เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

วะซียัตสุดท้ายของอิมาม

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

วะซียัตสุดท้ายของอิมาม


ท่านอิมามฮูเซน (อ) ในวันอาชูรอช่วงเวลาที่สถานการณ์ตึงเครียดที่สุด และเหล่าสหายผู้เสียสละได้พลีชีพไปหมดแล้วในช่วงเวลาเช่นนั้น ที่ทุกถ้อยคำล้วนเป็นสาระสำคัญยิ่ง ท่านได้กล่าววะซียะฮ์ (คำสั่งเสีย) สุดท้ายแก่บุตรชายผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรมของท่าน ซึ่งในความเป็นจริง ก็คือคำสั่งเสียสุดท้ายของท่านต่อเหล่าชาวชีอะฮ์ และแม้กระทั่งต่อมนุษยชาติทั้งหมด
ท่านกล่าวไว้ว่า:
 «یا بُنَیَّ إِیَّاکَ وَ ظُلْمَ مَنْ لَا یَجِدُ عَلَیْکَ نَاصِراً إِلَّا اللَّهَ»
"โอ้ลูกของพ่อ! จงระวังอย่างยิ่ง อย่าได้กระทำความอยุติธรรมต่อผู้ใด ที่ไม่มีผู้ช่วยเหลือใด ๆ ต่อเจ้านอกจากพระเจ้าเท่านั้น"
ถ้อยคำนี้สะท้อนถึงแก่นแท้ของความยุติธรรมในอิสลาม และแสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการเคารพศักดิ์ศรีของผู้ไร้พลังและผู้ด้อยโอกาส เพราะคนที่ไม่มีผู้ช่วยเหลือใดนอกจากอัลลอฮ์ คือผู้ที่อ่อนแอที่สุดในสังคม
หากจะกล่าวถึงตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดของ ผู้ถูกอธรรม (مظلوم), ย่อมหนีไม่พ้นท่านอิมามฮูเซน (อ) และเหล่าสหายผู้จงรักภักดีของท่าน ผู้ซึ่งถูกรังแกและถูกฆ่าอย่างโหดร้าย โดยฝีมือของกลุ่มคนอธรรมที่ชั่วร้าย
ไม่เพียงเท่านั้น แม้หลังจากที่บรรดาชายชาตรีเหล่านั้นได้พลีชีพในหนทางของอัลลอฮ์แล้ว บรรดาสตรีและเด็ก ๆ ในค่ายของท่านก็ยังถูกจับไปเป็นเชลย ท่ามกลางผืนทะเลทรายอันแห้งแล้งและความกระหายน้ำแสนสาหัส โดยที่พวกเขาไม่มีผู้ใดอยู่เคียงข้างเลยนอกจากพระเจ้าผู้ทรงเมตตา
การกระทำเช่นนั้นการอธรรมต่อผู้ที่ไร้ที่พึ่งถือเป็น ความอยุติธรรมที่ร้ายแรงที่สุด และเป็นหนึ่งในรูปแบบของ ظلم (การอธรรม) ที่อิสลามประณามอย่างหนัก
รูปแบบของการอธรรม โดยเฉพาะต่อผู้ที่ไร้ที่พึ่งและไม่มีเสียงในสังคม มีหลายลักษณะ ซึ่งในส่วนถัดไป จะมีการยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
#รูปแบบต่าง ๆ ของความอธรรมต่อผู้ไร้ที่พึ่ง:
ในหมวดหมู่ของความอธรรม (ظلم) ที่ต่ำลงมาจากการอธรรมในระดับสูงสุด คือ การอธรรมของผู้ปกครองต่อประชาชนที่ไร้ที่พึ่ง เมื่อบุคคลบางคนสามารถยึดครองอำนาจเหนือประชาชาติหนึ่ง แล้วใช้อำนาจนั้นในการกดขี่พวกเขา ประชาชาตินั้นซึ่งไม่อาจหาพึ่งพาใดได้นอกจากพระเจ้า ก็ถือว่าเข้าเงื่อนไขของ ผู้ถูกอธรรม (مظلوم) ตามที่ระบุไว้ในคำสอนของศาสนา
#การอธรรมของผู้ปกครอง:
การอธรรมประเภทนี้เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและเป็นที่ตำหนิอย่างยิ่ง ท่านศาสดามูฮัมหมัด (صلى‌الله‌عليه‌وآله‌وسلم) ได้กล่าวไว้ว่า:
 «سَیَأْتِی زَمَانٌ عَلَى أُمَّتِی یَفِرُّونَ مِنَ الْعُلَمَاءِ کَمَا یَفِرُّ الْغَنَمُ عَنِ الذِّئْبِ، فَإِذَا کَانَ کَذَلِکَ ابْتَلَاهُمُ اللَّهُ تَعَالَى بِثَلَاثَةِ أَشْیَاءَ: الْأَوَّلُ یَرْفَعُ الْبَرَکَةَ مِنْ أَمْوَالِهِمْ، وَالثَّانِی یُسَلِّطُ اللَّهُ عَلَیْهِمْ سُلْطَاناً جَائِراً، وَالثَّالِثُ یَخْرُجُونَ مِنَ الدُّنْیَا بِلَا إِیمَانٍ»
“จะมีช่วงเวลาหนึ่งมาถึงประชาชาติของฉัน ที่พวกเขาจะหลีกหนีจากนักวิชาการศาสนา เหมือนฝูงแกะหนีหมาป่า และเมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น อัลลอฮ์จะทดสอบพวกเขาด้วยสามสิ่ง: หนึ่ง จะยกพร (บะรอกะฮ์) ออกจากทรัพย์สินของพวกเขา สอง จะให้ผู้ปกครองอธรรมครอบงำพวกเขา และสาม พวกเขาจะออกจากโลกนี้โดยไม่มีอีมาน (ศรัทธา)”
#การอธรรมของนายจ้างต่อแรงงาน:
อีกหนึ่งรูปแบบของความอธรรมที่พบเห็นได้บ่อย คือ การอธรรมของนายจ้างที่มีต่อคนงาน โดยเฉพาะในกรณีที่ลูกจ้างไม่มีทางเลือกอื่น ต้องทำงานให้กับนายจ้างคนนั้น และหากปฏิเสธคำสั่งหรือไม่ยอมทนกับความกดขี่ ก็จะถูกไล่ออกและตกงานทันที
หลายครั้งนายจ้างใช้ความต้องการงานของลูกจ้างมาเป็นเครื่องมือควบคุม กดดัน และขูดรีดแรงงาน ซึ่งถือเป็นการเอารัดเอาเปรียบอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายลูกจ้างเองก็มีหน้าที่เช่นกัน ต้องทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ไม่ประมาท ไม่บกพร่อง เพราะหากขาดความรับผิดชอบ ก็เป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น และเข้าข่าย ظلم เช่นกัน
#การอธรรมในครอบครัว:
อีกระดับหนึ่งของความอธรรมที่น่าเป็นห่วงคือ ความอธรรมภายในครอบครัว
ซึ่งอาจเกิดขึ้นระหว่างสามีภรรยา ระหว่างพ่อแม่กับลูก หรือในทางกลับกัน
ตัวอย่างเช่น: ภรรยาที่ไม่มีใครให้พึ่งพิง ต้องทนกับการกดขี่จากสามี
หรือสามีที่ต้องอดทนต่อการดูหมิ่นจากภรรยา เพื่อรักษาเกียรติของครอบครัว
หรือพ่อแม่สูงวัยที่ไม่มีใครดูแลนอกจากลูกของตนเอง แต่กลับถูกดูถูก เหน็บแนม หรือทอดทิ้ง
สิ่งเหล่านี้ถือเป็น ความอธรรมร้ายแรง โดยเฉพาะเมื่อลูกกระทำต่อพ่อแม่ที่แก่เฒ่าและอ่อนแอ
คำสอนจากอัลกุรอานพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานได้เน้นย้ำเรื่อง การเคารพพ่อแม่ ไว้อย่างชัดเจน โดยกล่าวว่า:
 «وَقَضى‏ رَبُّكَ أَلَّا تَعْبُدُوا إِلَّا إِيَّاهُ وَبِالْوَالِدَيْنِ إِحْسَانًا إِمَّا يَبْلُغَنَّ عِندَكَ الْكِبَرَ أَحَدُهُمَا أَوْ كِلَاهُمَا فَلَا تَقُلْ لَهُمَا أُفٍّ وَلَا تَنْهَرْهُمَا وَقُلْ لَهُمَا قَوْلًا كَرِيمًا، وَاخْفِضْ لَهُمَا جَنَاحَ الذُّلِّ مِنَ الرَّحْمَةِ، وَقُلْ رَبِّ ارْحَمْهُمَا كَمَا رَبَّيَانِي صَغِيرًا»
 “และพระเจ้าของเจ้าได้บัญชาไว้ว่าจงอย่าสักการะผู้ใดนอกจากพระองค์ และจงทำดีต่อพ่อแม่ หากหนึ่งในท่านทั้งสองหรือทั้งสองเข้าสู่วัยชรา ณ ที่ของเจ้า ก็อย่าได้กล่าวคำว่า ‘อุฟ’ กับพวกเขา และอย่าตะคอกพวกเขา แต่จงพูดกับพวกเขาอย่างสุภาพ และจงลดปีกแห่งความอ่อนน้อมให้แก่พวกเขาด้วยความเมตตา และกล่าวว่า: ข้าแต่พระเจ้า โปรดเมตตาพ่อแม่ของข้าพระองค์ ดังเช่นที่ท่านทั้งสองได้เลี้ยงดูข้าพระองค์ในวัยเยาว์” (ซูเราะฮ์ อัล-อิสรออ์, อายะฮ์ 23-24)
จุดที่ลึกซึ้งในอายะฮ์นี้คือ: อัลลอฮ์ทรงวางการเคารพพ่อแม่ไว้ถัดจากคำบัญชาแห่งการเคารพพระองค์โดยตรง แสดงให้เห็นว่าการอธรรมต่อพ่อแม่เป็นความผิดใหญ่หลวง ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการละเมิดสิทธิของพระเจ้าเลย
#รูปแบบอื่นของความอธรรมต่อผู้ไร้ที่พึ่ง:
● ความอธรรมต่อบุตร
การอธรรมต่อบุตร โดยเฉพาะบุตรสาว ถือเป็นเรื่องที่น่าตำหนิและไม่พึงประสงค์อย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น: หญิงสาวที่อยู่ภายใต้ความดูแลของพ่อแม่ ซึ่งยังไม่สามารถแต่งงานได้ และอยู่ในสถานะที่ต้องพึ่งพาครอบครัว ย่อมมีสภาพจิตใจที่อ่อนไหวและละเอียดอ่อน ในกรณีเช่นนี้ พ่อแม่ไม่ควรใช้อำนาจกดขี่ พูดจาหยาบคาย ตำหนิ หรือดูหมิ่นลูกของตน เพราะนั่นคือความอธรรมที่สร้างรอยแผลทางใจได้อย่างลึกซึ้ง
● ความอธรรมผ่านการดูหมิ่น การทำลายชื่อเสียง และการใส่ร้าย
ระดับถัดไปของการอธรรมต่อผู้ที่ไม่มีที่พึ่ง คือการละเมิดเกียรติยศและศักดิ์ศรีของผู้อื่น ผ่านพฤติกรรมเช่น:
การนินทา (غیبت)
การใส่ร้าย (تهمت)
การปล่อยข่าวลือเท็จ (شایعه پراکنی)
น่าเศร้าที่ ความอธรรมในรูปแบบนี้แพร่หลายมากในสังคมปัจจุบัน ผู้คนมากมายพูดจาใส่ร้ายและวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น ทั้งที่บุคคลเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในที่นั้น และไม่สามารถลุกขึ้นมาปกป้องตนเองได้
ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ที่ถูกพูดถึงจึงไม่มีผู้ช่วยใดเลย นอกจากอัลลอฮ์ เขาจึงตกอยู่ในฐานะของ "ผู้ถูกอธรรม" (مظلوم) อย่างแท้จริง
การใส่ร้าย (تهمت) และการกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐาน เป็นบาปใหญ่หลวง
และแม้แต่ในงานเลี้ยงหรือการพบปะทั่วไป แทบจะไม่มีวงสนทนาไหนเลยที่ปลอดจากบาปประเภทนี้
ประสบการณ์พิสูจน์แล้วว่า ผู้ที่ติดเป็นนิสัยในการนินทาและใส่ร้ายผู้อื่น มักจะไม่มีจุดจบที่ดี 
#การดูหมิ่นศักดิ์ศรีของผู้อื่น ถือเป็น "حقّ الناس" (สิทธิของมนุษย์)
และหากบุคคลไม่สามารถชดใช้หรือขอขมาผู้ที่ตนได้ละเมิดสิทธิไว้ได้ ความวิบัติในโลกหน้าอาจรออยู่ข้างหน้า
ในความเป็นจริงแล้ว มากกว่า 90% ของคำพูดในวงสนทนาทั่วไป ล้วนเป็นการใส่ร้ายผู้อื่น และบ่อยครั้งผู้ที่ถูกกล่าวถึง บริสุทธิ์จากข้อกล่าวหาทั้งหมดนั้น
บางคนอาจจะบอกว่า "ถ้าพูดลับหลังแล้วมันจริง ก็ไม่ใช่การใส่ร้าย" — แต่ถึงกระนั้นก็ยังถือเป็น غیبت (การนินทา) ซึ่งยังเป็นบาปใหญ่
● ความเงียบของผู้เห็นความอธรรม
ข้าพเจ้ามักจะเตือนวัยรุ่นเสมอว่า:
"ขอสาบานต่อพระเจ้า อย่าใส่ร้ายผู้อื่นเลย และหากได้ยินใครถูกกล่าวหาโดยไม่เป็นธรรม จงลุกขึ้นปกป้องเขาเถิด"
แต่น่าเศร้าที่แม้แต่ในหมู่คนเคร่งศาสนา ก็ยังพบว่าบางคน:
นั่งเฉยในขณะที่ผู้อื่นใส่ร้ายหรือดูถูกใครบางคน หรือบางครั้งถึงขั้น สนับสนุน หรือ พยักหน้าเห็นด้วย กับการใส่ร้ายนั้น
ทั้งสองกรณีนี้ล้วนเป็นความผิด เพราะ:
ผู้ที่กล่าวใส่ร้ายก็บาป และ ผู้ที่ได้ยินแต่ไม่ปกป้องผู้ถูกกล่าวหา ก็เป็นผู้ร่วมบาปด้วย
● คำเตือนของอิมามฮูเซน (อ)
ในวันอาชูรอ ท่านอิมามฮูเซน (อ) ได้เตือนพวกเราทุกคนให้ระวังจากการอธรรมในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่มีผู้ช่วยเหลือใด ๆ
เพราะการดูถูกผู้อื่น และการทำลายศักดิ์ศรีของพวกเขา ถือเป็น การทำสงครามกับพระผู้เป็นเจ้า
 «مَنْ أَهَانَ لِی وَلِیّاً فَقَدْ بَارَزَنِی بِالْمُحَارَبَةِ»
“ผู้ใดดูหมิ่นมิตรแท้ของข้า (วะลีย์ของอัลลอฮ์) แท้จริงเขาได้ทำสงครามกับข้าแล้ว”
นี่คือเหตุผลว่าทำไมบาปของผู้ใส่ร้ายผู้อื่น หรือผู้ดูถูกศักดิ์ศรีของมนุษย์ จึงหนักหนา และทำไม แม้แต่การนิ่งเฉยก็ยังถือว่ามีความผิด หากเป็นการปล่อยให้ความอธรรมดำเนินต่อไปโดยไม่มีใครทัดทาน
สรุป: ความอธรรมไม่จำกัดเฉพาะด้านกายภาพหรืออำนาจการปกครองเท่านั้น แต่รวมถึงคำพูด การใส่ร้าย การดูถูก และการทำลายเกียรติ
ผู้ที่ไม่มีที่พึ่งไม่ว่าจะเป็นลูกในครอบครัว แรงงาน หรือผู้ถูกใส่ร้าย ล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของพระเจ้า และการอธรรมต่อพวกเขาคือการต่อสู้กับพระองค์
อิมามฮูเซน (อ) และอัลกุรอาน ได้เตือนอย่างชัดเจนถึงโทษและอันตรายของความอธรรมทุกรูปแบบ โดยเฉพาะความอธรรมต่อผู้ไร้ที่พึ่งพา
#คำเตือนของอิมามฮูเซน (อ) ยังคงมีความหมายเสมอ
วจนะอันเปี่ยมด้วยแสงแห่งฮิดายะฮ์ของอิมามฮูเซน(อ)ไม่ใช่เพียงถ้อยคำที่จำกัดอยู่ในยุคของท่านเท่านั้นแต่เป็นวจนะที่ "ยังมีชีวิตอยู่" และยังคงสอดคล้องกับทุกกาลเวลา
เพราะฉะนั้น จิตใจของเราจึงไม่ควรหยุดเพียงแค่การระลึกถึงความอธรรมของ ชิมัร บิน ซิญอุชัน (شمر بن ذی الجوشن), อุมัร อิบนุ ซะอ์ด และ อิบนุ ซิยาด ที่ได้กระทำต่ออะฮ์ลุลบัยต์ (อ)
แต่ควรย้อนกลับมาสำรวจตนเองว่า เราจะกลายเป็น “ผู้เข้าข่ายคำเตือนของอิมามซัยยิดุชชุฮะดา โดยไม่รู้ตัวหรือไม่?"
#การปกป้องผู้ถูกรังแก คือหนึ่งในภารกิจสูงสุด
การปกป้องพี่น้องมุสลิมจากความอธรรม ถือเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่สุดในศาสนา และการนิ่งเฉยต่อความอธรรมที่กระทำต่อผู้ไร้ที่พึ่ง ก็ถือเป็นบาปใหญ่เช่นกัน
บางครั้ง ความลำบากในชีวิตของคนดี อาจไม่ใช่เพราะความผิดส่วนตัว แต่เพราะพวกเขาเคยได้ยินการใส่ร้าย (تهمت) หรือการนินทา (غیبت) เกิดขึ้นต่อผู้อื่น แล้วไม่สามารถ (หรือไม่ยอม) ปกป้องผู้ที่ถูกอธรรมเหล่านั้น ซึ่งโดยไม่รู้ตัว พวกเขาได้ กลายเป็น "ผู้สมรู้ร่วมคิดกับความอธรรม" 
#ความเมตตาอันลึกซึ้งของพระผู้เป็นเจ้า
พระองค์อัลลอฮ์ ผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา ต้องการให้บ่าวผู้ดีงามได้เข้าสวรรค์ในสภาพที่บริสุทธิ์จากบาป
เพราะฉะนั้น พระองค์จึงอาจประทานบททดสอบ เช่น: ความเจ็บป่วยรุนแรงก่อนตาย,ความลำบากในช่วงปลายชีวิต,
ทั้งหมดนี้คือ "الطاف خفیّه" (พระเมตตาที่เรามองไม่เห็นในเบื้องต้น) ที่ช่วยชำระบาปและนำเขากลับสู่พระองค์ด้วยใจที่สะอาด
แน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกความลำบากจะมีสาเหตุเดียว  แต่อย่างน้อย กรณีนี้ก็คือหนึ่งในสาเหตุที่มีในฮิกมะฮ์อันลึกซึ้งของพระผู้เป็นเจ้า
#วันอาคิเราะฮ์: บทลงโทษของผู้ใส่ร้ายและผู้เงียบเฉย
ในอาลัมบัรซัค และ วันกิยามะฮ์ ผู้ที่ใส่ร้ายผู้อื่น พูดจาดูหมิ่นผู้อื่น หรือแม้แต่ผู้ที่ อยู่ในเหตุการณ์แต่ไม่ปกป้องผู้ถูกอธรรม จะต้องเผชิญกับบทลงโทษอย่างหนัก
ดังนั้น การเตาบะฮ์จากบาปประเภทนี้จึงสำคัญยิ่งกว่าสำคัญ "
#นรก: คือพระเมตตาเร้นลับของพระองค์
หากผู้กระทำผิดเสียชีวิต โดยไม่เตาบะฮ์
เขาจะต้องเข้าสู่นรก เพื่อ: ชำระคราบบาป, ขจัดความสกปรกทางจิตใจ, และทำให้เขาบริสุทธิ์เพียงพอสำหรับการเข้าสวรรค์
แม้แต่นรกเอง ก็เป็น "الطاف خفیّه" (ความเมตตาซ่อนเร้น) จากพระผู้เป็นเจ้า
จิตวิญญาณของผู้กดขี่ ไม่เปลี่ยนแม้ในนรก
แม้ในไฟนรกผู้ที่เคยหลอกลวงและกดขี่ในโลกดุนยา ก็ยังคงพยายาม “หลอกพระเจ้า” ด้วยคำลวงและคำสาบาน
 «یَوْمَ یَبْعَثُهُمُ اللَّهُ جَمیعاً فَیَحْلِفُونَ لَهُ کَما یَحْلِفُونَ لَکُمْ وَ یَحْسَبُونَ أَنَّهُمْ عَلى‏ شَیْ‏ءٍ أَلا إِنَّهُمْ هُمُ الْکاذِبُونَ»
 “ในวันที่พระเจ้าให้พวกเขาฟื้นคืนชีพ พวกเขาจะสาบานต่อพระองค์ เหมือนกับที่เคยสาบานต่อพวกเจ้า และพวกเขาคิดว่าคำพูดของตนนั้นมีน้ำหนัก แท้จริงแล้วพวกเขาคือผู้ลวงโลกโดยแท้” (ซูเราะฮ์ อัลมุญาดะละฮ์ 58:18)
#ความสำเร็จชั่วคราวของคนชั่ว ไม่ใช่สัญญาณแห่งพระเมตตา
หากผู้กดขี่และเจ้าเล่ห์ดูเหมือนประสบความสำเร็จในดุนยา ไม่ใช่เพราะพระเจ้าเมตตาพวกเขา แต่...เป็นเพราะ พระองค์กำลัง “ให้โอกาส” แก่พวกเขา เพื่อให้กระทำบาปยิ่งขึ้นไป
«وَ لا یَحْسَبَنَّ الَّذینَ کَفَرُوا أَنَّما نُمْلی‏ لَهُمْ خَیْرٌ لِأَنْفُسِهِمْ إِنَّما نُمْلی‏ لَهُمْ لِیَزْدادُوا إِثْماً وَ لَهُمْ عَذابٌ مُهینٌ»
“และอย่าให้ผู้ปฏิเสธศรัทธาคิดว่า ที่เราผัดผ่อนให้พวกเขานั้นคือความดีงาม — แท้จริงแล้ว เราผัดผ่อนให้พวกเขาเพื่อให้เพิ่มพูนบาปขึ้น และสำหรับพวกเขาคือการลงโทษอันน่าอัปยศ” (ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน 3:178)
สรุป: คำเตือนของอิมามฮูเซน(อ) มีผลตลอดทุกยุคสมัย และเป็นกระจกสะท้อนจิตใจเราทุกคน
ผู้ที่ทำอธรรมต่อผู้ไร้ที่พึ่ง หรือแม้แต่นิ่งเฉยเมื่อเห็นผู้อื่นถูกอธรรม ล้วนต้องรับผิดชอบต่อหน้าพระองค์
การเตาบะฮ์อย่างจริงใจ และการชดใช้ความอธรรม คือหนทางเดียวที่จะรอดพ้นจากผลกรรม
ไฟนรกและความยากลำบาก เป็น “الطاف خفیّه” ความเมตตาที่ซ่อนอยู่ เพื่อชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์


บทความโดย  Raiden Phetkareem

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม