อิมามอัศศอดิกกับวิชาการอิสลาม

 

อิมามอัศศอดิกกับวิชาการอิสลาม

 

การก่อตั้งมหาวิทยาลัยอิสลาม

บรรดาผู้ปกครองแห่งราชวงศ์อุมัยยะฮฺ และราชวงศ์อับบาซียะฮฺ ที่สืบต่อมาในภายหลัง พยายามอย่างยิ่งที่จะกำจัดอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) และขับไล่ผู้ที่เป็นพรรคพวกของพวกท่านในทุกหนแห่งออกไป กลุ่มชนรุ่นหลังต่างก็ทำการศึกษาและเล่าเรียนรายงานคำสอนต่างๆ จากบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) กันอย่างลับๆ ในยามที่โอกาสอำนวยให้ทั้งในยุคสมัยของท่านอิมามมุฮัมมัด อัลบากิร (อ.) และท่านอิมามอัศศอดิก (อ.) ผู้เป็นบุตรได้หันหน้าไปสู่งานเผยแผ่วิชาการทางศาสนา และวางรากฐานด้านความศรัทธาในหัวใจของประชาชน

ในสมัยของท่านอิมามศอดิก (อ.) หลักศรัทธาอันบิดเบือนและหลงผิดได้มีการแพร่ระบาดไปทั่ว ท่านอิมามศอดิก (อ.) จึงใช้ความพยายามในการต่อสู้กับความเชื่อเหล่านั้น ดังจะเห็นได้ว่ามหาวิทยาลัย อิสลามอันยิ่งใหญ่ได้ถูกวางรากฐานขึ้นมาโดยผลงานของท่าน ซึ่งได้ผลิตผู้รู้ในศาสตร์สาขาต่างๆ จำนวน 4,000 คน เช่น วิชาการด้านศาสนศาสตร์ คณิตศาสตร์ เคมี ชีววิทยา และด้านการแพทย์

ท่านญาบิร บิน ฮัยยาน นักวิชาเคมีผู้มีชื่อเสียงโด่งดังได้กล่าวอรัมภบทไว้ในวิชาการด้านนี้ว่า ท่านประมุขของข้าพเจ้า ชื่อญะอฺฟัร บิน มุฮัมมัด อัศศอดิก (อ.) ได้บอกเล่าแก่ข้าพเจ้า

ท่านอิมามศอดิก (อ.) ให้เกียรติแก่บรรดานักปราชญ์ผู้ศรัทธา และสนับสนุนให้กำลังใจแก่บุคคลเหล่านี้ อีกทั้งยังได้ชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง ทั้งในการอธิบายและการสนทนาเพื่อการซักถาม เพื่อรับใช้งานศาสนาและปลูกฝังรากฐานของความศรัทธา

ท่านอิมามศอดิก (อ.) รู้สึกเศร้าใจอย่างมากเมื่อได้เห็นบรรดาผู้บิดเบือน ผู้หลงผิด ซึ่งพยายามที่จะสร้างความเหลวไหลให้แก่ความเชื่อถือของคนทั้งหลาย และเผยแพร่ความหลงผิดออกไป

บรรดาผู้หลงผิดสี่คน ได้ชุมนุมกันที่มักกะฮฺและเฝ้าคอยลบหลู่ดูแคลนบรรดานักแสวงบุญที่กำลังเดินเวียนรอบอัล-กะอฺบะฮฺ หลังจากนั้นก็ตกลงกันตัดทอนอัล-กุรอาน ด้วยการรวบรวมหนังสือขึ้นเล่มหนึ่งที่เท่ากัน โดยแต่ละคนรับหน้าที่ประพันธ์กันคนละ 1/4 ของอัล-กุรอาน แล้วกล่าวว่า วันครบสัญญาของเราคือเทศกาลฮัจญฺปีหน้า

หนึ่งปีผ่านไป พวกเขาก็มาชุมนุมกันอีกครั้งหนึ่ง

คนแรกกล่าวว่า ฉันใช้เวลาหนึ่งปีที่ผ่านไปทั้งหมดด้วยการคิดทบทวนอยู่แต่โองการนี้ ความว่า  “ครั้นเมื่อพวกเขาสิ้นหลัง พวกเขาก็รอดพ้นด้วยความปลอดภัย”

ความลึกซึ้งและอรรถรสของโองการนี้ ทำให้ฉันสับสนเหลือเกิน

คนที่สองกล่าวว่า ส่วนฉันก็คิดอยู่แต่โองการนี้

 “โอ้บรรดามนุษย์ อุทาหรณ์หนึ่งได้ถูกหยิบยกมา ดังนั้น จงรับฟังเถิด แท้จริงบรรดาผู้ที่วิงวอนขอต่อสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺนั้น ไม่สามารถจะสร้างแมลงวันแม้เพียงตัวเดียวได้เลย ถึงแม้พวกเขาจะร่วมมือกันเพื่อการนั้นก็ตาม”

 ดังนั้น ฉันจึงไม่สามารถจะประพันธ์ให้ทัดเทียมกับโองการนี้ได้

คนที่สามกล่าวว่า แท้จริงมันมิได้เป็นผลงานของมนุษย์ ฉันใช้เวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาคิดทบทวนถึงโองการนี้

 “และได้มีคำสั่งว่า โอ้แผ่นดินจงดูดซับน้ำของเจ้า และโอ้ ฟากฟ้าจงหยุดหลั่งน้ำฝนเถิดแล้วน้ำก็เหือดแห้ง และพระบัญชาก็เสร็จสิ้น ส่วนเรือนั้นก็ได้จอดค้างอยู่บนภูเขาญูดียฺ และมีคำสั่งว่าความหายนะจงประสบแก่บรรดาผู้อธรรม”

ท่านอิมามศอดิก (อ.) ได้เดินผ่านมาทางพวกเขาแล้วได้หันไปมองพลางอ่านโองการหนึ่งว่า

“แน่นอน ถึงแม้มนุษย์และญินจะร่วมมือกันทำสิ่งคล้ายเหมือนอัล-กุรอาน พวกเขาก็มิอาจนำมาให้เหมือนมันได้เลย และถึงแม้ว่าส่วนหนึ่งของพวกเขจะเป็นผู้ช่วยเหลืออีกส่วนหนึ่งก็ตาม”

 

การถือกำเนิดของมัซฮับ อัล ญะอฺฟะรียฺ

มัซฮับอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ได้แพร่หลายขึ้นในสมัยของท่านอิมามศอดิก (อ.) จึงทำให้มีผู้นับถือเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งประชาชนเรียกขานว่า มัซฮับชีอะฮฺ หรือญะอฺฟะรียะฮฺ ซึ่งมีความหมายพาดพิงไปถึงท่านอิมามญะอฺฟัร อัศศอดิก (อ.) นั่นเอง

ตามความเป็นจริงแล้วมัซฮับ ญะอฺฟะรียะฮฺ มิได้มีอะไรแตกต่างกัน เพราะนั่นก็คือมัซฮับของอะลี (อ.) ที่ถูกลอบสังหารที่มิฮ์รอบ โดยฝีมือของพวกนอกรีด (เคาะวาริจญฺ) และเป็นมัซฮับที่ฮะซัน (อ.) ได้ตายไปด้วยการถูกลอบวางยาพิษโดยฝีมือของมุอาวิยะฮฺ และเป็นมัซฮับที่ฮุซัยนฺ (อ.) ได้พลีชีพให้ในวันอาชูรอนั่นเอง

แน่นอน ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้สั่งบรรดามุสลิมว่าให้ยึดถือคัมภีร์แห่งอัลลอฮฺ และเชื้อสายของท่าน (อะฮฺลุลบัยตฺ) แต่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ เพราะมุสลิมได้หลงลืมคำสั่งเสียของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ดังนั้น บรรดาผู้บิดเบือนจึงได้ละเมิดสิทธิของพวกท่านจึงทำให้ความเสียหายและความอยุติธรรมแพร่ระบาดออกไปอย่างกว้างขวาง ในขณะที่บรรดาผู้ปกครองก็ขับไล่ลูกหลานของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) และพรรคพวกของท่านยิ่งกว่านั้นยังเข่นฆ่าพวกท่าน และประกอบอาชญากรรมอย่างเลวร้ายต่อสิทธิของพวกท่าน ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่กัรบะลาอฺ

ประชาชนต่างตระหนักดีว่า คนเหล่านั้นประสบกับความขาดทุนอย่างใหญ่หลวง กับการทำลายคำสั่งสอนของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) แต่ทว่าพวกเขายังเกรงกลัวอิทธิพลของบรรดานักปกครอง จนกระทั่งบางคนต้องปกปิดความรักที่มีต่ออะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) เพื่อรักษาชีวิตของตนเองและครอบครัว

 

อิมามศอดิก (อ.) กับเคาะลีฟะฮฺมันซูร

ประชาชนต่างโอดครวญกับการปกครองและความอยุติธรรมของราชวงศ์อุมัยยะฮฺ คนบางกลุ่มฉวยโอกาสใช้ความรู้สึกของประชาชน และความรักของพวกเขาที่มีต่อครอบครัวของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เริ่มต้นด้วยการแสดงตนว่าต่อต้านผู้ปกครองราชวงศ์อุมัยยะฮฺในนามของอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) แน่นอน

ตระกูลอับบาซียะฮฺได้พยายามเรียกร้องเชิญชวนประชาชนให้แสวงหา ความพึงพอใจจากวงศ์วานของศาสดามุฮัมมัด ปรากฏว่าคำขวัญนี้ได้ช่วยทำให้การเชิญชวนของพวกเขาแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง และการปฏิบัติของพวกเขาก็ได้เริ่มก่อตัวขึ้นที่เมืองโครอซาน ประชาชนได้มารวมตัวสนับสนุนพวกเขาอย่างรวดเร็ว ดังนั้น พวกเขาจึงประสบชัยชนะและอำนาจรัฐของอุมัยยะฮฺก็สิ้นสุดลง

แทนที่คนในตระกูลอับบาซียะฮฺจะมอบตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺให้กับอะฮฺลุลบัยตฺผู้ที่เป็นเจ้าของ แต่กับพยายามขับไล่ไสส่งตระกูลคนในตระกูลของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ในทุกหนทุกแห่ง พวกเขาได้รับความขมขื่นกับการเข่นฆ่าการเนรเทศ

มันซูร ดะวานิกีย์ ใช้ประเพณีสืบทอดตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺด้วยกำลัง และพยายามวางแผนกำจัดฝ่ายที่ต่อต้านตน เขาได้ฆ่ามุฮัมมัดและอิบรอฮีมผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งทั้งสองคนเป็นลูกหลายของท่านอิมามฮะซัน (อ.) และยังส่งคนสอดแนมไปตามเมืองต่างๆ และได้สั่งการให้ผู้ปกครองเมืองมะดีนะฮฺให้สอดส่องดูแลพฤติกรรมของอิมามศอดิก (อ.) อย่างใกล้ชิดอีกด้วย

ครั้งหนึ่งมันซูรได้เชิญท่านอิมามศอดิก (อ.) เข้าพบ แล้วถามว่า ทำไมท่านมิได้มาเยี่ยมเยือนเราเหมือนกับผู้คนทั้งหลายที่มาเยี่ยมเยือนกัน

อิมามศอดิก (อ.) ตอบว่า สำหรับเราไม่มีกิจการใด ทางโลกที่ทำให้เรากลัวเกรงท่าน และสำหรับท่านก็ไม่มีกิจการใดๆ ทางปรโลกที่ทำให้เราหวังจะได้จากท่าน และท่านก็มิได้อยู่ในความโปรดปรานอันใดที่เราจะต้องรู้สึกยินดีด้วย และท่านก็มิได้อยู่ในความแค้นใดๆ ที่เราจะต้องรู้สึกเสียใจด้วย

มันซูรได้กล่าววาจาสามหาวออกมาว่า ท่านเป็นเพื่อนกับเราเพื่อจะได้ตักเตือนเรา

ท่านอิมาม (อ.)กล่าวว่า ผู้ที่ปรารถนาทางโลกจะไม่ตักเตือนท่าน และผู้ที่ปรารถนาทางปรโลกก็จะไม่ตักเตือนท่านด้วย

มันซูรได้สั่งการให้ผู้ปกครองเมืองมะดีนะฮฺลบหลู่เกียรติยศของท่านอิมามอะลี (อ.) วันหนึ่งเจ้าเมืองมะดีนะฮฺได้ขึ้นบนมิมบัร แล้วกล่าวถึงอมีรุลมุอฺมินีนและบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ในทางที่เสื่อมเสีย ดังนั้น อิมามศอดิก (อ.) จึงลุกขึ้นตอบโต้ว่า

ตามที่ท่านได้กล่าวมานั้น ในส่วนที่เป็นความดีพวกเรานี่แหละคือ ผู้ทรงสิทธิ์กับความดีอันนั้น แต่สำหรับสิ่งที่ท่านได้กล่าวมาในส่วนที่เป็นความเสื่อมเสีย ท่านและเจ้านายของท่าน (เคาะลิฟะฮฺมันซูร) คือผู้ที่คู่ควรมากกว่าใครทั้งหมดกับความเสื่อมเสียอันนั้น

แล้วอิมามศอดิก (อ.) ก็ได้หันไปทางประชาชน พลางกล่าวว่า ข้าพเจ้ายังมิได้บอกพวกท่านอีกหรือว่า คนทีมีน้ำหนักของความดีในตราชูที่เบาที่สุด และคนที่ขาดทุนอย่างยับเยินที่สุดในวันฟื้นคืนชีพ อีกทั้งคนที่ตกอยู่ในสภาพที่เลวทรามต่ำช้าที่สุดได้แก่ คนที่ขายรางวัลแห่งปรโลกของตนเองไปกับผลประโยชน์ทางโลกของบุคคลอื่น และเขาก็คือคนที่ละเมิดศาสนาผู้นี้

หลังจากนั้นเจ้าเมืองจึงได้ลงจากมิมบัรด้วยความอัปยศอดสูที่สุด

ในที่ประชุมของเคาะลีฟะฮฺมันซูร ครั้งหนึ่งได้มีแมลงวันตัวหนึ่ง บินมาไต่ตอมที่จมูกของมันซูร ขณะเดียวกันมันซูรก็พยายามไล่ แต่แมลงวันตัวนั้นก็บินมาเกาะอีก จนทำให้เขารู้สึกรำคาญ ดังนั้น เคาลีฟะฮฺ มันซูรจึงหันไปหาอิมามศอดิก (อ.) แล้วถามว่า อัลลอฮฺ สร้างแมลงวันมาเพื่ออะไร

ท่านอิมาม (อ.) ตอบว่า พระองค์สร้างมาเพื่อลดความองอาจของพวกที่หลงอำนาจให้ต่ำต้อยลง

มันซูรไม่อาจที่จะทนรับสภาพการดำรงอยู่ของท่านอิมามศอดิก (อ.) ได้อีก เขาจึงวางแผนที่จะกำจัดท่าน และในที่สุดเขาก็ได้ลอบวางยาพิษท่าน

 อิมามศอดิก (อ.) ได้พลีชีพในวันที่ 25 เชาวาล ฮ.ศ. 148 ร่างอันบริสุทธิ์ของท่านได้ถูกฝังที่สุสาน ญันนะตุลบะกีอฺ เมืองมะดีนะฮฺ ประเทศซาอุดิอารเบีย

 

ขอขอบคุณเว็บไซต์อัตตักรีบ