อิสลามเบื้องต้น [บทที่ 8] “ความบริสุทธิ์ปราศจากบาป(อัล-อิศมะฮ์)ของบรรดานบีทั้งหลาย”

อิสลามเบื้องต้น [บทที่ 8] “ความบริสุทธิ์ปราศจากบาป(อัล-อิศมะฮ์)ของบรรดานบีทั้งหลาย”


โดย เชคอันศอร เหล็มปาน

ในเรื่อง อิศมะฮ์ (สภาพที่ถูกปกป้องให้พ้นจากความผิด) เป็นคุณสมบัติของบรรดานบีทั้งหลาย ทั้งก่อนและหลังจากการถูกแต่งตั้ง กล่าวคือเราเชื่อว่า บรรดานบีทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์หลุดพ้นจากพฤติกรรมที่น่าละอาย เป็นผู้สะอาดปราศจากความบาปและความผิดพลาดทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นการละเมิดที่เล็กน้อย หรือที่ใหญ่หลวงก็ตาม ท่านคือ มะฮฺศูม พ้นจากความผิด การหลงลืม เผลอเรอ

 

หลักความเชื่อในเเรื่องอิศมะฮ์[สภาพที่ถูกปกป้องให้พ้นจากความผิด] ของบรรดานบี

divider

อิสลามเบื้องต้น [บทที่ 8] “หลักความเชื่อในเเรื่องอิศมะฮ์[สภาพที่ถูกปกป้องให้พ้นจากความผิด] ของบรรดานบี”

ความเชื่อของชาวชีอะห์-ซุนนี่ห์ในเรื่อง อิศมะฮ์[สภาพที่ถูกปกป้องให้พ้นจากความผิดพลาด ความหลงลืม] ของบรรดานบี”

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างชีอะฮฺกับอะฮฺลิซซุนนะฮ์ในเรื่องนี้ก็คือเรื่อง อิศมะฮ์(สภาพที่ถูกปกป้องให้พ้นจากความผิด) กล่าวคือ ชีอะฮ์ถือว่า “อิศมะฮ์” เป็นคุณสมบัติของบรรดานบี อ. ทั้งก่อนและหลังจากการถูกแต่งตั้ง ส่วนอะฮฺลิซซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ ถือว่าพวกเขาเป็นผู้ถูกปกป้องให้พ้นจากความผิดเฉพาะในกรณีที่ทำงานเผยแพร่คำสอนของอัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้น

ความเชื่อของชาวซุนนี่ห์ในเรื่อง อิศมะฮ์
ในเรื่อง อิศมะฮ์(สภาพที่ถูกปกป้องให้พ้นจากความผิด) ชาวซุนนะห์มีความเชื่อว่า เฉพาะในกรณีที่ทำงานเผยแพร่คำสอนของอัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้น ที่ถูกปกป้องให้พ้นจากความผิด การตั้งข้อแม้ไว้อย่างนี้ ก็เพราะถือว่าบรรดาเขาเหล่านั้นก็เหมือนกับมนุษย์ทั่วๆไปที่มีความผิดและความถูกต้อง ได้มีรายงานบอกเล่าในเรื่องนี้ไว้เป็นจำนวนมากในหนังสือศ่อฮีฮฺของพวกเขา โดยยืนยันว่าท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ. นั้น มีความผิดพลาดในหลาย ๆวาระ และปรากฏว่า ศ่อฮาบะฮ์บางคนเสียอีกที่ช่วยทำให้ท่านถูกและแก้ไขให้ท่าน เช่น อย่างในกรณีทำสงครามบะดัรที่ระบุว่า ท่านศาสนทูต ศ. ตัดสินใจผิดพลาดในคราวนั้น และอุมัรเป็นผู้ทำให้เกิดความถูกต้อง และถือว่า “ถ้าหากไม่มี อุมัร แน่นอนท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ. จะต้องพินาศไปแล้ว” [ولولاه لهلك رسول اللّه]

หรืออีกครั้งหนึ่งที่มีรายงานบอกว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ. ถูกเวทมนต์ทางไสยศาสตร์และอยู่ในสภาพที่ถูกเวทมนต์อยู่เป็นเวลาหลายวัน ถึงกับไม่รู้ว่าได้ทำอะไรลงไปบ้าง แม้กระทั่งท่านคิดว่าท่านได้เข้าหาภรรยาของท่านแต่จริง ๆแล้วท่านมิได้เข้าหานางเลย(ในบันทึกคำบอกเล่าของนางอาอิชะฮ์ ภรรยาของท่านนบีมุฮัมมัด กล่าวว่า ในช่วงปลายชีวิตมีคนทำมนต์ดำใส่ท่านนบีมุฮัมมัดจนกระทั่งท่านคิดไปว่าท่านทำสิ่งที่ท่านไม่ได้ทำ เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านจึงวิงวอนขอความช่วยเหลือต่อพระเจ้าให้พ้นจากอิทธิพลของมนต์ดำ “ศ่อฮีฮฺบุคอรี” เล่ม 7 หน้า 29) หรือได้เผอเรอคิดว่าทำในสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปแล้วโดยจริงแล้วมิได้ทำมัน(จาก “ศ่อฮีฮฺบุคอรี” เล่ม 4 หน้า 68)

อีกครั้งหนึ่งที่มีรายงานว่า ท่าน ศ. เผอเรอในนมาซ จนไม่รู้ว่านมาซกี่ร็อกอะฮ์แล้ว (“ศ่อฮีฮฺบุคอรี” เล่ม 1 หน้า 123, เล่ม 2 หน้า 65)

และยังบอกด้วยว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ. นอนหลับสนิทจนกระทั่งบรรดาศ่อฮาบะฮฺได้ยินเสียงกรนของท่านนบี ศ. หลังจากนั้นท่าน ศ. ตื่นนอนแล้วไปนมาซเลย โดยไม่ได้ทำวุฎูอ์(“ศ่อฮีฮฺบุคอรี” เล่ม 1 หน้า 37, หน้า 44, หน้า 171)

ยังได้รายงานอีกว่า :
ท่านเคยนอนตะแคงในบ้านของท่านหญิงอาอิชะฮฺ ในท่าที่เปิดเผยช่วงขาอ่อนทั้งสองข้าง ขณะนั้นอะบูบักรฺ ได้เดินเข้ามาหาและสนทนากับท่าน ศ. ซึ่งท่าน ศ. เองก็ยังอยู่ในสภาพเช่นนั้น ต่อมาอุมัรได้เข้ามาสนทนากับท่าน ศ. อีก ซึ่งท่าน ศ. ก็ยังอยู่ในสภาพนั้นเหมือนเดิม ครั้นเมื่ออุษมานขออนุญาติเข้าพบ ท่าน ศ. ได้ลุกขึ้นนั่งและจัดผ้าของท่าน ศ. ให้เสมอ

และในเมื่อท่านหญิงอาอิชะฮฺ ถามท่าน ศ. ในเรื่องนี้ ท่าน(ศ)ตอบนางว่า “ฉันจะไม่ละอายต่อบุคคลที่มะลาอิกะฮฺยังต้องละอายได้อย่างไร ?..” (“ศ่อฮีฮฺมุสลิม” บทว่าด้วยเรื่อ “ฟะฏออิล อุษมาน” เล่ม 7 หน้า 117)

พวกเขายังได้รายงานอีกว่า : ท่าน ศ. เคยตื่นเช้าในเดือนรอมฎอนโดยมีญุนุบ(ศ่อฮีฮฺบุคอรี” เล่ม 2 หน้า 232,234) แล้วท่าน ศ. ก็ขาดนมาซศุบฮิ

และเรื่องอื่นๆอีกอันเป็นเรื่องเท็จ ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับด้วยสติปัญญา ไม่เป็นที่ยอมรับทางศาสนา และไม่เป็นที่ยอมรับกันในแง่ของคุณสมบัติที่ดี เบื้องหลังของเรื่องเหล่านี้ หาได้มีจุดประสงค์อันใดไม่ นอกจากต้องการที่จะลายบุคลิกภาพของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ. และละเมิดเกียรติของท่าน ศ. และทำให้เห็นว่าตัวของพวกเขาเองพ้นจากความประพฤติที่เสื่อมเสียเหล่านั้น

ความเชื่อของชาวชีอะห์ในเรื่อง อิศมะฮ์
ชีอะฮ์กล่าวว่า เราเชื่อถือว่าบรรดานบี โดยเฉพาะศาสดามุฮัมมัด ศ. ที่จำเป็นต้องมีสภาพมะอ์ศูม (ถูกปกป้องให้ปลอดพ้นจากความบาป ปลอดพ้นจากความชั่วช้าทุกประการ ทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย) นับตั้งแต่ยังเป็นทารก จนกระทั่งตาย จะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ขณะเดียวกันก็จำเป็นจะต้องมีสภาพมะอ์ศูมพ้นจากความเผลอไผล ความผิดพลาด และการลืมเลือน เพราะบรรดานบี คือผู้เผยแพร่ อีกทั้งเป็นผู้พิทักษ์รักษาบทบัญญัติ และเป็นผู้ดำรงตนให้อยู่ในหลักการนั้น กล่าวคือบรรดานบีทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์หลุดพ้นจากพฤติกรรมที่น่าละอายเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นบีมุฮัมมัด ศ. ของเราผู้ได้รับพรอันประเสริฐ สะอาดยิ่ง

ชีอะห์เชื่อว่า ท่านนบี ศ. เป็นผู้สะอาดปราศจากความบาปและความผิดพลาดทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นการละเมิดที่เล็กน้อย หรือที่ใหญ่หลวงก็ตาม ท่านคือ มะฮฺศูม พ้นจากความผิด การหลงลืม เผลอเรอและการถูกเวทมนต์คาถาและพ้นจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่เข้าสติปัญญา ยิ่งกว่านั้น ท่าน ศ. คือผู้บริสุทธิ์พ้นจากการกระทำใดๆที่ขัดต่อความเป็นผู้ดี และจริยธรรมอันสูงส่ง

เป็นต้นว่าการกินบนถนนหนทาง หรือ การหัวเราะออกเสียงดัง หรือการหยอกเย้าที่ไม่ชอบธรรม หรือแม้จะเป็นพฤติกรรมใดๆก็ตามที่น่าตำหนิในทัศนะของผู้มีสติปัญญา และในสังคมทั่วไป แม้กระทั่งเรื่องการที่จะแนบแก้มของตนลงบนแก้มของภรรยาของตนต่อหน้าฝูงชน และให้โอกาสแก่นางเพื่อดูการเต้นรำของชาวซูดาน(ศ่อฮีฮฺบุคอรี เล่ม 3 หน้า 288, เล่ม 2 หน้า 3 หมวดว่าด้วย “วันอีดทั้งสอง)เป็นต้น

ฉะนั้นคำสอนของชาวซุนนะห์ที่ว่าท่าน ศ. เป็น “มะอฺศูม” เฉพาะในเวลาทำการตับลีฆ (เผยแพร่) พจนารถของอัลลอฮ์ ซ.บ. เท่านั้น เป็นคำสอนที่เลื่อนเลย ไม่มีข้อพิสูจน์ใด

ชาวชีอะฮ์ผู้ยึดถือตามลูกหลานนบี ถือว่า รายงานที่ถูกนำมาบันทึกเหล่านี้ที่เป็นการทำลายเกียรติยศของบรรดานบี ทุกรายงานล้วนเป็นเรื่องที่ถูกกุขึ้นมาโดยพวกในวงศ์ตระกูลอุมัยยะฮฺและสมุนบริวาร

ประการแรก เพื่อลบล้างคุณค่าอันสูงส่งของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ. ต่อมาก็เพื่อลบล้างคุณค่าของอะฮ์ลุลบัยต์ อ. เนื่องจากความเป็นศัตรูของพวกเขา
ประการที่สอง เพื่อเป็นการลดหย่อนผ่อนปรนให้กับพฤติกรรมอันชั่วร้าย และความผิดพลาดอย่างมหันต์ที่พวกเขาได้ก่อขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์ เพราะถ้าหากแสดงให้เห็นได้ว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ. ยังทำผิดพลาดได้ และยังโอนอ่อนให้กับอารมณ์ใฝ่ต่ำได้ เหมือนอย่างรายงานทำนองนี้ในเรื่อง ความพิสมัยของท่าน ศ. ที่มีต่อนางซัยนับ บินติญะฮฺช เมื่อครั้งที่ท่าน ศ. เห็นนางหวีผม ในขณะที่นางยังเป็นภรรยาของ ซัยด์ บินฮาริษะฮ์ อยู่
ดังนั้นเมื่อท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ. เป็นคนเช่นนี้ก็ไม่ต้องตำหนิติเตียนคนอื่นหลังจากนี้อีก ไม่ว่า มุอาวียะฮฺ บินอะบีซุฟยาน, มัรวาน บินฮะกัม, อัมร์ บินอาศ, ยะซีด บินมุอาวียะฮฺ และค่อลีฟะฮฺทุกคนที่กระทำในสิ่งที่เลวร้ายและชอบในสิ่งที่ต้องห้ามต่างๆ และเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ พฤติกรรมของพวกเขาเหมือนดังที่สุภาษิตกล่าวว่า

“ถ้าเจ้าของบ้านลงมือตีกลองเอง แล้วอย่าไปโทษเด็กๆที่เต้นรำตามจังหวะเลย”

บรรดาอิมามแห่งอะฮฺลุลบัยต์ซึ่งเป็นอิมามในสายชีอะฮ์นั้นได้พูดถึงเรื่อง “อิศมะฮฺ” ของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ. ว่าบรรดานบีทั้งหลายมีอิศมะฮ์ตลอดกาล ไม่ได้เฉพาะในเรื่องของการเผยแพร่วะฮ์ยูตามที่ชาวซุนนะห์พยายามนำเสนอ และเป็นคำสอนที่มีเหตุผล ที่สามารถทำให้จิตใจมีความเชื่อมั่นอย่างสงบได้ ที่สำคัญเป็นคำสอนที่สุดคล้องกับพระมหาคัมภีร์อัล-อ่าน เช่น พระองค์ทรงกำชับมนุษย์ว่า

وَمَاۤ ءَاتَىٰكُمُ ٱلرَّسُولُ فَخُذُوهُ وَمَا نَهَىٰكُمۡ عَنۡهُ فَٱنتَهُوا۟ۚ

“และอันใดที่ศาสนทูตนำมายังพวกสูเจ้า ดังนั้นพวกสูเจ้าจงรับมันไว้ และอันใดที่เขาห้ามพวกสูเจ้า ดังนั้นพวกสูเจ้าจงหยุดยั้งเถิด”

ผลสรุปก็คือว่า คำพูดของฝ่ายชีอะฮฺที่ว่าท่านศาสนทูต ศ. มี อิศมะฮ์ ตลอดกาล นั้น เป็นคำสอนที่มีเหตุผล ที่สามารถทำให้จิตใจมีความเชื่อมั่นอย่างสงบได้ และเป็นการทำลายความรู้สึกสับสน กระซิบกระซาบจากชัยฏอน และเป็นการตัดหนทางการกล่าวหาของพวกที่ใส่ร้ายป้ายสีทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกศัตรูของศาสนา เช่น พวกยิว พวกนะศอรอ และพวกปฏิเสธศาสนาที่แสวงหาจุดอ่อนเพื่อจะแทรกแซงเข้ามาทำลายความเชื่อและศาสนาของเรา และใส่ร้ายต่อท่านนบีของเรา และเราจะไม่พบจุดบกพร่องเหล่านั้นจากที่ใดนอกจากในตำราของอะฮฺลิซซุนนะฮฺ จะเห็นได้ว่าคนเหล่านั้นจะมีข้ออ้างมายังพวกเราเป็นส่วนมากก็เพราะรายงานที่มีในบุคอรี มุสลิม ทั้งจากคำพูด และการกระทำของนบี ศ. ทั้งๆที่ท่านนบี ศ. บริสุทธิ์ไปจากเรื่องเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง

 

 

محمد خاتَمُ الأنبياء والرسل

มุฮัมมัด ศ. คือศาสดาองค์สุดท้าย

ศาสนทูตท่านสุดท้ายได้แก่ท่าน ศาสดามุฮัมมัด ศ. ผู้เป็นบุตรของท่าน อับดุลลอฮ์ ท่านได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นศาสนทูตผู้ถือสาส์นในขณะที่มีอายุ 40 ปี

จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ตลอดช่วงอายุขัยของท่านนั้น ท่านไม่เคยเคารพบูชาเจว็ด และไม่เคยตั้งภาคีใดๆต่อพระผู้เป็นเจ้าเลยแม้แต่ชั่วขณะเดียว

ในช่วงระยะเวลาหลายปีก่อนที่ท่านจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสดาในฤดูกาลอันเป็นเฉพาะของทุกปี ท่านจะเดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่งคือ ถ้ำ ฮิรอฮ์ เพื่อภาวนาขอพร และเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเอกะ เมื่อท่านได้รับคำบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้า ให้ทำหน้าที่ชี้นำทางชาวโลกด้วยแบบแผนและบทบัญญัติต่างๆแห่งพระผู้เป็นเจ้าโลกมนุษย์ในช่วงเวลานั้นได้ประสบกับความโกลาหล อลหม่าน และเผชิญหน้ากับการทำสงครามที่เต็มไปด้วยการหลั่งเลือด สิ่งไร้สาระและความเชื่อที่งมงายได้ครอบงำเหนือสติปัญญาของมนุษย์ทั้งหลาย

และเราเชื่อว่าท่านศาสดามุฮัมมัด ศ. คือศาสดาท่านสุดท้ายที่ถูกส่งลงมาเพื่อเป็นทูตของพระองค์ นั่นหมายความว่า หลังจากท่าน ศ. จะไม่มีศาสดาอีกแล้ว ฉะนั้นเราจึงเชื่อว่าหากมีผู้อ้างตนว่าเป็นนบีภายหลังจากท่าน อีกถือว่าคำพูดของคนผู้นั้นคือผู้หลอกลวง และหลักฐานเพื่อยืนยันในข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ คือพระดำรัสของพระองค์อัลลอฮ์ที่ทรงตรัสไว้ในซูเราะห์ อัลอะฮ์ซาบ โองการที่ 40 ว่า

مَّا كَانَ مُحَمَّدٌ أَبَا أَحَدٍ مِّن رِّجَالِكُمْ وَلَكِن رَّسُولَ اللَّهِ وَخَاتَمَ النَّبِيِّينَ وَكَانَ اللَّهُ بِكُلِّ شَيْءٍ عَلِيمًا

“มุฮัมมัดมิได้เป็นบิดาของผู้ใดในหมู่บุรุษของพวกเจ้า แต่เป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์และและเป็นทูตคนสุดท้ายจากบรรดาทูตของพระองค์และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ยิ่งในทุกๆสิ่ง”

ฉะนั้นถ้าหากพิจารณาถึงความเป็นนิรันดรของศาสนาอิสลามแล้ว เท่ากับเป็นการปฏิเสธข้อสมมุติฐานที่ว่าอาจมีการแต่งตั้งศาสดาองค์อื่นลงมาเพื่อยกเลิกบทบัญญัติอิสลาม ท่านนบีมุฮัมมัด ศ. ได้กล่าวกับท่านอิมามอะลี อ. ก่อนยกทัพไปยังตะบูกว่า

اَمَا تَرْضَي اَن تَكُوْنَ مِنِّي بِمَنْزِلَهِ هَارُون مِنْ مُوْسَي اِلَّا اَنّه لا نبي بعدي

เจ้าไม่พอใจดอกหรือที่สถานะของเจ้าที่มีต่อฉัน คือสถานะเดียวกันที่อารูนมีต่อมูซาเว้น(เสียแต่สถานเดียวคือความเป็นศาสดา) เพราะหลังจากฉัน(จากไปแล้ว)ก็จะไม่มีนบีอีกแล้ว

หลังจากนั้นท่านได้กล่าวประโยคนี้อย่างฉับพลันว่า จะมีความแตกต่างกันตรงที่ว่าภายหลังจากฉันแล้ว จะไม่มีนบีองค์ใดได้รับการแต่งตั้งลงมาอีก เพื่อประชาชนจะได้ไม่มีความสงสัยเคลือบแคลงในประเด็นดังกล่าวอีกต่อไป

ในรายงานอื่นจากท่านศาสดา ศ. กล่าวว่า โอ้ ประชาชาติเอ๋ยจะไม่มีนบีองค์ใดหลังจากฉัน และจะไม่มีประชาชาติใดหลังจากพวกเจ้า

อีกรายหนึ่งจากท่านศาสด ศ. กล่าวว่า โอ้ บรรดาประชาชาติทั้งหลายจะไม่มีองค์ใดภายหลังจากฉัน และจะไม่มีแบบฉบับใดอีกหลังจากแบบฉบับของฉัน (นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ คำเทศนาที่ 1, 69, 83, 87, 129, 168, 193, 230 กล่าวถึงประเด็นดังกล่าว)