เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

เตาฮีด 19 (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า)

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

เตาฮีด 19 (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า)

 

ความหมายของการตั้งภาคี “ชีริก” และรูปแบบต่างๆของมัน

    “ชีริก” คือความเชื่อในการอภิบาลของสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์(ซบ)ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ทางตรงก็คือการกราบไหว้สิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์(ซบ)เป็นพระเจ้าเชื่อว่าอำนาจเป็นของสิ่งนั้นๆโดยตรงอย่างเป็นเอกเทศ   ทางอ้อมคือเชื่อว่าอัลลอฮ์(ซบ)เป็นพระเจ้าเป็นพระผู้สร้างแต่ในขณะเดียวก็เชื่อว่าสิ่งอื่นเป็นผู้อภิบาลโดยมีอำนาจเป็นเอกเทศในการอภิบาล
     บางครั้งการตั้งภาคีมีความเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติอิบาดัตของมนุษย์ บางครั้งเป็นภาคีที่เปิดเผย บางครั้งอาจจะเป็นภาคีที่ซ่อนเร้น การตั้งภาคีแบบเปิดเผยคือในการปฏิบัติอิบาดัตทำไปเพื่อผู้อื่นที่นอกเหนือจากอัลลอฮ์(ซบ)พร้อมการมีความเชื่อว่าสิ่งๆที่เขาเคารพภักดีนั้นมีความเหมาสมคู่ควรและมีสถานะภาพของความเป็นพระเจ้า และการตั้งภาคีอีกประเภทหนึ่งคือการตั้งภาคีในรูปแบบที่ซ่อนเร้น อิสลามถือว่า ความลุ่มหลงในโลกนี้ การลุ่มหลงตำแหน่ง การปฏิบัติตามกิเลสของตัวเองคือการตั้งภาคีแบบซ่อนเร้น ซึ่งในความเป็นจริงเขากำลังเคารพภักดีอิบาดัตกิเลสใฝ่ตำของตัวเอง อัลกุรอานได้อธิบายไว้ในซูเราะฮ์อัลฟุรกอน โองการที่ 43
أَ رَءَيْتَ مَنِ اتخََّذَ إِلَهَهُ هَوَئه‏
“เจ้าไม่เห็นผู้ที่เอาอารมณ์ใฝ่ต่ำของเขาเป็นพระเจ้าดอกหรือ”
    จากทัศนะของอัลกุรอานผู้ใดที่ปฏิบัติตามกิเลสใฝ่ต่ำของตัวเอง ก็เท่ากับเขาเอากิเลสใฝ่ตำของตัวเองเป็นพระเจ้าเป็นที่ชัดเจนว่านี้คือการตั้งภาคีชนิดหนึ่ง คือการตั้งภาคีในการปฏิบัติอิบาดัต ซึ่งมันไม่ได้เปิดเผยให้เห็นอย่างชัดเจนเหมือนการกราบไหว้บูชารูปปั้น มันคือการตั้งภาคีที่ถูกซ่อนอยู่ซึ่งการตั้งภาคีรูปแบบนี้เกิดขึ้นกับบรรดามุสลิมได้เช่นกัน
    การตั้งภาคีในรูปแบบที่ซ่อนเร้นมีหลายชนิดมีหลายประเภท เช่นบางครั้งช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตของมนุษย์เขาอาจจะมีความเชื่อมั่นไม่ยังสาเหตุต่างๆทางธรรมชาติจนทำให้มันหยั่งรากลึกลงไปในตัวของเขาและในที่สุดทำให้เขาเชื่อว่าสาเหตุทางธรรมชาติสาเหตุทางวัตถุว่าสามารถที่จะคลี่คลายปัญหาของเขาได้อย่างแน่นอนร้อยเปอร์เซนต์ จนเป็นสาเหตุทำให้เขามอบหมายไปยังสิ่งอื่นนอกจากพระองค์ ซึ่งเป็นการตั้งภาคีในการมอบหมายไปยังสิ่งอื่นเหนือพระองค์ “ชิรีกตะวักกัล”  หรือบุคคลหนึ่งได้ยอมจำนนต่อผู้นำที่อธรรมและปฏิบัติตามคำสั่งต่างๆของพวกเขาโดยไม่มีเหตุผลใดๆ สิ่งนี้คือการตั้งภาคีในการเคารพภักดี “ชิรีกอิฏออัต”  และการตั้งภาคีแต่ละประเภทก็มีระดับมีความเข้มข้นของมัน การการตั้งภาคีในรูปแบบที่ซ่อนเร้นนั้นเกิดขึ้นได้ทั้งกับผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมและสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ที่เป็นมุสลิม
- “ฮัดนิศอบเตาฮีด” มาตรฐานหรือปริมาณที่ถือได้ว่าบุคคลหนึ่งมีความศรัทธาในเอกภาพของอัลลอฮ์ ซึ่งแบ่งออกเป็นสองภาคด้วยกัน  “นะศะรี” และ “อะมะลี”
1-“ฮัดนิศอบเตาฮีดนะศะรี การมีความเชื่อความศรัทธาในความเป็นเอกะของอาตมันของพระองค์ ความเป็นเอกะในการสร้างของพระองค์ ความเป็นเอกะในการอภิบาลของพระองค์ ความเป็นเอกะในการวางบทบัญญัติของพระองค์ และความเป็นเอกะในสถานะภาพความเป็นพระเจ้าของอัลลอฮ์(ซบ) การศรัทธาในความเป็นหนึ่งเดียวของพระองค์ และสิ่งอื่นๆทั้งหมดนั้นไม่มีความเหมาะสมคู่ควรในความเป็นพระผู้สร้าง ในความเป็นผู้อภิบาล ในการวางบทบัญญัติ (ยกเว้นนอกในกรณีที่พระองค์อนุญาตให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใด)
 2- “ฮัดนิศอบเตาฮีดอะมะลี” มาตรฐานหรือปริมาณที่มีความจำเป็นในการเป็นมุสลิมในภาคที่เกี่ยวกับการปฏิบัติอิบาดัต อย่างไรก็ตามการตั้งภาคีในรูปแบบที่ซ่อนเร้น เช่น การลุ่มหลงดุนยาและหลงไหล่ในตำแหน่งนั้นยังไม่ขั้นที่เป็นสาเหตุทำให้บุคคลหนึ่งต้องหลุดออกจากความเป็นมุสลิม แต่ทว่าการตั้งภาคีในการปฏิบัตอิบาดัต อย่างเช่นการเคารพภักดีอิบาดัตต่อสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากพระองค์อย่างชัดแจ้งขัดกับเงื่อนไขเบื้องต้นในความเป็นมุสลิม
    บุคคลที่มีมาตรฐานหรือปริมาณในความเป็นมุสลิมครอบตามที่ศานาได้กำหนดไว้นั้น บทบัญญัติต่างๆหน้าที่ทางศาสนาก็จะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเขาเพื่อให้เขาพัฒนาทางจิตวิญญาณ เพื่อให้เขาสามารพัฒนาไปสู่ความสมบูรณ์ และค่อยๆพัฒนาไปสู่ตำแหน่งที่สูงส่งยิ่งขึ้นในความศรัทธาต่อความเป็นเอกะของพระองค์ในระดับอิ่นๆ อย่างเช่นการพัฒนาไปความศรัทธาต่อความเป็นเกะในการขอความช่วยเหลือจากพระองค์ “เตาฮีด อิสติอานัต” ไปสู่ความศรัทธาในความเป็นเอกภาพต่อการมอบหมายเฉพาะยังพระองค์ “เตาฮีด ตะวักกุล” จนกระทั่งเขาสามารถพัฒนาตัวเองให้รอดพ้นจากการตั้งภาคีในรูปแบบที่ซ่อนเร้นได้
ประเด็นที่สำคัญอันหนึ่งคือบางครั้งการสูญเสียความศรัทธาในความเป็นเอกะของพระองค์บางประเภทก็เป็นที่เพียงพอที่จะทำให้หลงทางและนำไปสู่ความโชคร้ายที่นิรันดร์ได้ และในขณะเดียวกันการศรัทธาในความเป็นเอกะในประเภทต่างๆที่มีอยู่นั้นก็ยังไม่เป็นที่เพียงพอในการที่จะนำไปสู่ความผาสุกได้ ตัวอย่างที่ชัดแจ้งหนึ่งคือเรื่องราวของอิบลีส ซึ่งโองการอัลกุรอานหลายๆโองการได้กล่าวไว้ เช่นซูเราะฮ์อัลฮิญร์ โองการที่ 30-31
فَسَجَدَ الْمَلَئكَةُ كُلُّهُمْ أَجْمَعُون إِلَّا إِبْلِيسَ أَبىَ أَن يَكُونَ مَعَ السَّجِدِين‏ ‏
“ดังนั้นมาลาอิกะฮ์ทั้งหมดได้ก้มลงสูญูด เว้นแต่อิบลิสมันได้ปฏิเสธที่จะอยู่กับบรรดาผู้สูญูด”
   ชัยตอนมีความศรัทธาต่อความเป็นเอกะในอาตมันของพระองค์ มีความศรัทธาในความเป็นเอกะในการสร้างของพระองค์ มีความศรัทธาในความเป็นเอกะในการอภิบาลของพระองค์ มีความศรัทธาในความมีสถานะภาพเป็นพระเจ้าของพระองค์ และได้เคารพภักดีอิบาดัตต่อพระองค์ถึงหกพันปี แต่เนื่องจากการขัดคำสั่งของอัลลอฮ์(ซบ)ในการก้มกราบ “สูญูด” ต่อศาสดาอาดัม(อ) จึงเป็นสาเหตุทำให้ชัยตอนถูกสาปแช่งจากพระองค์ ด้วยกับเหตุผลที่ว่าชัยตอนมีความบกพร่องในการศรัทธาต่อความเป็นเอกะในคำสั่งและวางบทบัญญัติของพระองค์ “เตาฮีด ตัชรีอี” จึงทำมันให้ตกจากตำแหน่งที่อยู่ในระดับเดียวกับมาลาอิกะฮ์ในตอนนั้นกลายเป็นหัวหน้าของบรรดาชาวนรก
- อีกหนึ่งสาเหตุหนึ่งๆของการเกิด “ชีริก” “การตั้งภาคี”
     เกิดจากความผิดพลาดที่เข้าใจว่าสรรพสิ่งหนึ่ง(มะลูล) สามารถมีหลายผู้สร้าง(อิลลัต) ซึ่งตามหลักปรัชญานั้นสรรพสิ่งหนึ่งๆ(มะลูล)นั้นสามารถเกิดมาจากผู้สร้าง(อิลลัต)หนึ่งเดียวเท่านั้น พวกเขาเข้าใจว่าพระเจ้าร่วมกันสร้างสรรพสิ่งต่างๆในโลก พระเจ้าองค์หนึ่งสร้างดวงอาทิตย์ องค์หนึ่งสร้างทะเล องค์หนึ่งสร้างภูเขา องค์หนึ่งสร้างแผ่นดิน ทำไมจึงเกิดความคิดนี้เพราะพวกเขามองไปที่ความแตกต่างทางด้านวัตถุของสรรพสิ่ง เมื่อเห็นความแตกต่าง จึงคิดว่าไม่ได้เกิดมาจากผู้สร้าง(อิลลัต)เดียว คิดว่าไม่ได้มาจากพระเจ้าองค์เดียว หลังจากนั้นพวกเขายังพบอีกว่าผลของมี่เกิดจากสรรพสิ่งต่างๆก็แตกต่างกัน เช่นผลของไฟคือความร้อน ผลของน้ำคือความชุ่มชื่น  เมื่อวัตถุธาตุแตกต่างผลก็แตกต่างด้วยเช่นเดียวกัน พวกเขาพิจารณาไปที่เรื่องของวัตถุไม่ได้พิจารณาไปที่ไปที่แก่นแท้ของการมีอยู่ของสิ่งนั้นๆ
    แต่ถ้าหากมนุษย์พิจารณาไปที่แก่นแท้ของสรรพสิ่งทั้งหมด เขาจะพบว่า โลกทั้งหมดมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน มีความสอดคล้องกัน มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน  หมายความว่าถ้าไม่มีแสงแดดก็ไม่มีน้ำ เพราะแดดทำหน้าทีระเหยน้ำให้เป็นไอ ไปก่อตัวเป็นก้อนเมฆ และไปกระทบกับความเย็นแล้วก็ตกลงมาเป็นน้ำฝน แล้วถ้าสมมุติว่าพระเจ้ามีหลายองค์  สมมุติองค์หนึ่งสร้างน้ำมา องค์หนึ่งสร้างแดดมา แต่อีกองค์หนึ่งไม่ส่งแดดมา น้ำก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้มันมาสมดุลความจะเกิดขึ้น  ถ้าเกิดว่ามีพระเจ้าหลายองค์รวมกันสร้าง แสดงว่าไม่มีใครมีอำนาจเต็ม สามารถทำให้เกิดความสูญเสียความวุ่นวาย แต่ในความเป็นจริงโลกมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และพบว่าสรรพสิ่งดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน มีความสอดคล้องกัน เป็นหนึ่งเดียวกันมันเป็นไปไม่ได้ที่จะมาจากผู้สร้าง(อิลลัต) ที่หลากหลาย มันมาจากการอภิบาลเดียวกันเท่านั้นจึงทำให้ความเป็นหนึ่งเดียวในเอกภาพเกิดขึ้น

สถาบันศึกษาศาสนา อัลมะฮ์ดี (อ.)

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม