การจัดงานรำลึกวันประสูติของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ เป็นอุตริกรรมใช่หรือไม่?

การจัดงานรำลึกวันประสูติของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ เป็นอุตริกรรมใช่หรือไม่?

 

ประสูติท่านศาสดากับกิจกรรมที่ถูกตราเป็นอุตริกรรม

ขณะที่ประเทศอิสลามต่างๆ เช่น อิหร่าน ปากีสถาน อัฟกานิสถาน

ประเทศแถบอ่าวเปอร์เซีย และมวลมุสลิมทั้งในยุโรป อเมริกาและในประเทศไทย ต่างพากันจัดงานเฉลิมฉลองรื่นรมย์ ในวันประสูติของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการจัดงานในรูปลักษณะต่างๆนานา ซึ่งถือว่าในความเป็นจริงนั้นเป็นสัจธรรมที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าวันประสูติของท่านศาสดาเป็นวันหนึ่งที่ดีที่สุดและวันสำคัญที่สุดของหน้าประวัติศาสตร์มนุษย์ เพราะเป็นวันที่บรรดาศาสนทูตก่อนหน้านี้ ล้วนแล้วได้แจ้งข่าวดีถึงการมาของท่านศาสดาท่านสุดท้าย ดังนั้น การแสดงความยินดี เฉลิมฉลองของพี่น้องมุสลิมทั้งหลายเป็นเรื่องธรรมชาติตามสัญญาตญาณดั้งเดิม(ฟิตเราะฮ์)อันบริสุทธิ์ของมนุษย์ ซึ่งสิ่งนี้มันเหนือกว่าการยึดมั่นในนิกายเสียด้วยซ้ำ เพราะมนุษย์ที่มีความรักแด่ท่านศาสดา ย่อมมีสิทธิที่จะแสดงความรักของเขาต่อท่านศาสดา ด้วยการสรรเสริญเชิดชูและเทิดเกียรติต่างๆนานา ด้วยการแสดงการเคารพและให้เกียรติ และปรารถนาให้นามของท่านศาสดาคงอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ตลอดกาล แต่เป็นที่น่าเสียดายและรันทดใจยิ่ง ที่มีกลุ่มหนึ่งภายใต้ชื่อลัทธิวะฮาบี โดยในความเป็นจริงแล้วนั้นเป็นลัทธิที่ทำการฟื้นฟูแบบอย่างของตระกูลอุมัยยะห์ ซึ่งเป็นตระกูลที่ถูกสาปแช่งโดยอัลลอฮ์ และท่านศาสดา(ซล) โดยกล่าวอ้างว่า การจัดงานเฉลิมฉลอง วันประสูติของท่านนบีเป็นอุตริกรรม เป็นบิดอะห์ เป็นการตั้งภาคีและนำมาซึ่งการเป็นกุฟร์(ตกศาสนา) โดยที่มนุษย์ผู้มีสติสัมปชัญญะ ต่างงวยงง กับคำฟัตวา คำวินิจฉัยอันวิตถารเช่นนี้ของลัทธิวะฮาบี

ในหนังสือ فتاوي اللجنة الدائمة للبحوث و الإفتاء ซึ่งเป็นตำราที่ใหญ่ที่สุดด้านนิติศาสตร์ของวะฮาบี เป็นตำราที่มีการรวบรวมคำถามต่างๆจากทั่วโลก ซึ่งมีจำนวน 20 เล่ม โดยในเล่มที่3 หน้า 81 กล่าวอย่างชัดเจนว่า การจัดงานเฉลิมฉลองวันประสูติของท่านศาสดา เป็นสิ่งที่ต้องห้าม เพราะเป็นสิ่งอุตริกรรม โดยท่านศาสดา คอลีฟะห์ทั้งสี่ท่าน ศอฮาบะฮ์ และตาบีอีน ไม่เคยจัดงานเฉลิมฉลองดังกล่าวมาเลย

คำวินิจฉัยของบรรดาผู้รู้เหล่านี้ มันกำลังละเล่นกับความรู้สึกของพี่น้องมุสลิมนับพันล้านคน ในขณะที่ผู้ปฏิบัติตามลัทธิวะฮาบีนั้นมีเพียงน้อยนิดและถือเป็นชนส่วนน้อยด้วยซ้ำไป อีกทั้ง ยังเป็นส่วนเกินของประชากรมุสลิมทั่วโลกที่มีความคิดที่นิยมความรุนแรงและมักชอบสร้างความแตกแยกให้กับเกิดขึ้นประชาชาติอิสลาม

ในบทความนี้ ต้องการสร้างความเข้าใจให้กับพี่น้องทุกท่าน ในความถูกต้อง ความชอบธรรมของการจัดงานวันประสูติท่านศาสดาและการสรรเสริญสดุดี ศอลาวาตท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) ว่าเป็นสิ่งที่อนุมัติและอนุญาตตามหลักการศาสนาอิสลาม

 

อัลกุรอานกับการศอลาวาต (การสรรเสริญศาสดา)

อัลลอฮ์(ซบ) ทรงตรัสว่า



إِنَّ اللَّهَ وَمَلَائِكَتَهُ يُصَلُّونَ عَلَى النَّبِيِّ يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا صَلُّوا عَلَيْهِ وَسَلِّمُوا تَسْلِيماً 



แท้จริงอัลลอฮ์และมะลาอิกะฮ์ของพระองค์ ทำการศอลาวาตแก่ท่านนบี โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงศอลาวาตแก่เขาและจงประสาทสันติแก่เขาอย่างแท้จริงเถิด” (อัลอะห์ซาบ: 56) 



ท่านอิบนุ กะษีร ได้อธิบายว่า

“เป้าหมายจากอายะฮ์นี้ คืออัลลอฮ์ (ซบ) ได้ตรัสแก่ปวงบ่าวของพระองค์ ถึงฐานันดรของศาสนทูตของท่านในกลุ่มชนชั้นเบื้องบนด้วยการให้บรรดามะลาอิกะฮ์ทำการศอลาวาตแก่ท่านนบี และพระองค์ยังใช้ให้โลกชั้นล่างทำการศอลาวาตและกล่าวสลามแก่ท่านนบี เพื่อให้การสรรเสริญต่อท่านนบีนั้น ถูกรวบไว้ทั้งโลกเบื้องบนและเบื้องล่างทั้งหมด”

(ตัฟซีร อิบนุกะษีร อธิบายโองการที่ 56 บทอัลอะห์ซาบ) 



การศอลาวาตต่อท่านนบี (ซล) นั้น สามารถลบล้างบาปได้มากมาย ทำให้เรามีเกียรติ ด้วยการผูกสัมพันธ์ความรักต่อท่านนบี (ซล) ด้วยการ

ศอลาวาตต่อท่านอย่างสม่ำเสมอ

การศอลาวาต คือ การขอต่ออัลลอฮ์ (ซบ)ให้ทรงประสาทพรแก่ท่านนบี (ซล)ของเรา ด้วยการเพิ่มพูนความจำเริญในแง่ของเกียรติตำแหน่งของท่านให้อยู่ในฐานันดรที่สูง 

ความประเสริฐของการศอลาวาตจากฮะดีษ (คำรายงาน)

การศอลาวาตนั้นเป็นการสนองคำบัญชาใช้ของ

อัลลอฮ์(ซบ) เป็นการเชื่อมความรักของเราที่มีต่อท่านนบี จนกระทั่งวันกิยามะฮ์เราจะได้เป็นผู้ที่ใกล้ชิดท่านด้วยการศอลาวาตมาก ๆ ยิ่งกว่านั้น อัลลอฮ์ ยังทรงทำให้การศอลาวาตเป็นการเพิ่มพูนความดี ลบล้างความชั่ว และยังยกฐานันดรของเราให้สูงอีกด้วย

รายงานจากท่านอับดุลลอฮ์ บุตร อัมร์ บิน อาซ ว่า ท่านนบี (ซล)ได้กล่าวว่า



‏مَنْ صَلَّى عَليَّ صَلاةً صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ بِهَا عَشْراً‏

“ผู้ใดทำการศอลาวาตต่อฉันหนึ่งครั้ง อัลลอฮ์ก็จะทรงศอลาวาต (ให้ความเมตตา) แก่เขาด้วยการศอลาวาตของเขานั้นถึงสิบครั้ง”

(รายงานจากมุสลิม(384) 


รายงานจากท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ ว่า ท่านนบี(ซล) ได้กล่าวว่า

‏أوْلى النَّاسِ بي يَوْمَ القِيامَةَ أَكْثَرُهُمْ عَليَّ صَلاةً

“มนุษย์ที่เป็นที่รักยิ่งสำหรับฉันมากที่สุดในวันกิยามะฮ์ คือผู้ที่พวกเขาได้ศอลาวาตต่อฉันมากที่สุด”

(รายงานจากอัตติรมีซีย์ (484)

รายงานจากเอาส์ บุตร เอาส์ ว่า ท่านนบี (ซล) ได้กล่าวว่า



‏إِنَّ مِنْ أفْضَلِ أيَّامِكُمْ يَوْمَ الجُمُعَةِ، فأكْثِروُا عَليَّ مِنَ الصَّلاةِ  فِيهِ، فإنَّ صَلاتَكُمْ مَعْرُوضَةٌ عَليَّ‏”‏ فقالوا‏:‏ يا رسول اللّه‏!‏ وكيف تُعرض صلاتنا عليك وقد أرَمْتَ‏؟‏ قال‏:‏ إنَّ اللّه حَرَّمَ على الأرض أجْسادَ الأنْبِياءِ‏


“แท้จริง ส่วนหนึ่งจากวันที่ประเสริฐยิ่งนั้น คือวันศุกร์ ดังนั้น พวกท่านจงศอลาวาตต่อฉันในวันศุกร์ให้มาก ๆ เพราะการศอลาวาตของพวกท่านนั้นจะถูกนำเสนอแก่ฉัน

พวกเขาถามว่า โอ้ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ การศอลาวาตของเราจะถูกนำเสนอต่อท่านได้อย่างไร ในเมื่อกระดูกของท่านพุเปื่อย(ตอนอยู่ในกุโบร์)?

ท่านนบี ตอบว่า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงห้ามแผ่นดิน(กัดกิน)บรรดาเรือนร่างของนบี

(รายงานจากอบูดาวูด (1047) และอิบนุ มาญะฮ์ (1085) ฮะดีษศอฮิห์) 


รายงานจากท่านอนัส ว่า ท่านนบี (ซล) ได้กล่าวว่า



مَنْ صَلَّى عَليَّ وَاحِدَةً   صَلَّى اللهَ عَلَيْهِ عَشَرَ صَلَوَاتِ، وَحَطَّ عَنْهُ عَشَرَ خَطِيْئَاتٍ، وَرَفَعَ لَهُ عَشَرَ دَرَجَاتٍ 


“ผู้ใดทำการศอลาวาตแก่ฉัน 1 ครั้ง อัลลอฮ์ก็จักทรงศอลาวาตให้แก่เขา 10 ครั้ง และพระองค์ทรงลบล้าง 10 บาปจากเขา และพระองค์ทรงยกเกียรติแก่เขาถึง 10 ฐานันดร”

(รายงานจากอิมามอะห์มัด ท่านอัลบุคอรีย์ในหนังสืออัลอะดับอัลมุรอด และท่านอันนะซาอีย์ ดู หนังสือญาเมียะอฺ อัศศ่อฆีร ของท่านอิมาม

อัสสะยูฏีย์ ฮะดิษที่ (8810) ฮะดิษนี้ซอฮิห์)

ผู้ที่ไม่ศอลาวาตคือผู้ตระหนี่

ความจริงการศอลาวาตต่อท่านนบี (ซล) นั้น มิใช่มนุษย์เป็นผู้ทำการศอลาวาตให้ แต่ทว่าอัลลอฮ์(ซบ) ต่างหากที่เป็นผู้ศอลาวาตแก่ท่านนบี ดังนั้น เมื่อได้มีการเอ่ยนามของท่านนบี (ซล) แล้วเขาไม่ทำการกล่าวศอลาวาต ถือว่าเขาเป็นผู้อัปโชค ตระหนี่ถี่เหนียว ยิ่งกว่านั้นเขายังตระหนี่ในสิ่งที่ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของเขาอีกด้วย เนื่องจากการศอลาวาตเป็นของอัลลอฮ์ ซึ่งเรามักจะกล่าวเริ่มศอลาวาตว่า โอ้ อัลลอฮ์โปรดทรงศอลาวาตแก่ท่านนบีด้วยเถิด… ฉะนั้นการที่เราไม่ศอลาวาต ก็แสดงว่าเราไม่ปรารถนาให้อัลลอฮ์ ทรงประสาทพรแก่ท่าน ซึ่งเป็นความตระหนี่ที่จะหาอะไรมาเทียบเคียงไม่ได้อีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศอลาวาตนั้นเรามิได้เน้นเพื่อต้องการผลบุญ แต่เราต้องการที่สร้างแสดงความรักต่อท่านนบี ที่มีอยู่ในหัวใจของเรา ซึ่งท่านนบี (ซล) นั้น เป็นผู้รักห่วง หวังดี และเมตตายิ่งต่อเราประชาชาติ

อิสลาม ดังนั้น เราไม่ทำการศอลาวาตต่อท่านได้อย่างไร?

อัลลอฮ์ ทรงตรัสยืนยันไว้ว่า



لَقَدْ جَاءكُمْ رَسُولٌ مِّنْ أَنفُسِكُمْ عَزِيزٌ عَلَيْهِ مَا عَنِتُّمْ حَرِيصٌ عَلَيْكُم بِالْمُؤْمِنِينَ رَؤُوفٌ رَّحِيم



"โดยแท้จริงได้มีศาสนทูตหนึ่งจากเผ่าพันธุ์ของพวกเจ้ามา (ประกาศสัจธรรม) สู่พวกเจ้า เขามีความกังวลในสิ่งที่พวกเจ้าทุกข์ร้อน เขามีความหวังดีต่อพวกเจ้า อีกทั้งเป็นผู้ปรานีและเมตตายิ่งแก่บรรดาศรัทธาชนทั้งมวล” (อัตเตาบะฮ์ 128) 


 

รายงานจากท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ ว่า ท่านนบี (ซล) ได้กล่าวว่า



‏رغِمَ أنْفُ رَجُلٍ ذُكِرْتُ عِنْدَهُ فَلَمْ يُصَلِّ عَليَّ‏



”ชายคนหนึ่งนั้นจะต่ำต้อย เมื่อฉันได้ถูกเอ่ยขึ้น ณ ที่เขา แล้วเขาไม่ยอมทำการซอลาวาตแก่ฉัน” (รายงานจากติรมีซีย์ (3539) ฮะดีษหะซัน)

รายงานจากท่านอะลี ว่า ท่านนบี ได้กล่าวว่า



‏البَخِيلُ مَنْ ذُكِرْتُ عِنْدَهُ فَلَمْ يُصَلِّ عَليَّ‏

“ผู้ที่ตระหนี่นั้น คือผู้ที่ฉันถูกเอ่ยขึ้นมา ณ ที่เขา แล้วเขาก็ไม่ทำการศอลาวาตต่อฉัน”

รายงานจากติรมีซีย์ (3540) ฮะดีษ หะซันซอฮิห์


 


วิธีการศอลาวาต

รายงานจากท่านอบี ดัรดาอฺ ท่านนบี (ซล) ได้กล่าวว่า



مَنْ صَلَّى عَليَّ حِيْنَ يُصْبِحُ عَشَراً، وَحِيْنَ يُمْسِيْ عَشَراً أَدْرَكَتْهُ شَفَاعَتِيْ يَوْمَ الْقِيَامَةِ

“ผู้ใดทำการศอลาวาตต่อฉันในยามเช้า 10 ครั้ง และในยามเย็น 10 ครั้ง การชะฟาอะฮ์ (การช่วยเหลือของฉัน) จะได้ประสบกับเขาในวันกิยามะฮ์”

(รายงานจากฏอบรอนีย์ ด้วยสองสายสืบ ซึ่งมีหนึ่งสายสืบที่มีสายรายงานที่ดี ( มัจญ์มะอฺ อัซซะวาอิด ของท่านอัลฮัยษะมีย์ (10/120)

ท่านอิมามอัสสะยูฏีย์ กล่าวว่า เป็นฮะดีษหะซัน ดู หนังสือ อัลญาเมี๊ยะอฺอัศศ่อฆีรฮะดีษที่ (8811)

 

 การศอลาวาตประจำวันด้วยถ้วยคำที่ดีที่สุด คือ ถ้อยคำที่เราได้กล่าวตอนหลังอ่านตะชะฮุดในนมาซ



اَللَّهُمَّ صَلِّ عَلىَ مُحَمَّدٍ وَعَلىَ آلِ مُحَمَّدٍ كَمَا صَلَّيْتَ عَلىَ إِبْرَاهِيْمَ وَعَلىَ آلِ إِبْرَاهِيْمَ وَبَارِكْ عَلىَ مُحَمَّدٍ وَعَلىَ آلِ مُحَمَّدٍ كَمَا بَارَكْتَ عَلىَ إِبْرَاهِيْمَ وَعَلىَ آلِ إِبْرَاهِيْمَ فِيْ الْعَالَمِيْنَ إِنَّكَ حَمِيْدٌ مَجِيْدٌ


หรือกล่าวสั้น ๆ ว่า 
اَللَّهُمَّ صَلِّ عَلىَ مُحَمَّدٍ وَعَلىَ آلِ مُحَمَّدٍ

ดังนั้นจากการอธิบายข้างต้น ทั้งจากหลักฐานอัลกุรอานและฮะดีษ หรือวจนะของท่านศาสดา(ซล) เป็นที่ประจักษ์ในความสำคัญของการ

ศอลาวาตแด่ท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) การศอลาวาตสามารถกระทำได้อยู่ตลอดเวลามิได้กำหนดเวลาเฉพาะ โดยเฉพาะในช่วงการจัดงาน

เมาลิด(เฉลิมฉลองวันประสูติของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) นั้นพี่น้องมุสลิมต่างพากันสรรเสริญสดุดีและศอลาตแด่ท่านอย่างยิ่งใหญ่ในรูปแบบต่างๆ เพื่อแสวงหาความใกล้ชิดและแสดงออกถึงความรักที่มีแด่ท่านศาสดามุฮัมมัดอย่างพร้อมเพรียงกัน

แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายและรันทดใจยิ่งที่มีกลุ่มหนึ่งที่อ้างตนเป็นผู้ปฏิบัติตามท่านศาสดา(ซล) แต่กลับปฏิเสธรูปแบบของการจัดงานเมาลิด และการศอลาวาตแด่ท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) นั้นคือกลุ่มวะฮาบี

 

มุฮัมมัด บินวะฮาบ คือผู้ที่รังเกียจการศอลาวาตต่อท่านนบี

ตามหลักฐานที่ปรากฏ ระบุว่ามุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ รังเกียจการศอลาวาตต่อท่านนบี และเขาจะเป็นทุกข์เป็นร้อนเมื่อได้ยินมันในคืนวันศุกร์ เขาจะห้ามไม่ให้มีการศอลาวาตต่อท่านนบี และห้ามศอลาวาตเสียงดังบนมิมบัร ถ้าหากใครทำเช่นนั้น เขาจะทำร้าย และลงโทษอย่างรุนแรง ต่อบุคคลที่กระทำสิ่งดังกล่าว จนกระทั่งที่ว่า มุฮัมหมัด บิน อับดุลวะฮาบ คนนี้ ได้ฆ่าชายตาบอด ซึ่งเขาเป็นมุอัซซิน(คนกล่าวอะซาน)ที่มีคุณธรรมคนหนึ่ง มีเสียงที่ไพเราะ แต่มุฮัมหมัด บิน อับดุลวะฮาบ กลับห้ามเขาไม่ให้ทำการศอลาวาตบนประภาคาร ถัดจากอะซาน แต่ชายผู้นี้ไม่ยอมหยุด และได้ทำการศอลาวาตต่อท่านนบี ในที่สุดมุฮัมหมัด บิน อับดุลวะฮาบ จึงสั่งให้ฆ่าชายผู้นี้ซะ และแล้วชายตาบอดผู้นี้ก็ถูกสังหาร

حتى أن رجلا صالحا كان أعمى و كان مؤذنا و صلى على النبي صلى الله عليه و سلم بعد الأذان بعد أن كان المنع منهم، فأتوا به إلى إبن عبد الوهاب فأمر به أن يقتل فقتل و لو تتبعت لك ما كانوا يفعلونه من أمثال ذلك لملأت الدفاتر و الأوراق

(จากหนังสือ فتنة الوهابية หน้า 20)

 

บทความโดย เชคอิบรอฮีม อาแว

ขอขอบคุณเว็บไซต์เอบีนิวส์ทูเดย์