ชีวประวัติท่านหญิงฟาฏิมะฮ์
ชีวประวัติท่านหญิงฟาฏิมะฮ์
ฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เป็นบุตรคนสุดท้ายของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) และท่านหญิงคอดีญะฮ์ (ซ.) [16] ตามที่นักประวัติศาสตร์กล่าวว่า ฟาฏิมะฮ์ ถือกำเนิด ณ. เมืองมักกะฮ์และในบ้านของท่านหญิงคอดีญะฮ์ ในสถานที่ซึ่งเรียกว่า ซุกอก (ตรอก, ทางเดิน) อัลอัฏฏอรีน และ ซุกอก อัลฮิจร์ ใกล้ พื้นที่ มัสอา[17]
การถือกำเนิดและช่วงวัยเด็ก
ตามทัศนะทั่วไปของชาวชีอะฮ์ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ถือกำเนิดในปีที่ 5 ของ บิอ์ษัต (การสถาปนาเป็นศาสดา) หรือที่เรียกว่า ซะนะฮ์ อะฮ์กอฟียะฮ์ (ปีแห่งการถูกประทานลงมาของซูเราะฮ์ อัลอะฮ์กอฟ) [18] [19] เชคมุฟีดและ กัฟอะมี ถือว่า ปีที่สองแห่งบิอ์ษัต เป็นเวลาแห่งการประสูติของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) [20] ตามทัศนะทั่วไปของชาวซุนนีย์ ถือว่า การประสูติของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ.) คือ ห้าปีก่อนบิอ์ษัต (21)
ในแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์ มีการกล่าวถึงวันถือกำเนิดของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) คือ วันที่ 20 เดือนญะมาดิษษานี [22] ตามริวายะฮ์ (รายงาน) จากอิมามบากิร (อ. การตั้งชื่อนี้ได้รับการประทานจากพระผู้เป็นเจ้า ในรายงานระบุอีกว่า มีการกล่าวเกี่ยวกับการตั้งชื่อนี้ว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงแยกท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ออกจากพันธสัญญา (อะลัสตุและอาลัมซัร) ยังความรอบรู้ และทรงทำให้ท่านหญิงออกห่างจากมลทินทั้งปวง (23) นอกจากนี้ ยังมีรายงานจากหนังสือ ซะคออิรุลอุกบา (เขียนขึ้นในศตวรรษที่ 7 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช ว่า สาเหตุที่ฟาฏิมะฮ์ ถูกตั้งชื่อนี้ เพราะว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงปกป้องท่านหญิงและเชื้อสายของท่านหญิงให้ปลอดภัยจากไฟนรก (24)
มีรายงานทางประวัติศาสตร์เพียงไม่กี่ฉบับที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของฟาฏิมะฮ์ในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น [25] ตามรายงานทางประวัติศาสตร์ หลังจากการเปิดเผยการเชิญชวนของท่านศาสดามุฮัมมัด ฟาฏิมะฮ์ได้เห็นถึงการกระทำอย่างรุนแรงของเหล่ามุชริก (ผู้ตั้งภาคีต่อพระเจ้า) ที่มีต่อบิดาของนางในบางกรณี นอกจากนี้ สามปีผ่านไป นับตั้งแต่วัยเด็กของฟาฏิมะฮ์ ในชิอ์บ อะบีฏอลิบ และภายใต้แรงกดดันทางเศรษฐกิจและสังคมของพวกมุชริกต่อบะนี ฮาชิม และผู้ติดตามของศาสดาแห่งอิสลาม (26) ฟาฏมะฮ์ยังได้สูญเสียคอดีญะฮ์ มารดาของนางในวัยเด็กอีกด้วย [27] การตัดสินใจของเผ่าพันธุ์กุเรช ต่อการสังหารท่านศาสดา (ซ็อลฯ)[28] การออกเดินทางตอนกลางคืนของท่านศาสดาจากเมืองมักกะฮ์และการอพยพไปยังเมืองมะดีนะฮ์ และการอพยพของฟาฏิมะฮ์ไปยังเมืองมะดีนะฮ์ ร่วมกับท่านอะลี (อ.) และสตรีจำนวนหนึ่ง ถือเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญในช่วงวัยเด็กของฟาฏิมะฮ์[29]
การสู่ขอและการแต่งงาน
ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) มีผู้มาสู่ขอหลายคนด้วยกัน แต่ท้ายที่สุด ท่านหญิงก็ได้แต่งงานกับอิมามอะลี (อ.)(30) ตามที่นักวิจัยบางคนเชื่อว่า หลังจากการอพยพของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ไปยังเมืองมะดีนะฮ์และความเป็นผู้นำของสังคมอิสลาม ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เป็นที่ให้ความเคารพในหมู่ชาวมุสลิม เนื่องจากความสัมพันธ์ของท่านหญิงกับท่านศาสดา ในฐานะบุตรีของเขา และได้รับสถานภาพที่สูงส่ง [31 ] นอกเหนือจากประเด็นนี้ การแสดงความรักของท่านศาสดาที่มีต่อท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)[32] และคุณลักษณะของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ เมื่อเปรียบเทียบกับสตรีทั้งหลายในสมัยของนาง [33] เป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวมุสลิมบางคนต้องการแต่งงานกับบุตรีของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) พวกเขาจำนวนหนึ่งที่เข้ารับศาสนาอิสลามก่อนหน้านี้หรือมีอำนาจทางการเงินอย่างเพียงพอได้เข้าสู่ขอท่านหญิง [35] อะบูบักร์ อุมัร [36] และ อับดุรเราะฮ์มาน บินเอาฟ์ [37] อยู่ในหมู่ผู้คนเหล่านี้ ผู้มาสู่ขอทุกคนได้ยินการปฏิเสธจากท่านศาสดา (38) เพื่อตอบสนองต่อการสู่ขอของพวกเขา ท่านศาสดาจึงกล่าวว่า การแต่งงานของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ เป็นภารกิจจากฟากฟ้าและต้องมีบัญชาการของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น (40)
ท่านอะลี (อ.) มีความสนใจที่จะแต่งงานกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากความสัมพันธ์ทางครอบครัวของเขากับท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ)และลักษณะทางศีลธรรมและทางศาสนาของท่านหญิง [41] แต่บรรดานักประวัติศาสตร์กล่าวว่า เขาไม่อนุญาตให้ตัวเองมาสู่บุตรีของท่านศาสดา [42] ซะอัด บินมะอาซ ได้แจ้งเรื่องนี้ให้ท่านศาสดารับทราบ และท่านศาสดาก็เห็นด้วยกับการสู่ของท่านอะลี (อ.)[43] ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ)จึงบอกกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ถึงการสู่ขอของท่านอะลี (อ.) และลักษณะพฤติกรรมและความประเสริฐของเขาซึ่งมาพร้อมกับความยินยอมของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) (44) ท่านศาสดายังได้จัดการแต่งงานท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) กับท่านอะลี (อ.) ตามคำบัญชาของพระเจ้า ด้วยเช่นกัน [45] ท่านอะลี (อ.) ก็เช่นเดียวกันกับผู้อพยพคนอื่น ๆ มีสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ยากลำบากในช่วงเดือนแรก ๆ หลังจากการอพยพ (46) ดังนั้น ตามคำแนะนำของท่านศาสดา เขาจึงขายชุดเกราะของเขา (หรือนำไปจำนอง) และกำหนดราคา เป็นสินสอดของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) พิธีการอ่านอักด์ของท่านอะลี (อ.) และท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) จัดขึ้นต่อหน้าชาวมุสลิมในมัสยิด (48) เกี่ยวกับเรื่องของวันที่จัดพิธีการอ่านอักด์นั้น มีทัศนะที่แตกต่างกัน แต่ส่วนมากของแหล่งข้อมูล บันทึกว่า ในปีที่สองของฮิจเราะฮ์ศักราช [49] พิธีอภิเษกสมรส จัดขึ้น หลังสงครามบะดัรในเดือนเชาวาลหรือซุลฮิจญะฮ์ในปีฮิจเราะห์ที่ 2
การใช้ชีวิตร่วมกับท่านอะลี (อ.) ในรายงานทางประวัติศาสตร์และริวายะฮ์ ระบุว่า ฟาฏิมะฮ์ (ซ.) มีความรักต่ออะลี (อ.) ในรูปแบบต่างๆ แม้กระทั่งต่อหน้าท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ)และนางเรียกเขาว่าเป็นสามีที่ดีที่สุด (51)รายงานว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์เรียกชื่อท่านอะลี ด้วยชื่อที่น่ารัก[52] ในหมู่ผู้คนด้วยฉายานามว่า อะบุลฮะซัน[53] มีรายงานอีกว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ประดับตัวของนางด้วยน้ำหอมและเครื่องประดับที่บ้านของนาง[54]
ช่วงแรกของการใช้ชีวิตของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)และท่านอะลี (อ.) มาพร้อมกับสภาพเศรษฐกิจที่ยากลำบาก [55] และบางครั้งพวกเขาก็ไม่มีอาหารสำหรับให้ฮะซันและฮุเซนอิ่มท้องได้ [56] แต่ท่านหญิงก็ไม่ได้คัดค้านกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่และบางครั้งเขาก็เคยปั่นขนแกะเ พื่อช่วยภรรยาในการหาปัจจัยเลี้ยงชีพ (57)
ตามคำแนะนำของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) [58] ให้ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ทำงานภายในบ้านด้วยตัวเองและงานนอกบ้านให้กับท่านอะลี (อ.)(59) ในเวลาที่ส่งฟิฎเฎาะฮ์ เป็นคนรับใช้ไปยังบ้านของนาง การงานครึ่งหนึ่งในบ้าน นางจะรับผิดชอบ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นหน้าที่ของฟิฎเฎาะฮ์ (60) ตามรายงานบางฉบับ ระบุว่า ตามคำแนะนำของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ให้ฟิฎเฎาะฮ์ทำงานบ้านในวันหนึ่ง และอีกวันหนึ่งเป็นหน้าที่ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) (61)
อิมามอะลี (อ.) ให้ความเคารพต่อท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ด้วยเช่นกัน มีริวายะฮ์หนึ่ง รายงานจากอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า ฉันไม่เคยโกรธฟาฏิมะฮ์และฟาฏิมะฮ์ก็ไม่เคยโกรธต่อฉันเลย[62] ในประเด็นของอะบูบักร์ และอุมัร ที่ร้องขอต่ออิมามอะลี (อ.) เพื่อเข้าพบกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ เขาพูดกับอิมามอะลี (อ.) ว่า บ้านนี้เป็นของเจ้า และผู้หญิงที่เป็นอิสระคนนี้ ที่กำลังคุยกับเจ้า ก็คือภรรยาของเจ้า ทำทุกอย่างในสิ่งที่เจ้าต้องการ
บุตร
แหล่งข้อมูลของชีอะฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ ต่างเห็นพ้องกันว่า ฮะซัน, [64] ฮุเซน, [65] ซัยนับ [66] และอุมมุล กุลษูม [67] เป็นบุตรสี่คนของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์และอิมามอะลี (68) ในแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์และบางแหล่งข้อมูลของอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ มีบุตรอีกคนหนึ่งที่ได้รับการตั้งชื่อตามรายงานว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ถูกทำแท้งอันเป็นผลมาจากความบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับท่านหญิงในช่วงเหตุการณ์หลังจากท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ชื่อของเขาถูกกล่าวถึงว่า มุฮ์ซิน (69)