บทเรียน นบูวัต ตอนที่ 5 (ความเป็นศาสดา)

บทเรียน นบูวัต ตอนที่ 5 (ความเป็นศาสดา)

 
ข้อคลางแคลงสงสัยต่างๆเกี่ยวกับศาสดา 2
อีกข้อสงสัยหนึ่งข้อสงสัยที่สาม
3 ศาสดาคือผู้ที่มีความรู้มากมาย คือผู้ที่มีความรู้สูงสุดและมาเพื่อชี้นำมนุษย์ ศาสดามีความสามารถอย่างมากมาย ซึ่งในขณะเดียวกันการพัฒนาด้านเทคโนโลยี ความก้าวหน้าทางวัตถุก็ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นและมีความสำคัญกับมนุษย์ แต่กลับพบว่าในสังคมที่มีศาสนากลับพบความล้าหลังทางเทคโนโลยี และไม่พบว่าศาสดามีบทบาทในเรื่องเหล่านี้เลย
    คำตอบคือ เป้าหมายหลักภารกิจหลักของบรรดาศาสดา มาเพื่อชี้นำมนุษย์เข้าสู่การเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว(เตาฮีด) มาเพื่อชี้นำทางจิตวิญญาณของมนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์มาสั่งสอนเรื่องของจริยธรรมศีลธรรมซึ่งเป็นคำสั่งที่จำเป็นสำหรับทุกยุคทุกสมัยไม่ว่ามนุษย์จะพัฒนาทางเทคโนโลยีหรือไม่ก็ตาม มนุษย์ยังคงมีความจำเป็นต่อศีลธรรมจริยธรรมในทุกยุคทุกสมัยและถ้าหากๆไม่มีสิ่งเหล่านี้มันจะเป็นภัยอันตรายต่อสังคม เช่นตัวอย่างหนึ่งประเทศญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทาด้านเทคโนโลยีเป็นอันดับต้นๆของโลกแต่กลับพบว่าสถิติเมื่อประมาณสามสิบปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้พบว่าประเทศญี่ปุ่นมีอัตราการฆ่าตัวตายมากที่สุดเพราะมนุษย์ส่วนมากไม่ได้มีศาสนา 
สาเหตุเกิดขึ้นจากปัญหาทางจิต มนุษย์ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เพราะพัฒนาผิดขั้นตอนซึ่งในความเป็นจริงต้องพัฒนาทางจิตใจทางจิตวิญญาณของมนุษย์ก่อนมเมื่อมนุษย์พัฒนาทางด้านจิตวิญาณแล้วค่อยนำมนุษย์สู่พัฒนาทางด้านวัตถุทางเทคโนโลยี อีกตัวอย่างหนึ่งเรื่องของพลังงานนิวเคลียร์ถ้าหากอยู่ในอำนาจของผู้ที่ไม่ได้พัฒนาทางจิตวิญญาณผู้ที่พัฒนาทางวัตถุเพียงอย่างเดียว พลังงานนิวเคลียร์ก็จะภัยคุกคามต่อมนุษย์อย่างมหาศาลเช่นกรณีของเกาะฮิโรชิมาประเทศญี่ปุ่นถูกถล่มด้วยระเบิดนิวเคลียร์ประชาชนผู้บริสุทธิ์ล้มตายเป็นแสนๆคน 
และในทางกลับกันพลังงานนิวเคลียร์ถ้าหากอยู่ในอำนาจของผู้ที่ได้พัฒนาทางจิตวิญญาณแล้วก็สามารถทำให้เกิดประโยชน์กับมนุษย์อย่างมหาศาลด้วยเช่นเดียวกัน เห็นได้ว่าเทคโนโลยีที่ไม่ได้ควบคู่กับศาสนาไม่ควบคู่ศีลธรรมไม่ควบคู่จริยธรรมค่อยกำกับจะนำมนุษย์เข้าสู่ความตกต่ำความเสียหายอย่างประเมินค่าไม่ได้  และเช่นเดียวกันพบว่าบางประเทศที่พวกเขามีความเจริญรุ่งเรืองทางเทคโนโลยีกลับพบว่าพวกเขาเหลือร่องรอยแห่งความดีงามและศีลธรรมจริยธรรมให้พบเห็นน้อยเป็นอย่างมาก และบางประเทศที่ล้าหลังทางด้านเทคโนโลยีกลับพบว่าพวกเขามีศีลธรรมจริยธรรมคุณงามความดีที่สูงส่งยังคงเหลืออยู่ และการที่ท่านอ้างว่าศาสดาไม่ได้มีบทบาทในด้านนี้เลยก็เป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้อง 
เพราะบุคคลที่เอาความเจริญทางวัตถุความเจริญทางเทคโนโลยีมาก็คือบรรดาศาสดา ความลับต่างๆในธรรมชาติที่มนุษย์ต้องใช้เวลาค้นหาเป็นพันปีศาสดาได้สอนไว้ล่วงหน้าแล้ว มนุษย์แค่มาต่อยอด ตัวอย่างเช่นเริ่มจากเรื่องเล็กๆก่อนเมื่อหนึ่งพันสี่ร้อยปีที่แล้วยังไม่มีใครรู้ว่าหมูอันตรายหมูเป็นแหล่งโปรตีนที่ให้โทษแต่อิสลามได้พูดไว้ตั้งแต่วันนั้นและได้ห้ามมุสลิมรับประทานหมู แต่วิทยาศาสตร์เพิ่งมารู้เมื่อประมาณสามสิบปี สี่สิบปีที่ผ่านมา หรือเรื่องการคีบปลายอวัยวะเพศเรื่องนี้เริ่มปฏิบัติมาตั้งแต่ยุคสมัยศาสดาอิบรอฮีม(อ)
ซึ่งก็ประมาณสี่พันปี่ที่แล้ว โลกก็เพิ่งมาค้นพบว่าการคีบปลายอวัยวะเพศมีผลดีสามารถป้องกันโรคอย่างมากมาย ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็คือความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ที่วิทยาศาสตร์เจริญมาถึงขนาดนี้ได้เพราะเป็นหนี้บุญคุณศาสนา ชาวยุโรปช่วงก่อนสงครามคูเสดจะเกิดขึ้นพวกเขายังอาบน้ำบวนปากยังไม่ถูกต้อง ชาวยุโรปเพิ่งอาบน้ำบวนปากถูกต้องภายหลังจากที่กองทัพอิสลามบุกฝรั่งเศสทหารอิสลามก็ได้สร้างสถานที่อาบน้ำเมื่อชาวยุโรปเห็นดังนั้นก็ได้ปฏิบัติตาม และบุคคลที่ค้นพบเข็มฉีดยาคนแรกไม่ใช่หลุยส์ปาสเตอร์แต่คืออาบูซักการียา ญาบิรอิบนิคัยยาน  และบิดาแห่งเคมีและการแพทย์คืออาบูอาลีสินา(อาเวสินา) และผู้ออกแบบเครื่องร่อนเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคสมัยสาวก(ตาบีอีน)ของท่านศาสดาแห่งอิสลามไม่ใช่ออวิลล์ไรต์และวิลเบอร์ไรต์(สองพี่น้องตระกูลไรด์)เป็นผู้คิดค้น พวกเขาเพียงมานำสู่การพัฒนาการต่อยอด 
    และบางยุคบางสมัยศาสดาพัฒนาไปไกลเกินกว่าที่มนุษย์จะจินตนาการได้ ในประวัติศาสตร์เห็นได้ว่าในยุคสมัยของบรรดาศาสดาต่างๆ บางศาสดาได้นำเทคโนโลยีที่ล้ำยุคล้ำสมัยมาเช่นกัน ตัวอย่างเช่นศาสดาสุไลมาน(อ)ใช้พรมเป็นยานพหานะที่เหาะเหินเหมือนเครื่องบินได้ซึ่งวันนี้ก็ยังไม่รู้อย่างแน่นอนว่ามันคือมุอฺญิซาต(สิ่งที่เหนือธรรมชาติ)หรือวิทยาศาสตร์อาจเป็นไปได้ว่ามันคือวิทยาศาสตร์ที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยสูตรลับเฉพาะที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไปไม่ถึงซึ่งคล้ายคลึงกับกลไกการทำงานของเครื่องบิน   หรือในยุคศาสดายูซุฟ(อ)ซึ่งก็ประมาณสี่พันกว่าปีที่แล้วเช่นกันท่านได้นำวิธีการสร้าง “ไซโล” “silo” (คือถังขนาดใหญ่ใช้บรรจุอาหารหลายชนิดเช่น ข้าว แป้ง ผลไม้ เพื่อเก็บรักษาไว้เป็นปริมาณมาก มีการควบคลุมเก็บได้นาน)ผู้ที่สร้างไซโลขึ้นมาคนแรกคือศาสดา ไซโลในยุคสมัยของศาสดายูซุฟ(อ)สามารถเก็บรักษาผลิตทางเกษตรข้าวแป้งไว้ได้ถึงเจ็ดปีซึ่งสิ่งนี้ก็คือวิทยาศาสตร์ ถูกสร้างมาจากการคำนวณการควบคุมที่เฉพาะ ควบคุมความชื้นที่สามารถที่จะเก็บรักษาข้าวได้ ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอย่างมาเพราะใช้สำหรับอานาจักรไอยคุปต์ทั้งหมด ซึ่งได้เกิดท่ามกลางความเจริญก้าวหน้าของอียิปต์ในยุคนั้น ไม่มีผู้ใดคาดคิดได้ว่าศาสดายูซุฟ(อ)จะสร้างสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นได้ และกรณีการนำเก้าอีของราชินีเบนกิสจากเยเมนมายังปาเลสไตน์เพียงเวลาชั่วพริบตาเดียว ซึ่งเราอย่าเพิ่งไปสรุปว่ามันคือมุอฺญิซาต(สิ่งที่เหนือธรรมชาติ) และในความเป็นจริงมุอฺญิซาตก็คือวิทยาศาสตร์ วันนี้เห็นได้ว่าวิทยาศาสตร์กำลังอธิบายว่าเรื่องในกรณีนี้ว่ามีเครื่องชนิดหนึ่งที่สามารถแปลี่ยงสสารโมลิกุลให้เป็นคลื่น เมื่อเป็นคลื่นก็สามารถถ่ายโอนได้อย่างรวดเร็ว และจะมีเครื่องรับคลื่นเปลี่ยนคลื่นกลับมาให้เป็นสสารหรือโมลิกุลอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้วิทยาศาสตร์ยอบรับสิ่งนี้แล้วว่ามีอยู่แต่จะทำสิ่งไหนได้บ้างยังอธิบายได้ไม่มาก แต่ยอมรับแล้วว่าสสารสามารถเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเหมือนกับการเดินทางของคลื่นต่าง บางครั้งอาจจะเป็นคลื่นเสียงซึ่งเปลี่ยนเสียงให้เป็นคลื่นเช่นกรณีของโทรศัพท์ที่บางครั้งอยู่คนละซีกโลกกันถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดสามารได้ยินในเวลาเดียวกันที่ผู้พูดได้พูดทันที หรือแม้แต่ระบบดอกเบี้ยวันนี้โลกกำลังประสบภัยกับระบบดอกเบี้ย บางประเทศที่เคยเจริญรุ่งเรืองกลับล่มจมด้วยระบบดอกเบี้ยประเทศไทยก็เคยโดนมาแล้ว ไอเอ็มเอฟ(IMF = กองทุนการเงินระหว่างประเทศ)เข้ามาทุบเงินในไทยปี 2540 กู้เงินไปจำนวนหนึ่งแต่พอจ่ายกลับต้องจ่ายในจำนวนที่น้อยกว่าทำให้ประเทศขาดทุนอย่างมหาศาล ซึ่งศาสดามาต่อต้านระบบดอกเบี้ย วิชาการเศรษฐศาสตร์ก็เป็นวิชาการที่เป็นวิทยาศาสตร์ ดังนั้นซึ่งข้อสงสัยนี้ก็ไม่ถูกต้องความเจริญต่างๆทางวิทยาศาสตร์ก็มาจากศาสดาแต่สิ่งนี้จะถูกสอนเมื่อมนุษย์มีศีลธรรม มีจริยธรรม
ขอขอบคุณ สถาบันศึกษาศาสนา อัลมะฮ์ดี (อ.)