ้า ความเป็นพระผู้อภิบาลของพระผู้เป็นเจ้าและได้พิสูจน์คุณลักษณะแห่งความสมบูรณ์ต่างๆของพระผู้เป็นเจ้าไปแล้ว พระองค์ผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงดำรงอยู่มาแต่เดิม และดำรงอยู่ต่อไป ผู้ทรงพลานุภาพ ผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพ ประทานสิ่งที่ดีที่สุดแก่มนุษย์ แต่ทำไมมนุษย์จึงปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้าอีก ทำไมมนุษย์จึงปฏิเสธศาสนาอีก
* สาเหตุของการปฏิเสธศาสนาที่มีอยู่หลักๆดั้งนี้
1- สาเหตุทางจิตวิทยา (มีปัญหาทางจิตวิญญาณ) ตกเป็นทาสของโลกีวิสัย  ใช้ชีวิตไม่แตกต่างกับสัตว์เท่าไร กิน หาความสุข เหมือนการวิถีชีวิตของสัตว์  ใช้ชีวิตตามฮาวานัฟซูตามกิเลสตัณหา ซึ่งกิเลสมีทั้งดีและไม่ดี กิเลสไฝต่ำเช่นไม่มีความรับผิดชอบไม่อยากมีหน้าที่ใดๆ จึงทำให้ไม่อยากปฏิบัติตามหน้าที่ทางศาสนาไม่ได้ใช้ความคิด ไม่ได้ใช้สติปัญญา ปัญหาทางจิตวิญญาณที่ไฝต่ำมันจะขัดขว้างไม่ให้มนุษย์เข้าสู่สัจธรรม ไม่ให้มนุษย์เจอสัจธรรม หรือบางครั้งอาจจะพบสัจธรรมแล้วแต่ไม่ยอมรับ บรรดาศาสดาของพระเจ้ามาสั่งสอนให้คำความรู้ส่งเสริมให้ปฏิบัติสิ่งที่ดีงามแต่ไม่ปฏิบัติตามเพราะเขารู้สึกว่ามันขัดกับฮาวานัฟซู ความต้องการของเขา
2- ปัญหาทางด้านสังคม ปัญหานี้มีอยู่มากมาย การบีบคั้น การมอมเมา ระบบระเบียบที่ถูกสร้างขึ้นมาที่จงใจนำมนุษย์ออกห่างจากศาสนา  ทำให้มนุษย์ไม่มีเวลามาพิจารณาใคร่ครวญเรื่องราวของศาสนา เช่นบางยุคบางสมัยมีการมอมเมามนุษย์ด้วยการทำให้ไม่มีศีลธรรม เช่นในยุคโรมันมอมเมามนุษย์ไม่ให้คิดถึงความจริงของชีวิต ทำให้ประชาชนมัวเมาอยู่กับสิ่งที่ไม่ให้คุณค่ากับชีวิต ทำให้พวกเขาสงครามกันเอง เมื่อสิ้นสุดสงครามกลับมาจากสงคราม มีสถานบันเทิงไว้บริการ เมืองโรมในยุคนั้นมีสถานที่หนึ่งเรียกว่าโคลีเซียม โดยการเจียรนัยภูเขาทั้งลูกเป็นอัศจรรย์ตรงกลางเป็นสนามคล้ายสนามฟุตบอลและมีการแข่งขันกีฬาแปลกประหลาด เช่นคนต่อสู้กับสิงโตต่อสู้จนตายกันไปข้างหนึ่ง หรือคนต่อสู้กับคน สิบต่อสิบ ยี่สิบต่อยี่สิบ หรือบางครั้งสิบต่อหนึ่งและประชาชนที่ไปดูก็ส่งสียงร้องเหมือนไม่ใช่คน เชียร์กันอย่างเมามันสภาพสังคมยุคนั้นอยู่กันอย่างป่าเถื่อนไม่มีศาสนา และเรื่องราวลักษณะนี้มีอยู่ทุกยุคทุกสมัยบางสังคมมอมเมาด้วยยาเสพติด ดนตรี สิ่งย้วยยวนใจต่างๆ มากมาย  การนับถือศาสนาไม่ใช่เรื่องง่าย  บางคนอยู่ในสังคมศาสนาแล้วยังเป็นคนชั่ว  กฎข้อหนึ่งนั้นในการทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจศาสนาได้ต้องใช้ความสงบต้องใช้สมาธิต้องใช้เวลา พวกศัตรูรู้สิ่งต่างๆเหล่านี้พวกเขาจึงได้ทำลาย ได้มอมเมาประชาชน บางครั้งทำให้ประชาชนยากจนเพื่อที่จะให้ประชาชนหมดเวลาไปกับการทำมาหากินเพียงอย่างเดียวทำให้ไม่มีเวลามาคิดเรื่องราวของศาสนาหรือบางประเทศสกัดกั้นด้วยการใช้ทุนนิยมทำให้ค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งเป็นระบบที่กดขี่ ทำให้นำมันแพงค่าไฟแพงค่าบ้านแพง ค่าใช้จ่ายในชีวิตแพงขึ้น ดังนั้นคนที่ไม่สามารถหาปัจจัยสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องยิ่งดิ้นร้นขวนขวาย  ปากกัดตีนถีบไม่มีเวลาไปพิจารณาเรื่องราวของศาสนา บางประเทศนำระบอบเข้ามา ตัวอย่างเช่น ระบอบคอมมิวนิสต์เป็นระบอบที่ไม่มีศาสนาปฏิเสธศาสนา บอกว่าศาสนาทำให้เสียเวลาในการทำมาหากิน พวกเขาสั่งปิดมัสยิด สั่งปิดวัด สั่งปิดโบสถ์
    และที่เลวร้ายไปกว่านั้นเป็นเพราะระบบศาสนาเอง ในยุคหนึ่งยุค “เรนูซอง” ชาวยุโรปจำนวนมากปฏิเสธศาสนาเกิดลัทธิ “เอนติไคร์” ต่อต้านพระเยซูต่อต้านพระเจ้า ต่อต้านศาสนา มนุษย์หันหลังให้กับศาสนาเป็นเวลานานเป็นอย่างมากและบางยุคตกเป็นทาสของการปฏิวัติอุตสาหกรรม เพราะพวกนักการศาสนารวมหัวกับกษัตริย์ปล้นสะดมประชาชนขูดรีดประชาชนประชาชนถูกดขี่ หรือบางครั้งคำสอนของศาสนาที่ผิดๆและโบร่ำโบรานขัดแย้งต่อต้านวิทยาศาสตร์  ด้านคริสตจักรซึ่งมีอำนาจทางศาสนาสั่งฆ่านักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่าโลกกลม  พระคริสต์อยู่กันอย่างสบายพระราชาอยู่กันอย่างสบาย ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากอยู่อย่างยากลำบากทำให้ประชาชนเกียจชังในศาสนาสภาพสังคมต่ำช้าเลวทราม ก่อนหน้านั้นชาวยุโรปจำนวนมากมีศาสนาสิ่งที่ยืนยันคือสงครามคูเซต คูเซตแปลว่าไม้กางเขนซึ่งก็คือศาสนาคริสต์ แต่หลังจากที่สงครามสิ้นสุดลงเกิดกระแสต่อต้านศาสนามาจนถึงทุกวันนี้ ภาวะสังคมเป็นตัวผลักดันให้มนุษย์ออกจาศาสนา สังคม เศรษฐกิจ ระบบการปกครองในยุคปัจจุบันก็เช่นกันทำให้มนุษย์เป็นเครื่องจักร (ทุนส่ามาน) ค่าใช้จ่ายในชีวิตสูงขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตแพงขึ้น ทำให้สมาธิในการคบคิดเรื่องราวของศาสนาอ่อนแอลง
3- ความอ่อนแอทางด้านสติปัญญา ความคิดและวิชาการ ผู้นับถือศาสนาไม่สามารถอธิบายศาสนาเรื่องราวของศาสนาได้อย่างชัดเจนไม่เข้าใจศาสนา สติปัญญามีไม่เพียงพอ เช่นเมื่อเจอโจทย์สมมุติว่ายอมรับว่าโลกนี้พระเจ้าสร้างขึ้นมา  แต่เมื่อถูกถามว่าแล้วใครสร้างพระเจ้า บางครั้งให้คำตอบไม่ได้
    มนุษย์ไม่มีวันรอดพ้นปลอดภัยถ้าไม่มีคำสั่งสอนจากพระผู้เป็นเจ้าที่ศาสดานำมา เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทุกยุคทุกสมัยมีการสร้างระบบการปกครองต่างๆขึ้นมาแต่สุดท้ายก็พบกับความล้มเลว ระบบต่างเหล่านั้นไม่สามารถตอบโจทย์ต่างๆของมนุษย์ได้แท้จริง หลายครั้งหลายคราวหลายระบบที่พบกับความล้มเหลว เมื่อพบแล้วว่ามันล้มเหลว จึงคิดได้ว่ามันต้องมีคำสอนมีระบบที่สามารถตอบทุกโจทย์ของมนุษย์ได้อย่างถูกต้องและแท้จริงในทุกๆเรื่องของชีวิต และมันไม่ใช่เป็นคำสอนหรือระบบของมนุษย์ที่คิดขึ้นมาเอง เพราะถ้ามนุษย์คิดเองทำเองได้มันก็ต้องมีมานานแล้วประสบการณ์ของมนุษย์เองก็พิสูจน์แล้วว่ามนุษย์ไม่มีความสามารถที่จะทำได้ มนุษย์มีความพยายามกันมาอย่างมากมาย มนุษย์สามารถสร้างพีระมิดได้ สร้างกำแพงเมืองจีนได้ สร้างสวนลอยแห่งบาบิโลน สร้างขีปนาวุธ สร้างดาวเทียม สร้างพลังงานนิวเคลียร์ แต่ทำไมมนุษย์ไม่สามารถคิดค้นระบบระเบียบ การปกครอง ที่มันตอบโจทย์ของมนุษยชาติได้ เพราะสติปัญญาของมนุษย์ไปไม่ถึง
     ปัญหาทางด้านสติปัญญามันมีอยู่หลายแบบบางครั้งเมื่อเกิดเหตุการณ์ทางธรรมชาติเช่น ฟ้าร้อง ก็อธิบายว่าเป็นเสียงของพระรามอสูร ไม่สามารถอธิบายเหตุการณ์สาเหตุทางธรรมชาติได้อย่างถูกต้อง เป็นความอ่อนแอที่ไม่สามารถเข้าใจสัจธรรมของโลกได้
4- ตกอยู่ในทฤษฎีจอมปลอมต่างๆ เช่นเมื่อถูกถามว่ามนุษย์เกิดมาได้อย่างไรเมื่อไม่สามารถให้คำตอบได้ ชาลส์ดาร์วินก็ตั้งทฤษฎีมาว่ามนุษย์เกิดมาจากลิง คนที่มีสติปัญญาไม่เพียงพอก็จะเชื่อได้อย่างงายดาย ชาลส์ดาร์วิน บอกว่ามนุษย์กับลิงมีความคล้ายคลึงกันมาก กิน เดิน รูปร่าง เหมือนกัน  โดยที่มนุษย์ไม่ได้คบคิดว่าถ้าเขามาจากลิงจริงแล้วทำไมไม่มีวิวัฒนาการต่ออีก ตั้งแต่อยู่มาไม่เคยเห็นลิงออกมาจากป่าแล้วมาเป็นคนเลย ทำไมไม่เห็นคนที่ในช่วงระหว่างการวิวัฒนาการครึ่งลิงครึ่งคน
5- ความเชื่อใน”คุรอฟาฮฺ”ต่าง (ความเชื่อที่คร่ำครึ ไม่มีที่มาที่ไป) เช่นในยุคกรีซโบราณ เชื่อในเทพเจ้าจูปีเตอร์ โพซัยดอน ในโรมันก็มีเทพเจ้าอีกลักษณะหนึ่ง ในภูมิภาคแถบชมพู่ทวีปก็มีเทพเจ้าอีกรูปแบบหนึ่ง เช่น พระนารายณ์ พระโพสพ พระธรณี พระแม่น้ำคงคา แม้แต่โลกมุสลิมเองเช่นความเชื่อที่ว่าโลกนี้อยู่บนเขาของของวัว แล้ววัวยืนอยู่บนหลังของปลาวาฬ
6- สัมผัสนิยม เป็นความอ่อนแอทางด้านสติปัญญาที่เชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่นั้นต้องสัมผัสได้ด้วยสัมผัสทั้งห้าเท่านั้น เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องซึ่งได้พิสูจน์ไปแล้วว่ามันมีสิ่งมีอยู่ที่อยู่เหนือการสัมผัสทั้งห้า เช่นเรื่องราวของศาสนาส่วนมาก เป็นเรื่องที่เหนือสัมผัสทั้งห้า เนืองจากความคิดแบบสัมผัสนิยมจึงทำให้มนุษย์ไม่สามารถไปถึงเรื่องราวของศาสนาได้ มีสิ่งมีอยู่มากมายที่ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยสัมผัสทั้งห้าแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เช่น คลื่นทางอิเล็คทรอนิคต่างๆ คลื่นโทรศัพท์ จับไม่ได้มองไม่เห็น  และสิ่งมีอยู่ที่ไม่ใช่วัตถุ และไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยสัมผัสทั้งห้า เช่นความรู้สึกต่างๆ ความรัก ความชอบ ความโกรธ และตัวอย่างที่ดีที่สุดคือความรู้ และสามารถพิสูจน์ถึงความเข้มข้นความมากความน้อยของมันได้ คนที่จำอัลกุรอานทั้งเล่ม กับคนที่ไม่ได้จำมีศีรษะเท่ากัน บางครั้งคนที่จำทั้งเล่มศีรษะเล็กกว่าด้วย ความรู้คือสิ่งที่จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น แต่รู้ว่ามีอยู่

สถาบันศึกษาศาสนา อัลมะฮ์ดี (อ.)