โศกนาฏกรรมของขบวนเชลยจากกัรบาลา: บาดแผลและความเจ็บปวดที่มิอาจลืมได้!!
โศกนาฏกรรมของขบวนเชลยจากกัรบาลา: บาดแผลและความเจ็บปวดที่มิอาจลืมได้!!
หนึ่งในเรื่องราวที่สะเทือนใจที่สุดหลังเหตุการณ์โศกนาฏกรรมในสมรภูมิกัรรบาลา คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเหล่าผู้รอดชีวิตจากครอบครัวของท่านอิมามฮุเซน (อ.) เหล่าเชลยผู้ถูกจับกุมและนำตัวจากคารบาลาไปยังเมืองกูฟะฮ์ และต่อไปยังดินแดนชาม (ซีเรียในปัจจุบัน) พวกเขาไม่ได้รับเพียงความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก แต่ยังต้องเผชิญกับการล่วงละเมิด ความรุนแรง และการลบหลู่เกียรติอย่างที่สุดจากกองทัพของอุมัร อิบนุ ซะอัด ถูกโบย ถูกปล้น แม้กระทั่งชีวิตก็ไม่รอด
จากหนังสือประวัติศาสตร์ของอิบนุญะรีร อัต-ฏอบะรี และคำบอกเล่าของนักวิชาการอิสลามหลายท่าน ระบุชัดว่าเหล่าทหารยาซีดมิได้เพียงจับเชลยธรรมดาเท่านั้น พวกเขากลับปฏิบัติต่อครอบครัวของท่านอิมามฮุเซน (อ.) อย่างโหดร้าย บางคนถูกเฆี่ยนตี ลากผม ลากเสื้อผ้า และมีบันทึกว่าสตรีบางคนถึงขั้นถูกปล้นทรัพย์และทำร้ายร่างกาย
แม้ว่าบางเรื่องราวที่เล่ากันในบทสวด (มะญาลิส) จะอาจไม่มีหลักฐานจากแหล่งอ้างอิงยุคต้นๆ แต่ก็เป็นการถ่ายทอด "ภาษาของหัวใจ" ที่สะท้อนถึงความเจ็บปวดและสภาพอันน่าสังเวชของเหล่าเชลย ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของความโหดร้ายที่เกิดขึ้นจริง
#เหตุการณ์โหดร้ายที่ยืนยันจากหลักฐานประวัติศาสตร์:
1-การปล้นทรัพย์และเครื่องประดับ:
เมื่อท่านอิมามฮุเซน (อ.) ถูกสังหาร ชัมรฺ บิน ซิลญ์ญอูชัน สั่งให้กองทัพของเขาบุกเข้ากระโจมและปล้นทุกสิ่งที่ขวางหน้า หนึ่งในเหยื่อคือท่านหญิงอุมมุกุลษูม ผู้ถูกฉีกหูเพื่อแย่งต่างหูไป
นักประวัติศาสตร์เช่น อิบนุเญาซียังได้บันทึกอีกว่า มีผู้ปล้นเครื่องประดับจากท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ บินตุลหุเซน ขณะที่เธอร่ำไห้และไม่อาจปกป้องตัวเองได้
2-ปล้นเสื้อผ้าแม้กระทั่งผ้าคลุมของสุภาพสตรี:
นักประวัติศาสตร์อัต-ฏอบะรีกล่าวว่า หลังการบุกโจมตี กระโจมของครอบครัวฮุเซนกลายเป็นเป้าหมายในการปล้นทรัพย์ แม้แต่ผ้าคลุมและเสื้อผ้าของสตรีก็ถูกแย่งชิง ในคำให้การของฮะมีด บิน มุสลิม (ที่ถ่ายทอดโดยชีคมุฟีด) ยังระบุว่า "ข้าพเจ้าเห็นพวกเขาฉุดกระชากเสื้อผ้าจากหญิงสาวที่ไร้เรี่ยวแรง พวกเขาไม่ละเว้นแม้แต่ผ้าคลุมที่ปิดบังร่างกายของเธอ"
ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ บินตุลหุเซน เองยังกล่าวว่า “สิ่งของทุกอย่างในกระโจม รวมถึงผ้าคลุมที่เราใช้ปกปิดตัวเอง ก็ถูกฉีกออกจากตัวเรา”
3-เผากระโจม: ไฟที่เผาร่างและหัวใจ
เมื่อปล้นเสร็จ ทหารของอิบนุซะอฺดไม่หยุดเพียงเท่านั้น พวกเขาจุดไฟเผากระโจม ทำให้สตรีและเด็กๆ ต้องหนีตายด้วยเท้าเปล่า ท่ามกลางเสียงร้องไห้และความสับสน วินาทีเหล่านั้นไม่มีคำใดจะอธิบายได้ถึงความเจ็บปวดที่แท้จริง
บทสรุป: บาดแผลของความอธรรมที่โลกไม่อาจลืม
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเชลยแห่งกัรบาลาไม่ใช่แค่บาดแผลทางร่างกาย แต่เป็นรอยแผลลึกทางจิตใจที่ฝังแน่นในประวัติศาสตร์อิสลาม เหล่าเชลย—โดยเฉพาะท่านหญิงซัยนับ (อ.)—กลายเป็นสัญลักษณ์ของความอดทนและศักดิ์ศรีท่ามกลางความอธรรมอันโหดร้าย
การรำลึกถึงเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เพียงเพื่อไว้อาลัย หากแต่เพื่อเตือนใจให้เรายืนหยัดเพื่อความยุติธรรม ไม่ว่าจะอยู่ในยุคใดหรือสถานการณ์ใด
4. เผากระโจม: ไฟที่เผาร่างกายและศักดิ์ศรี หลังจากสังหารท่านอิมามฮุเซน (อ.) เหล่าทหารของอิบนุซะอฺดไม่เพียงปล้นทรัพย์สินในกระโจมของครอบครัวอิมามเท่านั้น แต่ยังได้จุดไฟเผากระโจมทั้งหมด จนสตรีและเด็กๆ ต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอดด้วยเท้าเปล่า ท่ามกลางเสียงกรีดร้องและความตื่นตระหนก ภาพนั้นเป็นฉากสะเทือนใจที่ยากจะลืมเลือน
5. ฆ่าเด็กจากวงศ์วานอิมาม: ความโหดเหี้ยมไร้ขอบเขต
หนึ่งในบันทึกของอัต-ฏอบะรี (นักประวัติศาสตร์อิสลามชื่อดัง) มีคำบอกเล่าจากอาบูฮะซิล ซะกูนี ที่เขาเคยพบชายชราคนหนึ่งชื่อ ฮานี บิน ซะบีต ฮัฎรอมี ผู้เคยอยู่ในเหตุการณ์วันอาชูรออ์ เขาเล่าว่า:
“ฉันอยู่ในหมู่ทหารสิบคนบนหลังม้า จู่ๆ เด็กชายคนหนึ่งจากครอบครัวของอิมามฮุเซน (อ.) วิ่งออกมาจากกระโจม เขาดูตกใจกลัว มือถือไม้เล็กๆ เสื้อผ้าเปื้อนฝุ่น และหันซ้ายหันขวาอย่างหวาดหวั่น
บนหูของเขา ฉันเห็นต่างหูที่เปล่งแสงราวไข่มุก สะท้อนแสงขณะที่เด็กหันหน้า
แล้วชายคนหนึ่งควบม้าเข้าไป ใกล้ตัวเด็กจนกระโดดลงจากม้า ใช้ดาบเฉือนร่างเด็กจนสิ้นใจต่อหน้าต่อตา”
นี่คืออีกหนึ่งภาพที่แสดงให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมไร้ความเป็นมนุษย์ของกองทัพที่อ้างตนว่าปฏิบัติการในนามของศาสนา
บทสรุป: ความป่าเถื่อนที่เกินจะจินตนาการ จากการรวบรวมหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณ พบว่าหลังการสังหารท่านอิมามฮุเซน (อ.) กองทัพของอิบนุซะอฺดได้กระทำการอย่างโหดร้ายต่อครอบครัวของท่าน:
ปล้นทุกสิ่งที่อยู่ในกระโจม รวมถึงทรัพย์สินส่วนตัวของสตรี ฉีกต่างหูจนเลือดออกโดยไม่สนใจความเจ็บปวด
จุดไฟเผากระโจม จนหญิงและเด็กต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอด และแม้แต่เด็กเล็กก็ยังไม่รอดจากคมดาบของพวกเขา
หากกลุ่มคนเหล่านี้กล้าทำถึงเพียงนี้เพื่อทรัพย์สินและสิ่งของเล็กน้อย ไม่มีเหตุผลใดที่พวกเขาจะลังเลในการเฆี่ยนตี ตบหน้า หรือกระทำการรุนแรงใดๆ เพื่อทำลายศักดิ์ศรีของเชลย
แม้บางเหตุการณ์อาจไม่มีบันทึกตรงจากแหล่งข้อมูลยุคต้น แต่การที่เรื่องราวเหล่านี้ปรากฏในแหล่งข้อมูลภายหลัง อาจเป็นการถ่ายทอด "ภาษาหัวใจ" ที่สะท้อนถึงความโหดร้ายเกินคำบรรยายของเหตุการณ์คารบาลา ความโหดร้ายที่ควรค่าแก่การจดจำและถ่ายทอด เพื่อเตือนใจคนรุ่นหลังว่า ความยุติธรรมและศักดิ์ศรีนั้นไม่อาจถูกลบเลือนได้ด้วยอำนาจหรืออาวุธใดในโลกนี้
บทความโดย เชคยูซุฟ เพชรกาหรีม

