เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

อัดล์อิลาฮี 1 (ความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้า)

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

อัดล์อิลาฮี 1 (ความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้า)

 

   “อัลอาดิล” (ผู้ทรงยุติธรรม) เป็นคุณลักษณะหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า (ศีฟัต) แต่ทำไมคุณลักษณะดังกล่าวจึงถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในรากฐานของศาสนา(อูศูลุดดีน) เหตุผลประการหนึ่งเพราะเป็นเรื่องที่มีข้อโต้แย้งมากที่สุด   ในประเด็นนี้การอธิบายความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้านั้น ประเด็นหลักของความขัดแย้งมีทัศนะที่สุดโต่งอยู่สองจำพวก ในประเด็นเรื่องความดี ความชั่ว และเรื่อง กอดอ กอดัร (การกำหนดสภาวะ) และทัศนะอีกหนึ่ง ยึดหลักทางสายกลาง
- พวก ”อาชาอิเราะฮฺ” เข้าใจเรื่อง กอดอ กอดัร แบบ “ญับร”
“ญับร” คือ ความเชื่อว่ามนุษย์ไม่มีสิทธ์เลือกทำอะไรเลย ทุกสิ่งทุกอย่างอัลลอฮ์(ซบ)เป็นผู้กำหนดเอง
    พวก “อาชาอิเราะฮ์” ปฏิเสธเจตนารมณ์เสรีในการเลือก(อิคติยาร)ของมนุษย์ อย่างสิ้นเชิง โดยอธิบายว่า มนุษย์ไม่มีสิทธิเลือกกระทำหรือไม่กระทำสิ่งใดอย่างมีอิสระเสรี  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนถูกกำหนดโดยพระเจ้า เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างพระองค์เป็นผู้ทรงกำหนดโดยที่มนุษย์ไม่มีสิทธิเข้าไปเกี่ยวข้องใดๆได้ เมื่อเชื่อแบบนี้พวกเขาก็นำไปสู่การปฏิเสธสิทธิในการเลือกของมนุษย์(อิคติยาร) พวกเขาเชื่อว่ามนุษย์ไม่มีสิทธิเลือกทำอะไร ถ้าหากจะได้อะไรเดี่ยวพระองค์ก็จะให้เอง พวกเขาดำเนินชีวิตไปตามยถากรรม ในชีวิตไม่มีความกระตือรือร้นขนขวายใดๆ
  ในเมื่อพวก “อาชาอิเราะฮ์” ปฏิเสธสิทธิ์ในการเลือกของมนุษย์(อิคติยาร) เราจะพิสูจน์การมีอยู่ของสิทธิในการเลือกของมนุษย์ ด้วยความรู้ “ฮูศูรี” คือความรู้โดยตัวตนของมนุษย์เองว่าเขามีสิทธิในการเลือก ความรู้ที่มนุษย์รู้ได้ด้วยตัวเอง เป็นความรู้ที่อยู่ด้านในตัวตนของมนุษย์ เป็นความรู้ที่ไม่ต้องมีใครบอกกล่าวสั่งสอน เช่นการรับรู้ถึงความรู้สึกต่างๆของมนุษย์เอง เช่น ความสุข ความสงบ ความเศร้าโศกเสียใจ ความเบิกบาน มนุษย์รับรู้ความรู้สึกต่างๆเหล่านี้ด้วยตัวเขาเองว่ามันมีอยู่ และในเรื่องของ “อิคติยาร”(อิสะเสรีในการเลือก)ก็เช่นกัน มนุษย์รับรู้ได้ว่าเขามีสิทธิในการเลือก เช่น เมื่อเข้าสู่วัยที่สมควรต่อการแต่งงาน ไม่มีใครมาบังคับให้เขาแต่งงานกับใคร หรือกำหนดวันเวลาในการแต่งงาน หรือมนุษย์โดยตัวของเขาเองนั้นเขารู้ว่าเขามีสิทธิเลือกในการกระทำสิ่งต่างๆ เช่นเขาเลือกเองในการที่เรียนด้านศาสนาหรือเรียนด้านอื่นๆ ทั้งหมดล้วนมาจากการเลือกอย่างเสรี(อิคติยาร)ของมนุษย์เอง
    โดยตัวตนมนุษย์รู้ว่าเขามีสิทธิทำสิ่งต่างๆ แต่บางครั้งการที่มนุษย์ไม่สามารถทำในบางสิ่งบางอย่างได้ ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีสิทธิที่จะเลือก เขามีสิทธิที่จะเลือก เพียงแต่เขาไม่มีความสามารถเพียงพอ เขายังไม่เข้มแข้งพอในการทำสิ่งนั้นๆ
     ดังนั้นเมื่อกลุ่มนี้มีทัศนะปฏิเสธ  “อิคติยาร” ความคิดริเริ่มในการจะเปลี่ยนแปลง สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไม่เกิดขึ้น  เพราะเมื่อพวกเขาเชื่อว่า หากจะมีอะไรเกิดขึ้น  พระเจ้าก็จะบันดาลให้เอง  สมมุติ   บุคคลหนึ่งจะร่ำรวยขึ้นมา  พระองค์ก็จะบันดาลให้บุคคลนั้นร่ำรวยขึ้นมาเอง  ในประเด็นนี้มีฮาดีษบทหนึ่งรายงานว่า
“พระองค์จะไม่ทรงกำหนดภาระใดๆนอกจากต้องมีสาเหตุเริ่มของมัน และ”อิคติยาร” ก็เป็น สาเหตุหนึ่ง”
- พวก “มุฮฺตะซิละฮฺ” เข้าใจ กอดอ กอดัรแบบ “ตัฟวีฎ”
    “ตัฟวีฎ” คือความเชื่อที่ตัดขาดจากอำนาจการอภิบาลของอัลลอฮ์(ซบ) มนุษย์มีเจตนารมณ์เสรีในการเลือก (อิคติยาร)อย่างสมบรูณ์ ไม่ต้องพึ่งพิงพระผู้เป็นเจ้าแต่อย่างใด สมมุติถ้ามนุษย์เลือกกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเขาก็จะได้รับผลจากการกระทำนั้นๆอย่างแน่นอน พระเจ้าไม่ได้เข้าแทรกแซงเกี่ยวกับการกระทำของมนุษย์  เชื่อว่าถ้าหากมนุษย์ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว มันต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน ปฏิเสธการเป็นผู้กำหนดผลของการกระทำของอัลลอฮ์(ซบ) เมื่อพระองค์สร้างมนุษย์เสร็จแล้วประองค์จะไม่ยุ่งเกี่ยวใดๆอีก พระองค์ไม่ได้เข้ามาแทรกแซงในการกระทำของมนุษย์ แต่หากเราพิจารณาตามความเป็นจริงแล้ว เหตุการณ์หรือผลลัพธ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น แม้บางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์เลือกกระทำเองแล้วและตั้งใจกระทำอย่างดี แต่ผลลัพธ์ในสิ่งนั้นกลับยังไม่เกิดขึ้น หรือยังไม่ได้รับผลจากการกระทำนั้นๆตามที่หวังมีให้เห็นอย่างมากมาย เช่น สมมุติว่าบุคคลหนึ่ง ขยันขันแข็งในการทำงานอย่างหนักเพื่อหวังความมั่งคั่ง แต่เขาอาจยังคงจนอยู่เหมือนเดิม ไม่ร่ำรวยเหมือนบางคน   หากพิจารณาจากตรรกะทั่วไป เหตุเป็นเช่นใดผลของของมันย่อมเป็นเช่นนั้น แต่ข้อเท็จจริงในชีวิตมนุษย์กลับไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป
    กรณีข้อสมมติข้างต้น  บุคคลที่ทำงานหนักทุกคนกลับไม่ใช่บุคคลที่ร่ำรวยทุกคน  เราจึงเห็นได้ว่าความเชื่อว่ามนุษย์มีเจตนารมณ์เสรีในการเลือกและรับผลของมันเองอย่างสมบูรณ์  โดยพระเจ้าไม่ได้เข้าแทรกแซงใดๆ  จึงเป็นทัศนะที่ขัดแย้งกับความเป็นจริง เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง   ทั้งนี้กลับทำให้ มนุษย์สามารถรับรู้ได้ว่า อำนาจในการเลือกและผลของมันนั้น  แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจตนาของมนุษย์เพียงฝ่ายเดียว เพราะอำนาจที่แท้จริงนั้นเป็นของพระองค์ผู้ทรงอภิบาล ทรงควบคุมและทรงอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ต่างๆเหล่านั้น
   - ส่วนอีกทัศนะหนึ่งเป็นความเชื่อของแนวทางชีอะห์ ซึ่งเป็นทัศนะที่เป็นทางสายกลาง
จากฮาดีษของอิมามศอดิก(อ) ในบิฮารุลอันวาร เล่มที่ 4 หน้าที่ 197
"لا جبر ولا تفویض بل أمر بین الأمرین
“ไม่ใช่ทั้ง”ญับร์”(กลุมที่ปฏิเสธสิทธิเสรีในการเลือกของมนุษย์) และไม่ใช่ทั้ง”ตัพวีฎ”(กลุ่มที่เชื่อว่ามนุษย์มีสิทธิเสรีในการเลือกโดยที่พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับการงานของเขาอีก)แต่ทว่ามันคือเรื่องหนึ่งที่อยู่ระหว่างมันทั้งสอง”
       คือการเชื่อว่ามนุษย์มีสิทธิในการเลือก(อิคติยาร)ในการกระทำสิ่งต่างๆพร้อมรับการเชื่อว่าพระองค์เป็นผู้กำหนดผลของการเลือกของเขา พระองค์เป็นผู้ประทานความสำเร็จ ในสิ่งที่มนุษย์เลือกทำ  
    กลุ่มแนวนี้ปฏิเสธทัศนะที่สุดโต่งของสองกลุ่มข้างต้น โดยอธิบายว่า มนุษย์มีเจตนารมณ์เสรีในการเลือก (อิคติยาร) ในการกระทำใดๆที่อยู่ภายในกรอบของศาสนา แต่ผลของการเลือกนั้นจะเกิดขึ้นหรือเป็นเช่นใด ขึ้นอยู่กับการควบคุมการอภิบาลและพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ตัวอย่างเช่น บุคคลหนึ่งมีความขยันมั่นเพียรในการทำงาน แต่เขาก็จะไม่กล่าวอย่างมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จ เพราะความสำเร็จหรือไม่สำเร็จนั้น  พระองค์คือผู้ประทานให้  มนุษย์จึงทำได้เพียงเลือกกระทำหรือไม่กระทำเท่านั้น   แต่โดยทั่วไปแล้ว  พระองค์จะให้เกิดขึ้นตามตรรกะและเหตุผล โดยวิถีทางธรรมชาติของโลก
     ชีอะห์เชื่อว่าก่อนที่ “กอดอและกอดัร”จะเกิดขึ้นได้นั้น มันต้องมีปฐมเหตุ (มุกอดดิมะฮ์) ของมันก่อน อยู่เฉยๆแล้วเกิดขึ้นเลยนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่ละปฐมเหตุ(มุกอดดิมะฮ์)ก็จะนำไปสู่กอดอและกอดัรที่แตกต่างกันไป เมื่อปฐมเหตุ(มุกอดดิมะฮ์)เปลี่ยน กอดอกอดัรของมันก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย
    เช่น ปฐมเหตุของการเกิดขึ้นของมนุษย์ ต้องผ่านการแต่งงาน ต้องผ่านการปฏิสนธิ ต้องได้รับอาหาร ต้องได้รับปัจจัยต่างๆอย่างมากมาย ต้องผ่านขั้นตอนต่างๆอย่างมากมายและสุดท้ายจะเกิดเป็นมนุษย์ได้หรือไม่ได้นั้นอยู่ที่การทำคลอดถ้ารอดชีวิตมาได้ก็ออกมาเป็นมนุษย์แต่ถ้าไม่รอดชีวิตก็จบลง การกอดอและกอดัรของพระองค์นั้นมีขั้นตอน สถานที่ มีเวลา แต่ผลของการกระทำต่างๆเป็นสิทธิของพระองค์ในการกำหนดจะให้เกิดหรือไม่ให้เกิด มนุษย์มีสิทธิแค่เลือกในการทำปฐมเหตุต่างๆ พระองค์จะกำหนดไปตามปฐมเหตุที่มนุษย์เลือก พระองค์จะให้ประสบความสำเร็จหรือไม่ให้ประสบความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับพระประสงค์พระองค์ และทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ให้เกิดขึ้นนั้นมีวิทยปัญญา(ฮิกมะฮ์)ซ่อนอยู่
     เช่นถ้ามนุษย์อยากรวยขั้นตอนแรกเขามีสิทธที่เลือกปฐมเหตุที่นำไปสู่ความรวย คือการทำงาน ต้องขยัน ส่วนเขาจะรวยหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการกอดอกอดัรของพระองค์ ไม่ใช่ว่าอยากรวยแล้วไม่ทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ ถ้าพระองค์กำหนดให้เขารวยเดี่ยวเขาก็รวยเอง ความเชื่อแบบนี้นั้นไม่ถูกต้อง และเช่นกันเมื่อเขาทำงาน ตั้งใจขยันแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรวยร้อยเปอร์เซนต์อย่างแน่นอนเลย จะรวยหรือไม่รวยนั้นขึ้นอยู่กับการกำหนดของพระองค์ และในเรื่องอื่นๆก็เช่นเดียวกัน มนุษย์มีสิทธิแค่เลือกทำปฐมเหตุ ในการนำไปสู่ความรวย แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ผลของมันจะเกิดไปตามปฐมเหตุนั้นๆ เว้นแต่บางครั้งพระองค์ไม่ให้เกิด มันมีวิทยะปัญญา(ฮิกมะฮ์)ซ่อนอยู่ บางครั้งอาจหมายถึงถ้าพระองค์ให้สิ่งนั้นกับเขา จะส่งผลต่อการความปลอดภัยต่อความศรัทธาของเขา หรืออื่นๆ เพราะพระองค์รู้ว่าการไม่ให้นั้นมีผลดีมากกว่าต่อเขา

สถาบันศึกษาศาสนา อัลมะฮ์ดี (อ.)

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม