หัวหน้าของบรรดาสตรี
หัวหน้าของบรรดาสตรี
ในริวายะฮ์ต่างๆ มากมายที่รายงานจากชีอะฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ กล่าวไว้ว่า ฟาฏิมะฮ์ เป็นสตรีที่ประเสริฐที่สุดเหนือหมู่สตรีแห่งสวรรค์ นางเป็นสตรีที่ประเสริฐที่สุดทั้งสองโลก และเป็นสตรีที่ประเสริฐที่สุดในหมู่ประชาชาติ [๑๕๘]
สตรีผู้เดียวที่เข้าร่วมในเหตุการณ์มุบาฮะละฮ์
ในหมู่สตรีทั้งหลายชาวมุสลิม มีเพียงท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เท่านั้นที่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมในเหตุการณ์มุบาฮะละฮ์ของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ร่วมกับชาวคริสเตียนเมืองนัจญ์รอน เหตุการณ์นี้ถูกกล่าวถึงไว้ในโองการมุบาฮะละฮ์ ตามแหล่งข้อมูลด้านตัฟซีร ฮะดีษ และประวัติศาสตร์ โองการมุบาฮะละฮ์ ถูกประทานลงมาเกี่ยวกับความสูงส่งและความประเสริฐของอะฮ์ลุลบัยต์แห่งศาสนทูต (๑๕๙)ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) อิมามอะลี (อ.) อิมามฮะซัน (อ.) และอิมามฮุเซน (อ.) ทั้งหมดคือ ผู้ที่เข้าร่วมในเหตุการณ์ดังกล่าวนี้(๑๖๐)
ความต่อเนื่องของเชื้อสายของศาสดา ผ่านท่านหญิงฟาฏิมะฮ์
ความต่อเนื่องของเชื้อสายของศาสดา ผ่านท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) และการแต่งตั้งบรรดาอิมามของชีอะฮ์จากบุตรหลานของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ได้รับการกล่าวว่า เป็นหนึ่งในความสูงส่งของนาง [๑๖๑] นักตัฟซีรบางคนมองว่า การสืบทอดเชื้อสายของศาสดาจากท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ เป็นตัวอย่างหนึ่งของเกาษัร หมายถึง ความดีอันมากมาย ในซูเราะฮ์อัลเกาษัร [๑๖๒]
ความเอื้ออาทร
ความเอื้ออาทรของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ได้รับการรายงานว่า เป็นหนึ่งในลักษณะพิเศษทางพฤติกรรมของนาง ในชีวิตของนางกับท่านอะลี (อ.) เมื่อนางอยู่ในภาวะเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวย นางเป็นคนเรียบง่ายและมักจะให้บริจาคทานเสมอ [๑๖๓] การบริจาคเสื้อผ้าชุดใหม่ให้กับคนขัดสนในคืนแห่งการแต่งงานของนาง [๑๖๔] การมอบสร้อยคอให้กับคนยากจน [๑๖๕] และการให้อาหารทั้งหมดแก่คนยากจน เด็กกำพร้า และเชลยศึก ถือเป็นอีกกรณีหนึ่ง (๑๖๖) ตามรายงานจากฮะดีษและตัฟซีร ระบุว่า หลังจากนั้นท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ท่านอะลี ฮะซัน และฮุเซน ได้ถือศีลอดทั้งสามอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ละศีลอด พวกเขาได้ให้อาหารทั้งหมดของเขาแก่ผู้ขัดสน จนโองการอิฏอามถูกประทานลงมาให้พวกเขา [๑๖๗]
การตัดขาดจากทางโลกและความเรียบง่าย
สินสมรสของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) มีทั้งหมด สิบหก หรือสิบเก้า รายการ ซึ่งสิบหกรายการ ถือเป็นปัจจัยสำหรับการดำเนินชีวิตอันเล็กๆ ของนาง เมื่อครั้งที่ศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า (ศ็อลฯ) ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ เขาก็ขอพร ดังนี้: ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่มีเครื่องมือส่วนใหญ่นั้นเป็นดินเหนียว และเครื่องปั้นดินเผา [๑๖๘]
มุฮัดดิษ
บรรดามะลาอิกะฮ์ได้สนทนากับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เป็นหนึ่งในคุณลักษณะพิเศษของนาง ซึ่งทำให้นางถูกเรียกว่า มุฮัดดิษ (๑๖๙) การสนทนาระหว่างมวลมะลาอิกะฮ์กับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ในยุคสมัยของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) และหลังจากการวายชนม์ของศาสดา คือ การปลอบประโลมท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) และแจ้งให้นางทราบเกี่ยวกับอนาคตของเชื้อสายของศาสดา [๑๗๐] อิมามอะลี (อ.)ได้จดบันทึกเหตุการณ์ในอนาคต ตามที่เทวทูตได้บอกกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซึ่งเป็นที่รู้จักว่า มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์ [๑๗๑] ในรายงานนี้ มีการกล่าวถึงคำพูดของมะลาอิกะฮ์เพียงฝ่ายเดียว และท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เป็นผู้ฟังเท่านั้น และสิ่งที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ได้ยิน อิมามอะลี (อ.) ก็ได้ยินและจดบันทึกไว้ด้วย การปรากฏของอิมามอะลี (อ.) เมื่อพบกับมะลาอิกะฮ์นั้น เป็นไปตามคำร้องขอของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ตามทัศนะของฟัยฎ์ กาชานี ในหนังสือ วาฟีย์ เขียนว่า สาเหตุของคำร้องขอนี้ เนื่องมาจากความกลัวที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์อยู่คนเดียวและสนทนากับเทวทูต (๑๗๒) แต่ ในเชิงอรรถของหนังสืออัลกาฟีย์ ซึ่งได้รับการแก้ไขโดยอะลี อักบัร ฆ็อฟฟารี และมุฮัมมัด ออคูนดี ถือว่า เหตุผลในการร้องขอของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)จากอิมามอะลี (อ.) สำหรับการร่วมอยู่ด้วยในเวลาที่มะลาอิกะฮ์ปรากฏอยู่ ถือเป็นความกังวลใจในการไม่สามารถที่จะจดจำคำพูดของมะลาอิกะฮ์ได้ (๑๗๓)
ศาสตร์และความรู้
ด้วยการเป็นแบบอย่างของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ (ซ.) ในมิติต่างๆ ของการอิบาดะฮ์ การอบรมสั่งสอน จริยธรรมและศีลธรรม การดูแลครอบครัว ฯลฯ จำเป็นที่จะต้องใช้ประโยชน์จากศาสตร์และความรู้อันพิเศษที่สมบูรณ์ของนาง เพื่อเป็นคำตอบต่อความต้องการทางความรู้สำหรับผู้ที่แสวงหาความรู้ (๑๗๔) ในส่วนหนึ่งจากบทซิยาเราะฮ์ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)ได้ให้สลามไปยังนาง ดังนี้: ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน โอ้ผู้ที่สนทนากับมะลาอิกะฮ์ ผู้ทรงความรอบรู้ (๑๗๕) ตัวอย่างความรู้ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) และการเคารพในศีลธรรมและมารยาททางศาสนา และความอ่อนน้อมถ่อมตน อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของนางต่อผู้ถามในเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งมีริวายะฮ์จากอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.) รายงานว่า วันหนึ่ง มีผู้หญิงคนหนึ่งได้พูดกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ว่า แม่ของฉันนั้นไม่มีสามารถ สำหรับนมาซของเธอ เธอมีปัญหาที่จะถาม จึงได้เขาส่งฉันไปหาคำตอบจากท่าน ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ได้ให้คำตอบกับสตรีผู้นั้นไป จากนั้น ผู้หญิงคนนั้นก็ถามอีกคำถามและท่านหญิงก็ตอบเธออีกครั้ง จนกระทั่งเธอถามถึงสิบครั้งด้วยกัน ในเวลานั้น ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกเขินอายและบอกว่าฉันทำให้ท่านเหนื่อยและไม่พอใจไปมากกว่านั้น ฉันจะไม่ทำให้ท่านลำบากและเหนื่อยอีกต่อไปแล้ว ท่านหญิงฟาฎิมะฮ์ (ซ.)กล่าวว่า หากมีคำถาม ก็ให้ถามมา แล้วท่านหญิงกล่าวเสริมว่า ถ้ามีคนรับจ้างให้บรรทุกของหนักไปยังสถานที่สักแห่งแล้ว ได้รับเงินตอบแทนหนึ่งแสนดีนาร เขาจะไม่สบายใจใช่ไหม? ผู้หญิงคนนั้นตอบว่าไม่ หลังจากนั้น ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) กล่าวว่า “ฉันเป็นผู้รับจ้างพวกท่านสำหรับทุกคำถามที่ฉันจะตอบ และผลรางวัลสำหรับมัน ณ อัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงส่งนั้นมีค่ามากกว่าสิ่งที่อยู่ในโลกนี้ (๑๗๖) อาลูซี กล่าวว่า บรรดานักวิชาการอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ มองว่า ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ ) รู้ดีว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์นั้นมีความสูงส่งมากกว่าท่านหญิงอาอิชะฮ์ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์จะมีชีวิตอยู่หลังจากเขาไม่นานนัก เขากล่าวว่า จงเอาศาสนาทั้งหมดของเจ้าจากฟาฏิมะฮ์ [๑๗๗]