อะไรคือความจริงเรื่อง “อิมามอัล-มะฮ์ดี” บุรุษที่โลกรอคอย ในหลักความเชื่อของอิสลาม ?

อะไรคือความจริงเรื่อง “อิมามอัล-มะฮ์ดี” บุรุษที่โลกรอคอย ในหลักความเชื่อของอิสลาม ?

 

โดย เชคอันศอร เหล็มปาน

อะไร..? คือความจริงของ “อัล-มะฮ์ดี” บุรุษที่โลกรอคอย ในหลักความเชื่อของอิสลาม นี่คืออีกเรื่องหนึ่งที่ชาวซุนนะห์ มักทำการประณามเหยียดหยามชีอะฮ์ บางคนในหมู่พวกเขากล่าวด้วยการเยาะเย้ย และลบหลู่ อย่างรุนแรง เพราะพวกเขาถือว่าห่างไกลจากความเป็นจริงหรือเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์คนหนึ่งจะยังคงอยู่นานถึง 12 ศตวรรษ ในสภาพที่ยังมีชีวิต และซ่อนเร้นจากการมองเห็นของมนุษย์ทั้งหลาย

rอะไร..? คือความจริงของ “อัล-มะฮ์ดี” บุรุษที่โลกรอคอย ในหลักความเชื่อของอิสลาม

เมื่อก่อนมีนักเขียนบางท่านของชาวซุนนะห์กล่าวว่า “สาเหตุที่ชีอะฮ์ต้องสร้างแนวคิดเกี่ยวกับอิมามที่หายตัวไปว่า จะมาปลดปล่อยพวกเขานั้น ก็เพราะเขาได้ประสบกับนักปกครองที่อธรรมเป็นจำนวนมาก ตลอดมาหลายยุคสมัย ดังนั้น พวกเขาจึงปลอบใจตัวเองด้วยการให้ความมั่นใจอย่างหนึ่ง กับ อัล-มะฮ์ดี ผู้ถูกรอคอย ซึ่งจะมาทำให้แผ่นดินมีความยุติธรรมและเที่ยงธรรม แล้วเขาจะมาแก้แค้นต่อศัตรูของพวกเขา”

แต่นับจากมีการปฏิวัติอิสลามในอีหร่าน ได้มีการพูดถึงเรื่อง “อัล-มะฮฺดี” บุรุษที่โลกรอคอยกันมาก เพราะกลุ่มพิทักษ์การปฏิวัติได้ถือเป็นคำขวัญที่สำคัญในการประกาศของพวกเขาว่า :
“ขอให้อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงพิทักษ์ปกป้องรัฐอิสลามแห่งอิหร่านจนกว่าอิมามมะฮ์ดี อ. จะมาปรากฏ”

จึงทำให้บรรดาชาวมุสลิม โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวปัญญาชนทุกหนแห่งพากันถามถึงความจริงของ “อัล-มะฮฺดี” ว่ามันเป็นความจริง และมีอยู่ในหลักความเชื่อของอิสลามจริงหรือไม่ หรือเป็นเรื่องอุปโลกน์ขึ้นมาจากชาวชีอะฮ์

วิเคราะห์เรื่อง “อัล-มะฮ์ดี” จากหลักฐานตามคำรายงาน(ฮะดิษ)ในตำราชาวซุนนะห์ วัลญะมาอะฮ์

ในการวิเคราะห์ส่วนนี้ ทั้งชีอะฮ์และซุนนะฮ์ มีความเชื่อตรงกันว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ.ได้แจ้งข่าวดีในเรื่องนี้ และสอนให้ศ่อฮาบะฮฺรู้ว่าอัลลอฮ์ ซ.บ. จะทรงให้เขาปรากฏในยุคสุดท้าย

ฮะดีษเกี่ยวกับ “อัล-มะฮ์ดี” ได้ถูกรายงานไว้โดยทุกฝ่าย ทั้งชีอะฮ์และซุนนะฮ์ ในตำราศ่อฮีฮ์ของพวกเขา และมุซนัดของพวกเขา ดังที่มีรายงานใน “ซุนัน” ของอะบูดาวูด ดังนี้

قَالَ رَسُولُ اللَّهِ (صلى الله عليه وآله وسلم): لَوْ لَمْ يَبْقَ مِنَ الدُّنْيَا إِلا يَوْمٌ، لَطَوَّلَ اللَّهُ ذَلِكَ الْيَوْمَ، حَتَّى يَبْعَثَ اللَّهُ فِيهِ رَجُلا مِنِّي، أَوْ مِنْ أَهْلِي أَهْلِ بَيْتِي، يُوَاطِئُ اسْمُهُ اسْمِي، وَاسْمُ أَبِيهِ اسْمَ أَبِي يَمْلَأُ بِهَا الأرض قسطاً وعدلاً كَمَا مُلِئَتْ ظلماً جَوْرًا

ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ. กล่าวว่า :
“หากโลกนี้จะไม่คงอยู่อีกแล้ว นอกจากเพียงวันเดียว แน่นอน อัลลอฮ์ ซ.บ. จะทรงยืดเวลาวันนั้นให้นาน เพื่อพระองค์จะส่งชายคนหนึ่งจากอะฮ์ลุลบัยต์ อ. ของฉันมา ชื่อของเขาจะตรงกับชื่อฉัน ชื่อบิดาของเขาจะตรงกับชื่อของบิดาของฉัน เขาจะมาทำให้แผ่นดินนี้เต็มไปด้วยความเป็นธรรมและยุติธรรม เหมือนอย่างที่ความอธรรม และความชั่วเคยเต็มมาก่อน” (“ซุนันอะบูดาวูด” เล่ม 2 หน้า 422)

มีรายงานใน “ซุนัน อิบนุ มาญะฮ์ ว่าท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ. กล่าวว่า

إنّا أهْلُ بَيْتٍ اخْتَارَ اللهُ لَنَا الآخِرَةَ علَى الدُّنْيا، وإِنَّ أهْلَ بَيْتي هؤلاءِ سَيُقْتَلُونَ (سَيَلْقَوْنَ) بَعْدي بَلاءً وَتَطْريداً وَتَشْريداً، حَتّى يَأْتِيَ قَوْمٌ مِنْ ها هُنا، مِنْ نَحْوِ المَشْرِقِ، أَصْحاب راياتٍ سُودٍ، يَسْأَلُونَ الحَقَّ فَلا يُعْطَوْنَهُ، مرَّتَيْنِ أو ثلاثاً، فَيُقاتِلونَ فَيُنْصَرُونَ، فَيُعْطَوْنَ مَا سَألُوا فلا يَقْبَلُوها حَتّى يَدْفَعُوها إلى رَجُلٍ مِن أهْلِ بَيْتي، فَيَمْلَؤُها عَدْلاً كَما مَلَؤوها ظُلْماً،

“แท้จริงพวกเรา อะฮฺลุลบัยต์ อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงคัดเลือกปรโลกให้แก่พวกเราเหนือกว่าโลกนี้ และแท้จริงอะฮ์ลุลบัยต์ของฉันจะประสบการทดสอบอย่างรุนแรงภายหลังจากฉันจะถูกขับไล่ จนกระทั่งจะมีคนพวกหนึ่งจากทางตะวันออกมาพร้อมกับถือธงดำ พวกเขาจะถามหาสัจธรรม แต่พวกเขาไม่ได้รับสัจธรรมนั้น ถึงสองครั้งหรือสามครั้ง แล้วพวกเขาก็ต่อสู้จนได้ชัยชนะ พวกเขาจึงได้รับสิ่งที่พวกเขาถามหา แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมรับ จนกระทั่งพวกเขามุ่งไปหาชายคนหนึ่งจากอะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน ซึ่งเขาจะทำให้แผ่นดินนี้เต็มไปด้วยความเที่ยงธรรม เหมือนที่ความอธรรมเคยเต็มมาก่อน”(ซุนันอิบนุมาญะฮฺ” เล่ม 2 เลขฮะดีษ 4082,4087)

ท่านอิบนุมาญะฮฺ ได้กล่าวใน “ซุนัน เล่ม 2 เลขฮะดิษ 4085,4086 รายงานจากท่านหญิงอุมมุซะลามะฮ์ว่า : ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์กล่าวว่า

عَنْ أُمِّ سَلَمَةَ -رضي الله عنها- قَالَتْ: سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ -صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ- يَقُولُ: الْمَهْدِيُّ مِنْ عِتْرَتِي مِنْ وَلَدِ فَاطِمَةَ

“อัล-มะฮฺดี มาจากเรา อะฮฺลุลบัยต์ อัล-มะฮ์ดี มาจากลูกหลานของฟาฏิมะฮฺ”

และท่านนบี ศ. ได้กล่าวว่า

يَكُونُ فِي أُمَّتِي الْمَهْدِيُّ إِنْ قَصَّرَ فَسَبْعٌ وَإِلَّا فَتِسْعٌ، تَنْعَمُ أُمَّتِي فِيهِ نِعْمَةً لَمْ يَنْعَمُوا مِثْلَهَا قَطُّ، تُؤْتِي الْأَرْضُ أُكُلَهَا لَا تَدَّخِرُ عَنْهُمْ شَيْئًا، وَالْمَالُ يَوْمَئِذٍ كُدُوسٌ يَقُومُ الرَّجُلُ فَيَقُولُ: يَا مَهْدِيُّ أَعْطِنِي، فَيَقُولُ: خُذْ

“ในประชาชาติของฉันจะมีอัล-มะฮฺดี หากว่าใช้เวลาน้อย(ในการปกครอง) ก็เจ็ดปี ถ้าไม่เช่นนั้นก็เก้าปี นอกจากนี้ เขาจะทำให้ประชาชาติของฉันได้รับความโปรดปราน ชนิดที่ไม่เคยได้รับมาก่อน การบริโภคจะมีมาพรั่งพร้อม ทรัพย์สินในวันนั้น เป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ถึงขนาดว่าถ้าชายคนหนึ่งยืนขึ้นแล้วกล่าวว่า โอ้ มะฮฺดี โปรดให้ข้าพเจ้าเถิด เขาจะกล่าวว่า จงรับเอาไป”(ซุนันอิบนุมาญะฮฺ” เล่ม 2 เลขฮะดีษ 4086)

ในซุนันติรมีซีระบุว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ. ได้กล่าวว่า

قال رسول اللّه (صلى الله عليه وآله وسلم): يلي رجلٌ من أهلِ بَيتي يواطئُ اسمُهُ اسمي، و لو لم يبقَ منَ الدُّنيا إلَّا يومٌ لطوَّلَ اللَّهُ ذلِكَ اليومَ حتَّى يلي

“จะมีชายคนหนึ่งจากอะฮฺลุลบัยตฺของฉันมาปรากฏ ชื่อของเขาจะตรงกับชื่อของฉัน และแม้นว่า โลกนี้จะไม่คงเหลืออยู่ต่อไปอีก นอกจากวันเดียว แน่นอนอัลลอฮ์ ซ.บ. จะยืดวันนั้นให้นานจนกระทั่งเขาจะมาปรากฏ”(อัลญามิอุศศอฮีฮฺ” ของติรมิซี เล่ม 9 หน้า 74-75)

อิมามบุคอรี ได้รายงานในศ่อฮีฮฺของท่าน ว่า บินบะกีรได้เล่าเราว่า “อัล-ลัยษ์” รับรายงานมาจากยูนุซรับรายงานมาจากอิบนุชิอาบ จากท่านนาฟิอฺ คนใช้ของอะบี เกาะตาดะฮฺ อัล-อันศอร กล่าวว่า ท่านอะบูฮุร็อยเราะฮ์ รายงานว่า :

أَنَّ أَبَا هُرَيْرَةَ ، قَالَ : قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : ” كَيْفَ أَنْتُمْ إِذَا نَزَلَ ابْنُ مَرْيَمَ فِيكُمْ ، وَإِمَامُكُمْ مِنْكُمْ

ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ กล่าวว่า “พวกท่านจะรู้สึกอย่างไร ถ้าหากว่าบุตรของมัรยัมจะลงมาในหมู่พวกท่าน และอิมามของพวกท่านมาจากพวกท่านเอง”(ศ่อฮีฮฺบุคอรี” เล่ม 4 หน้า 143 บทว่าด้วย การเสด็จลงมาของอีซา บุตรมัรยัม)

ท่านฮาฟิซกล่าวไว้ใน “ฟัตฮุล-บารี” ว่า :

قال الحافظ في فتح الباري: تَوَاتَرَتْ الْأَخْبَار بِأَنَّ الْمَهْدِيّ مِنْ هَذِهِ الْأُمَّة وَأَنَّ عِيسَى يُصَلِّي خَلْفه

“สารบบสายรายงานถือว่าอยู่ในระดับมุตะวาตีรในเรื่องที่ว่า “อัล-มะฮฺดี” จากประชาชาตินี้ และอีซา บุตรมัรยัมจะลงมา และจะนมาซตามหลังเขา”(ฟัตฮุล-บารี” เล่ม 5 หน้า 362)

อิบนุฮะญัร อัล-ฮัยษุมี ได้กล่าวไว้ใน “อัศ-ศ่อวาอิก” ว่า :

وقال ابن حجر الهيثمي في الصواعق المحرقة: “والأحاديث التي جاء فيها ذكر ظهور المهدي كثيرة متواترة

“ฮะดีษที่กล่าวถึงเรื่องการมาปรากฏของ “อัล-มะฮฺดี” นั้น สอดคล้องตรงกันมาก(ฮะดิษนี้)อยู่ในขั้นมุตะวาตีร”(อัศศอวาอิกุ้ล-มุฮัรร่อเกาะฮฺ” ของอิบนุฮะญัร เล่ม 2 หน้า 211)

เจ้าของหนังสือ “ฆอยะตุล –มะมูล” กล่าวว่า :

اشتهر بين العلماء سلفاً وخلفاً أنّه لابدّ من ظهور رجل من أهل البيت في آخر الزمان يسمّى المهدي، وقد روى أحاديث المهدي جماعة من خيار الصحابة، وخرّجها أكابر المحدّثين: كأبي داود، والترمذي، وابن ماجة، والطبراني، وأبي يعلى، والبزاز، والإمام أحمد بن حنبل، والحاكم رضي اللّه عنهم أجمعين، ولقد أخطأ من ضعّف أحاديث المهدي كلّها

“เป็นที่รู้กันอยู่ในระหว่างอุละมาอฺ รุ่นซะลัฟ(บรรพชน) และรุ่นเคาะลัฟ(รุ่นถัดมา)ว่า แน่นอน การมาปรากฏของชายคนหนึ่งจากอะฮฺลุลบัยต์ อ. นั้นจะ ต้องมีขึ้นในยุคสุดท้าย ชื่อว่า “อัล-มะฮฺดี” รายงานฮะดีษเรื่อง “อัล-มะฮ์ดี” ได้ถูกบันทึกมาโดยศ่อฮาบะฮฺผู้ทรงเกียรติกลุ่มหนึ่ง และนำมาบันทึกโดยนักฮะดีษระดับอาวุโส (เช่น อะบูดาวูด, ติรมีซี, อิบนุมาญะฮฺ ฏ็อบรอนี, อะบียะอฺลา, ท่านบัซซาซ, อิมามอะฮฺมัด บินฮัมบัล ,ท่านฮากิม และ…) แน่นอน คนที่ถือว่าฮะดีษเกี่ยวกับเรื่องอัล-มะฮฺดีอ่อนต่อหลักฐาน ถือว่า มีความเข้าใจผิดพลาดอย่างสิ้นเชิง”