บทเรียน นบูวัต ตอนที่ 1 (ความเป็นศาสดา)

บทเรียน นบูวัต ตอนที่ 1 (ความเป็นศาสดา)


หลักฐานทางสติปัญญาถึงความจำเป็นที่จะต้องมีศาสดา
     ความศรัทธาในความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า(เตาฮีด)ที่นำไปสู่เรื่องของความจำเป็นที่จะต้องมีศาสดา(นบูวัต) คือหัวข้อของเรื่อง “ฮิกมะฮ์” “วิทยปัญญา” เรื่องของความ “อัลอาดิล” เรื่องของความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งความยุติธรรมกับความมีวิทยปัญญาของพระผู้เป็นเจ้ามีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น หมายความว่าที่ใดที่มีความยุติธรรมอยู่ที่นั้นก็มีความมีวิทยะปัญญาอยู่ด้วย เป็นไปไม่ได้ที่ความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้าเกิดขึ้นโดยที่ไม่ควบคู่กับความมีวิทยะปัญญาอยู่ ซึ่งได้ทำความเข้าใจไปแล้วในเรื่องความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้า
    การสร้างสรรพสิ่งต่างๆและมนุษย์นั้นมีฮิกมะฮ์มีปรัชญาของเป้าหมายอยู่ เนื่องจากพระองค์เป็นผู้ทรง “ฮากีม” ผู้ทรงวิทยปัญญา ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงสร้างย่อมมีวิทยะปัญญามีปรัชญาของเป้าหมายอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น สิ่งที่เล็กที่สุด เช่น อะตอม อิเล็กตรอน โปรตอน ควาก หรือแม้กระทั้งสัตว์แมลงตัวเล็กๆ รวมไปถึงมนุษย์ที่ถูกสร้างมาอย่างมีฮิกมะฮฺมีปรัชญาของเป้าหมายที่สูงส่ง ดังนั้นเพื่อให้ความยุติธรรมของพระองค์เกิดขึ้นซึ่งก็หมายถึงการให้สิทธิตามที่สิ่งๆนั้นควรจะได้รับ สิทธิอันหนึ่งของมนุษย์คือการพัฒนาไปสู่ความสมบูรณ์ การพัฒนาขัดเกลาไปสู่ความใกล้ชิดกับอัลลอฮ์(ซ.บ.)
 และในการพัฒนาไปสู่ความสมบูรณ์การพัฒนาไปสู่ความใกล้กับอัลลอฮ์(ซบ) สติปัญญาของมนุษย์อย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะนำมนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์และความผาสุกได้ มนุษย์จำเป็นจะต้องมีความรู้ที่ถูกต้องจำเป็นจะต้องได้รับการชี้นำที่ถูกต้อง ด้วยกับเหตุนี้พระผู้เป็นเจ้าจึงประทานหนทางหนึ่งเพื่อนำมนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์ตามเปาหมายของพระองค์เพื่อให้ “ฮิกมะฮ์”ปรัชญาของเป้าหมายในการที่มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาเกิดขึ้นเพื่อให้มนุษย์พัฒนาไปสู่ความสมบูรณ์ในทุกเรื่องราวของชีวิต แต่ทว่าความรู้แนวทางหรือระบอบและขั้นตอนในการไปสู่ความสมบูรณ์นั้นและการที่จะรับรู้เป้าหมายหรือบัญชาคำสั่งต่างๆเหล่านั้น จำเป็นจะต้องมีตัวแทนหรือศาสดาของพระองค์ มาสั่งสอนมาชี้นำ เพราะมนุษย์ไม่สามารถคิดค้นขึ้นมาเองได้มนุษย์ไม่สามารถจัดตั้งขึ้นมาเองได้ เพราะความรู้ความสามารถของมนุษย์มีของเขตจำกัด 
สิ่งทียืนยันว่าความรู้ความสามารถของมนุษย์มีขอบเขตจำกัด คือเห็นได้ว่าระบอบต่างๆในการดำเนินชีวิตของมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เหตุผลของการเปลี่ยนแปลงก็เพื่อตามหาสิ่งที่ดีกว่า จนปัจจุบันก็ยังไปพบระบอบระเบียบที่เป็นคำตอบสุดท้ายให้แก่มนุษย์ จะเห็นได้ว่าแม้แต่เรื่องของอาหารมนุษย์ก็ยังหาบทสรุปสุดท้ายของมันไม่ได้ ตัวอย่างเช่นในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง วงการแพทย์บอกว่าอาหารที่ดีสำหรับเด็กทารกคือการกินผงซึ่งดีกว่านมแม่ แต่ปัจจุบันก็เพิ่งเปลี่ยนแปลงอีกว่านมที่ดีที่สุดสำหรับทารกนั้นคือนมแม่ ส่วนในเรื่องของระบบการปกครองไม่ต้องพูดถึง ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งมีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ และยุคหนึ่งสมัยหนึ่งก็เปลี่ยนมาเป็นระบบสมบูรณะสิทธิราช และยุคหนึ่งสมัยหนึ่งก็เปลี่ยนมาเป็นระบบประชาธิปไตย 
ถึงอย่างไรก็ตามยังไม่มีผู้ใดรับประกันว่าระบบประชาธิปไตยจะเป็นระบบสุดท้ายที่อำนวยประโยชน์ให้มนุษย์ตลอดไปได้ ซึ่งในปัจจุบันก็เริ่มเห็นแล้ว่ามนุษย์เริ่มเข่นฆ่ากันด้วยระบบประชาธิปไตย มนุษย์เริ่มลุกขึ้นมาประทวงระบบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นที่ยืนยันว่ามนุษย็ยังหาบทสรุปสุดท้ายที่สมบูรณ์ยังไม่ได้ 
    หรือในเรื่องระบบกฎเกณฑ์ที่กลุ่มชนหนึ่งตั้งขึ้นมาก็เพื่ออำนวยประโยชน์เฉพาะแก่กลุ่มชนนั้น ๆเท่านั้นและในขณะเดียวกันก็สร้างความไม่พอใจไม่ถูกยอบรับหรือไปเบียดเบียนละเมิดสิทธิของมนุษย์อีกกลุ่มชนหนึ่ง กฏเกณฑ์ดังกล่าวไม่สามารถนำมนุษย์ทั้งหมดไปสู่ความสมบูรณ์ได้ ไม่สามารถนำมนุษย์ทั้งหมดไปสู่เป้าหมายได้ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งยืนยันถึงความรู้ที่จำกัดของมนุษย์ เป็นที่ประจักษ์ว่าผู้ที่สามารถสร้างระบบระเบียบที่สมบูรณ์ที่สามารถนำมนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์ได้นั้นคืออัลลอฮฺ(ซบ)ผู้ที่สร้างมนุษย์ขึ้นและแน่นอนว่าพระองค์ยอมรู้ถึงแก่นแท้และกลไกลของความเป็นมนุษย์ได้ดีที่สุด แต่ประเด็นที่สำคัญคือมนุษย์สามารถรับรู้ถึงระบบกฎเกณฑ์ของพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร ในขณะที่มนุษย์ไม่สามารถที่จะสื่อสารกับพระองค์ได้ เพราะพระองค์อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของวัตถุทั้งหมด ดังนั้นเพื่อให้เป้าหมายในการสร้างไปสู่ความสมบูรณ์ของมัน  จึงจำเป็นที่จะต้องมีผู้มาบอก จำเป็นที่จะต้องมีผู้นำความรู้จากพระผู้เป็นเจ้ามาให้แก่มนุษย์ซึ่งก็หมายถึงศาสดานั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าบรรดาศาสดาต้องมีความรู้ที่เหนือกว่าประชาชน และต้องมีสิ่งๆหนึ่งที่มีความสูงส่งที่สามารถที่จะรับความรู้จากพระองค์ได้ สิ่งนั้นก็คือจิตวิญญาณที่สูงส่งของบรรดาศาสดาเหล่านั้น 
    นอกจากบรรดาศาสดานำความรู้มายังมนุษย์แล้ว บรรดาศาสดาก็มาเพื่อเป็นแบบอย่างในการพัฒนาไปสู่ความใกล้ชิดกับพระองค์ด้วย ซึ่งตามหลักจิตวิทยาได้พิสูจน์แล้วว่าการมีแบบอย่างให้เห็นให้ประจักษ์นั้นมีผลในการพัฒนาของมนุษย์เป็นอย่างมาก
-    มนุษย์ถูกสร้างมาให้ใช้ชีวิตรวมกับบุคคลอื่นๆในสังคม และการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นจำเป็นจะต้องมีกฎเกณฑ์ เนื่องจากมนุษย์ทุกคนถูกสร้างมาในลักษณะที่จะขวนขวายแสวงหาสิ่งที่ให้ประโยชน์ให้กับตัวเองอยู่เสมอ ด้วยกับเหตุนี้บางครั้งมนุษย์อาจจะไปละเมิดหรือเบียดเบียนทรัพย์สินหรือสิทธิของบุคคลอื่นในสังคม ดังนั้นเพื่อที่จะขจัดความขัดแย้งและสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นในสังคมนั้นมนุษย์ต้องการไปยังกฎเกณฑ์ระบบระเบียบ และกฎเกณฑ์ระบอบระเบียบที่สามารถนำมนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์และความความผาสุกได้ ร่วมทั้งควบคลุมความต้องการต่างๆของมนุษย์ ทั้งความต้องการตามธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ ความต้องการด้านในของมนุษย์ ความต้องการทางด้านร่างกาย ความต้องการทางด้านจิตวิญญาณ ความต้องการทางด้านในความต้องการในโลกนี้ ความต้องการในโลกหน้า ความต้องการส่วนบุคคล ความต้องการส่วนรวมในสังคม ซึ่งกฎเกณฑ์เหล่านั้นจะต้องเป็นกฎระเบียบที่ยืนยันว่าสามารถที่จะขจัดความขัดแย้งในสังคมได้ และเฉพาะผู้ที่สร้างมนุษย์ขึ้นมาเฉพาะพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำให้กฎเกณฑ์ กฎระเบียบแบบแบบนี้ขึ้นมาได้ และจำเป็นที่จะต้องให้มนุษย์ได้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ระเบียบเหล่านี้ แต่ทว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะรับรู้คำตรัส “วะฮีย์” ของพระผู้เป็นเจ้าได้ โดยตรง พระองค์จึงแต่งตั้งศาสดาจำนวนหนึ่งขึ้นมาเพื่อที่จะแจ้งข่าวจากพระองค์และทำการเผยแพร่ในหมู่บรรดามนุษย์

ขอขอบคุณ สถาบันศึกษาศาสนาอัลมะฮ์ดี