การอ่านซูเราะฮ์อัลฟาติฮะห์และการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ เป็นบิดอะห์ใช่หรือไม่?
การอ่านซูเราะฮ์อัลฟาติฮะห์และการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ เป็นบิดอะห์ใช่หรือไม่?
กลุ่มวะฮาบีย์ มักใช้เป็นข้ออ้างเรื่อง "บิดอะห์" เป็นอาวุธในการโจมตีความเชื่อและการปฏิบัติของชาวมุสลิมที่ขัดกับความเข้าใจของพวกตน พวกเขากล่าวหาว่าการขออภัยโทษให้ผู้ตาย การอ่านฟาติหะห์ในงานรำลึกถึงผู้ล่วงลับ การจัดงานไว้อาลัย การแจกอาหาร การทำบุญ รวมถึงการว่าจ้างผู้อ่านอัลกุรอานเพื่ออุทิศผลบุญให้กับผู้ตาย ล้วนเป็นบิดอะห์ และไม่มีประโยชน์ต่อผู้เสียชีวิตเลยแม้แต่น้อย
มิหนำซ้ำบางคนยังอ้างอายะฮ์ในอัลกุรอานที่ว่า:
"وَأَنْ لَیْسَ لِلْإِنْسَانِ إِلَّا مَا سَعَى"
“มนุษย์จะได้รับเพียงสิ่งที่เขาได้กระทำไว้เท่านั้น” (ซูเราะฮ์ อัน-นัจญ์ม/39)
หรือแม้กระทั้งการบริจาคทานเพื่อุทิศแทนผู้ตายก็ไม่มีผลต่อเขา
คำตอบของข้อสงสัยของวะฮาบีย์ ควรกล่าวว่า: การขออภัยโทษ การอ่านอัลกุรอาน และการทำบุญให้กับผู้ตาย ไม่ใช่บิดอะห์ เนื่องจากพระองค์อัลลอฮ์นั้นสามารถส่งผลบุญจากการกระทำเหล่านี้ไปยังผู้ล่วงลับได้โดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ
นอกจากนี้ แม้จะพิจารณาในแง่เหตุผลหรือหลักตรรกะกลุ่มอะฮ์ลุซซุนนะฮ์ส่วนใหญ่ก็ไม่ถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นบิดอะห์ พวกเขายอมรับว่าการอ่านฟาติฮะห์ การทำบุญ การบริจาคทาน หรือแม้แต่การถือศีลอดแทน การละหมาดแทนผู้ตาย ล้วนเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ และหวังผลบุญไปถึงผู้ตายได้ตามเจตนา
จะมีก็เพียงบางกลุ่มเล็กๆ ในหมู่อะฮ์ลุซซุนนะฮ์ที่แสดงข้อกังขาเฉพาะเรื่องการละหมาดและการอ่านอัลกุรอานโดยการว่าจ้าง โดยพวกเขาเห็นว่าผลบุญอาจไม่ถึงผู้ตาย แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นบิดอะห์
วะฮาบีย์และกลุ่มที่มีแนวคิดตักฟีรี (การตัดสินว่าผู้อื่นเป็นกาฟิร) พยายามหาเหตุผลเพื่อตัดสินให้มุสลิมกลุ่มอื่นเป็นกาฟิร และถือว่าสิ่งใดก็ตามที่ไม่สอดคล้องกับแนวคิดของผู้นำของพวกเขา เช่น อิบนุตัยมียะฮ์ในศตวรรษที่ 7 ฮิจเราะฮ์ และมุฮัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ ในศตวรรษที่ 12 ฮิจเราะฮ์ ว่าเป็นบิดอะห์
ในความเป็นจริง พวกเขาต่อต้านคำสอนที่ชัดเจนของศาสนาอิสลาม และฮะดิษเศาะเฮียะฮ์ต่างๆ ที่บันทึกไว้ในตำราของอะฮ์ลุซซุนนะฮ์ พวกเขาส่งเสริมแนวคิดที่ลดความศักดิ์สิทธิ์และจิตวิญญาณในศาสนา เช่น การขอความช่วยเหลือผ่านวะซีละฮ์ การเยี่ยมกุบูร การทำบุญ และการจัดงานฟาติฮะห์ ล้วนถูกพวกเขาเรียกว่า "บิดอะห์" และถึงขั้นเทียบเท่ากับการตั้งภาคีและการปฏิเสธอัลลอฮ์เลยทีเดียว
หนึ่งในเรื่องที่กลุ่มวะฮาบีย์และพวกที่มีแนวคิดตักฟีรี (ผู้ที่กล่าวหาผู้อื่นว่าเป็นกุฟรฺหรือไม่ใช่มุสลิม) มักจะกล่าวหาว่าเป็น บิดอะฮ์ (สิ่งใหม่ในศาสนา) อย่างมาก ก็คือการจัดพิธีฟาติฮะฮ์ (การรำลึกและขอดุอาอ์ให้แก่ผู้ล่วงลับ), การอ่านอัลกุรอาน, การบริจาคทาน, และการทำความดีอุทิศผลบุญให้แก่ผู้ตาย
พวกเขาโฆษณาชวนเชื่อว่าการกระทำเช่นนี้ ขัดกับหลักการของศาสนาอิสลาม
แต่ในความเป็นจริง การกล่าวโทษว่าการกระทำเหล่านี้เป็นบิดอะฮ์นั้น ขัดกับฮะดีษหลายบท ที่มีรายงานอยู่ในตำราที่น่าเชื่อถือของอะฮฺลุซซุนนะฮ์ (ซุนนี) และยัง ขัดกับความเชื่อของทั้งซุนนีและชีอะฮ์ ซึ่งได้อธิบายไว้ในตำราอะกีดะฮ์ (หลักความเชื่อ) อย่างชัดเจน
มีฮะดีษบทหนึ่งซึ่งรายงานไว้ในตำราต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสืออรรถาธิบายอัลกุรอาน (ตัฟซีร), หนังสือฟิกฮ์ (กฎหมายอิสลาม), และหนังสือฮะดีษของซุนนี ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าคำกล่าวหาของกลุ่มตักฟีรีนั้นไม่มีมูลความจริง และขัดต่อคำสอนของท่านรอซูล (ซ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะอาลิฮิ วะซัลลัม)
ในที่นี้จะยกตัวอย่างเพียงบางส่วนจากสามประเภทของตำราซุนนีดังกล่าวมาเพื่อแสดงหลักฐานให้ได้เข้าใจกันเท่านั้น
การปฏิเสธว่าไม่ใช่บิดอะฮ์ ในเรื่องเหล่านี้จากหลักฐานฮะดีษ
หนึ่งในหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่า การทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ตาย เช่น การบริจาค, การเผยแพร่วิชาความรู้ และการขอดุอาอ์ให้นั้น มิใช่บิดอะฮ์แต่เป็นสิ่งที่ศาสนาอิสลามยอมรับ คือฮะดีษที่รายงานจากท่านรอซูล (ซ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ซึ่งมีอยู่ในตำราฮะดีษสำคัญหลายเล่มของอะฮฺลุซซุนนะฮ์
قال رسول الله صلى الله علیه و سلم:
"إذا مات الإنسان انقطع عمله إلا فی ثلاث: صدقة جارية، أو علم ينتفع به، أو ولد صالح يدعو له"
ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) กล่าวว่า "เมื่อมนุษย์เสียชีวิต การงานของเขาก็จะสิ้นสุดลง ยกเว้นสามประการ ได้แก่
(1) ทานที่ยังคงให้ผลอยู่ (صدقة جارية),
(2) ความรู้ที่ผู้อื่นยังได้รับประโยชน์จากมัน (علم ينتفع به),
(3) ลูกหลานที่ดีซึ่งขอดุอาอ์ให้เขา (ولد صالح يدعو له)"
ฮะดีษนี้มีรายงานใน ซอเฮียะฮ์ อิบนิ ฮิบบาน โดยท่านอบูฮุร็อยเราะฮ์รายงานว่า:
"عَنْ أَبِی هُرَیْرَهَ أَنّ النَّبِیَّ (ص) قَالَ: إِذَا مَاتَ الإِنْسَانُ انْقَطَعَ عَمَلُهُ إِلا مِنْ ثَلاثٍ: صَدَقَةٍ جَارِیَةٍ، أَوْ عِلْمٍ یُنْتَفَعُ بِهِ، أَوْ وَلَدٍ صَالِحٍ یَدْعُو لَهُ"
และใน ซอเฮียะฮ์ อิบนิ คุซัยมะฮ์ รายงานว่า:
"...عن عبد الله بن أبی قتاده عن أبیه قال سمعت رسول الله (ص) یقول: خیر ما یخلف المرء بعده ثلاثا: ولدا صالحا یدعو له فیبلغه دعاؤه، أو صدقة تجری فیبلغه أجرها، أو علم یعمل به بعده"
ท่านอับดุลลอฮ์ บิน อบีเกาะตาดะฮ์ รายงานจากพ่อของเขาว่า เขาได้ยินท่านรอซูล (ซ.ล.) กล่าวว่า: "สิ่งที่ดีที่สุดที่คนๆ หนึ่งจะทิ้งไว้เบื้องหลังหลังจากเสียชีวิต คือสามประการ: ลูกหลานที่ดีซึ่งขอดุอาอ์ให้ และดุอาอ์นั้นไปถึงเขา, ทานที่ยังดำเนินต่อ และผลบุญนั้นไปถึงเขา, หรือความรู้ที่ผู้อื่นยังนำไปใช้หลังจากเขาเสียชีวิต" (ฮะดีษเหล่านี้ได้ถูกอธิบายไว้ในหนังสือชะเราะฮ์ (คำอธิบายฮะดีษ) อย่างละเอียด เช่น: "Mirqāt al-Mafātīḥ" (مرقاة المفاتيح), เล่ม 7, หน้า 355
"Nihāyat al-Muḥtāj ilā Sharḥ al-Minhāj" (نهاية المحتاج إلى شرح المنهاج), เล่ม 1, หน้า 38)
และในตำราอื่น ๆ อีกมากที่แสดงถึงความเข้าใจของนักวิชาการซุนนีที่รับรองความถูกต้องของฮะดีษนี้
สรุป: ฮะดีษเหล่านี้แสดงอย่างชัดเจนว่า การขอดุอาอ์ การบริจาค และการเผยแพร่ความรู้โดยหวังผลบุญแก่ผู้ล่วงลับนั้น ไม่ใช่สิ่งใหม่ (บิดอะฮ์) แต่เป็นแนวปฏิบัติที่มีรากฐานอยู่ในคำสอนของท่านนบีเอง และได้รับการสนับสนุนจากนักวิชาการในแนวทางอะฮฺลุซซุนนะฮ์
การปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่อง "บิดอะฮ์" จากหลักฐานทางฟิกฮ์และหลักความเชื่อ (อะกีดะฮ์)
ในบรรดาหนังสือฟิกฮ์ (กฎหมายอิสลาม) มีการรายงานฮะดีษบทหนึ่งในหนังสือ อัล-มุฆนี (Al-Mughni) ว่า:
قال رسول الله صلى الله علیه وسلم:
"إذا مات ابن آدم انقطع عمله إلا من ثلاث: صدقة جارية، أو علم يُنتَفَع به، أو ولد صالح يدعو له."
และมีรายงานต่อเนื่องว่า:
"وخبر سعد بن عبادة قال: يا رسول الله، إن أمي ماتت، أفأتصدق عنها؟ قال: نعم. قال: أي الصدقة أفضل؟ قال: سقي الماء."
รายงานโดย อิมามมุสลิม และนักฮะดีษท่านอื่น ๆ
ความหมายคือท่านศาสดา (ซ.ล.) กล่าวว่า: "เมื่อมนุษย์เสียชีวิต การงานของเขาสิ้นสุดลง ยกเว้นสามประการ: ทานที่ยังคงดำเนินอยู่, ความรู้ที่ผู้อื่นยังใช้ประโยชน์ได้, และลูกหลานที่ดีซึ่งขอดุอาอ์ให้เขา"
และในเหตุการณ์ของท่าน สะอฺด บิน อุบาดะฮ์ เขาถามท่านรอซูลว่า: "มารดาของข้าพเจ้าได้เสียชีวิตลง ข้าพเจ้าสามารถบริจาคทานแทนท่านได้หรือไม่?"
ท่านนบีตอบว่า: "ได้"
เขาจึงถามอีกว่า: "แล้วการบริจาคใดดีที่สุด?"
ท่านตอบว่า: "การให้น้ำดื่ม"
อิบนุ อบี อัล-อิซ อัล-ฮะนะฟี นักวิชาการซุนนีผู้มีแนวคิดค้านกับวิธีคิดแบบปรัชญาและวิชากาลาม ได้อธิบายไว้ใน "ชัรห์ อะกีดะฮ์ อัต-ตะฮาวียะฮ์" ซึ่งเป็นตำราอากีดะฮ์ที่ได้รับการยอมรับและถูกสอนในสถาบันต่าง ๆ ของอะฮฺลุซซุนนะฮ์ว่า:
"وفی دعاء الأحياء و صدقاتهم منفعة للأموات"
ความหมาย: "การขอดุอาอ์และการบริจาคของคนเป็น มีประโยชน์แก่คนตาย"
เขาอธิบายว่า นักวิชาการอะฮฺลุซซุนนะฮ์มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ ว่า ผู้ตายสามารถได้รับประโยชน์จากการกระทำของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท:
1. สิ่งที่ผู้ตายได้จัดเตรียมหรือเป็นต้นเหตุไว้ขณะยังมีชีวิต เช่น การบริจาคเวาะกัฟ, การทิ้งไว้ซึ่งความรู้ ฯลฯ
2. การกระทำของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่น การขอดุอาอ์, การขออภัยโทษ, การบริจาค, หรือแม้แต่การประกอบฮัจญ์แทนผู้ตาย
รายงานจาก อิหม่ามมุฮัมมัด บิน อัล-หะซัน (สำนักคิดหะนะฟี) ว่าผู้ตายได้รับผลบุญจากการใช้จ่าย (นาฟะเกาะฮ์) และการทำฮัจญ์แทนและบรรดานักวิชาการส่วนใหญ่ก็เห็นพ้องด้วย
ความเห็นของมัซฮับต่าง ๆ
อบูหะนีฟะฮ์, อะหฺมัด บิน หัมบัล และซะลัฟจำนวนมากเห็นว่า ผลบุญของการละหมาด, ถือศีลอด, การอ่านอัลกุรอาน และการซิกรุลลอฮ์ที่กระทำแทนผู้ตาย สามารถส่งถึงผู้ตายได้
มัซฮับชาฟิอีและมาลิก (โดยส่วนใหญ่)
มีความเห็นว่าผลบุญของอิบาดะฮ์เหล่านี้ไม่ถึงแก่ผู้ตายยกเว้นบางกรณี
ผู้ที่ปฏิเสธว่า ดุอาอ์, ซอดะเกาะฮ์ และการอิบาดะฮ์ต่าง ๆ ไม่มีประโยชน์ใด ๆ แก่ผู้ตายเลยนั้น ถือว่าเป็น "ผู้ริเริ่มบิดอะฮ์" และความเห็นของพวกเขาขัดกับทั้งอัลกุรอานและสุนนะฮ์
#ตอบโต้คำอ้างผิดจากอายะฮ์ในอัลกุรอาน
บางกลุ่มนำอายะฮ์จากอัลกุรอานมาใช้ผิดบริบทโดยอ้าง เช่น:
"وَ أَنْ لَيْسَ لِلْإِنْسانِ إِلاَّ ما سَعى"
“มนุษย์จะไม่ได้รับอะไร นอกจากสิ่งที่เขาแสวงหา”
"وَ لا تُجْزَوْنَ إِلاَّ ما كُنْتُمْ تَعْمَلُونَ"
“เจ้าจะไม่ได้รับสิ่งใด นอกจากสิ่งที่เจ้ากระทำ”
"لَها ما كَسَبَتْ وَ عَلَيْها مَا اكْتَسَبَتْ"
“บุคคลหนึ่งจะได้รับสิ่งที่เขาหาไว้ และรับผิดในสิ่งที่เขาทำ”
แต่อายะฮ์เหล่านี้ ไม่ได้ขัดแย้ง กับการได้รับผลบุญจากการกระทำของผู้อื่นที่ทำให้ด้วยเจตนาอุทิศ
หลักฐานจากอัลกุรอานยืนยันว่าดุอาอ์ของคนเป็นมีผลต่อคนตาย
อัลกุรอานกล่าวว่า:
"وَ الَّذینَ جاؤُوا مِنْ بَعْدِهِمْ یَقُولُونَ رَبَّنَا اغْفِرْ لَنا وَ لِإِخْوانِنَا الَّذینَ سَبَقُونا بِالْإیمانِ" (ซูเราะฮ์ อัล-ฮัชร: 10)
"และบรรดาผู้ที่มาภายหลังพวกเขา กล่าวว่า: โอ้พระเจ้าของเรา โปรดอภัยโทษแก่เรา และพี่น้องของเราที่มาก่อนเราด้วยศรัทธา"
แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การขอดุอาอ์ให้แก่ผู้ล่วงลับเป็นสิ่งที่ได้รับการอนุมัติจากพระองค์อัลลอฮ์ และเป็นแบบอย่างของผู้มีศรัทธา
สรุป: การบริจาค, การอ่านอัลกุรอาน, การทำฮัจญ์แทน และการขอดุอาอ์เพื่อผู้ล่วงลับ ไม่ใช่บิดอะฮ์
เป็นการกระทำที่มีรากฐานจาก ฮะดีษ, อัลกุรอาน, ความเห็นของอุลามาอ์ และมติเอกฉันท์ของอะฮฺลุซซุนนะฮ์
ผู้ที่ปฏิเสธประโยชน์ของสิ่งเหล่านี้คือผู้ที่หลงผิดจากแนวทางอิสลามดั้งเดิม
มติเอกฉันท์ (อิจญ์มาอ์) และซุนนะฮ์ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าเป็น "บิดอะฮ์"
นอกจากฮะดีษและคำอธิบายทางฟิกฮ์แล้ว ยังมี มติเอกฉันท์ของบรรดานักวิชาการอิสลาม (อิจญ์มาอ์) ที่ยืนยันว่า ผู้ตายได้รับประโยชน์จากการขอดุอาอ์และการขออภัยโทษจากผู้ที่ยังมีชีวิต ซึ่งมีรากฐานมาจาก ซุนนะฮ์ของท่านศาสดา (ซ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)
1. ฮะดีษหลังการฝังศพ คำสั่งให้ขอดุอาอ์และอิสติฆฟารฺ:
จากท่านอุษมาน (อบูอัมรฺ บิน อัฟฟาน) รายงานว่า: เมื่อท่านศาสดา (ซ็อล.) เสร็จสิ้นจากการฝังศพแล้ว
"استغفروا لأخیکم، واسألوا له التثبیت، فإنه الآن يُسأل"
"พวกท่านจงขออภัยโทษให้แก่พี่น้องของพวกท่าน และขอให้เขามีความมั่นคงเถิด เพราะขณะนี้เขากำลังถูกสอบถาม"
แสดงให้เห็นว่า ดุอาอ์ของผู้เป็นหลังการฝังศพมีประโยชน์โดยตรงต่อผู้ตาย
2. ดุอาอ์ระหว่างการเยี่ยมสุสาน:
ใน ซอเฮียะฮ์ มุสลิม รายงานว่า ท่านศาสดา (ซ.ล.) สอนเศาะฮาบะฮ์ให้กล่าวดุอาอ์เมื่อเยี่ยมสุสาน:
"السلام عليكم أهل الديار من المؤمنين والمسلمين، وإنا إن شاء الله بكم لاحقون، نسأل الله لنا ولكم العافية"
และในอีกฮะดีษหนึ่ง ท่านหญิงอาอิชะฮ์ถามท่านศาสดาว่า: "ควรกล่าวอย่างไรเมื่อขออภัยโทษให้แก่ผู้ที่อยู่ในสุสาน?"
ท่านตอบว่า:
"السلام على أهل الديار من المؤمنين والمسلمين، يرحم الله المستقدمين منا ومنكم والمستأخرين، وإنا إن شاء الله بكم لاحقون"
แสดงให้เห็นว่า การขอดุอาอ์ ณ สุสานเป็นสิ่งที่ท่านนบีกระทำ และสอนให้กระทำ ซึ่งย่อมแสดงถึงความมีประโยชน์ต่อผู้ตาย
3. ฮะดีษเกี่ยวกับการบริจาคแทนผู้ตาย:
จากซอเฮียะฮ์ อัล-บุคอรี:
เมื่อแม่ของท่าน สะอฺด บิน อุบาดะฮ์ เสียชีวิตในขณะที่เขาไม่อยู่ เขามาหาท่านรอซูลและถามว่า: "มารดาของข้าพเจ้าจากไป ขณะที่ข้าพเจ้าไม่อยู่ หากข้าพเจ้าบริจาคทานแทนท่าน จะเป็นประโยชน์แก่เธอหรือไม่?"
ท่านนบีตอบว่า: "ใช่"
อิบนุ อบี อัล-อิซ อัล-ฮะนะฟี กล่าวถึงฮะดีษนี้ว่า: "ฮะดีษในลักษณะนี้มีจำนวนมากในซุนนะฮ์"
4. ฮะดีษเรื่องการถือศีลแทนผู้ตาย:
ใน ซอเฮียะฮ์ อัล-บุคอรี และ มุสลิม
ท่านหญิงอาอิชะฮ์ (ร.ฎ.) รายงานว่า ท่านศาสดา (ซ.ล.) กล่าวว่า:
"من مات وعليه صيام، صام عنه وليه"
"ผู้ใดเสียชีวิตในขณะที่มีการถือศีลอดค้างอยู่ ญาติของเขาควรถือศีลอดแทนเขา"
อบูหะนีฟะฮ์ (ร.ฮ.) กล่าวว่า: "สามารถชดเชยโดยการให้อาหารแทนการถือศีลอด
บทสรุป: จากหลักฐานและคำอธิบายทั้งหมดที่ได้กล่าวมา ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า:
- การอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญ แจกทาน (ซอดะเกาะฮ์) การขอดุอาอ์ การอ่านอัลกุรอาน การถือศีลอดแทน การประกอบฮัจญ์ หรือการทำอิบาดะฮ์อื่น ๆ
ไม่ใช่ "บิดอะฮ์" ตามที่พวกวะฮาบีย์หรือกลุ่มตักฟีรีบางกลุ่มกล่าวอ้าง
-ตามหลักของอะฮ์ลุซสุนนะฮ์ วัลญะมาอะฮ์ และมติของนักวิชาการทั้งสี่มัซฮับ (หะนะฟี, มาลิกี, ชาฟิอี, หัมบะลี)
ทุกการงานเหล่านี้ล้วน เป็นสิ่งที่อนุมัติในศาสนา มีหลักฐานรองรับจาก อัลกุรอาน, สุนนะฮ์, และ อิจญ์มาอ์ (มติเอกฉันท์)
-ผลบุญจากการกระทำของผู้เป็นนั้น สามารถส่งถึงผู้ตายได้จริง ทั้งในหมวดของ: การงานทางวัตถุ เช่น การบริจาคทานและการทำความดี
การงานทางจิตวิญญาณ เช่น การถือศีลอด การขอดุอาอ์ การอ่านอัลกุรอาน และการประกอบฮัจญ์แทน
ใครปฏิเสธถือว่าขัดกับหลักศาสนา
และผู้ใดที่กล่าวหาว่าสิ่งเหล่านี้เป็น “บิดอะฮ์” หรือ “ไร้ประโยชน์” แท้จริงแล้ว เขาได้ยืนอยู่ตรงข้ามกับ:
- หลักการของศาสนาอิสลาม
- คำสอนของท่านรอซูล (ซ.ล.)
- มติของบรรดานักวิชาการแห่งสุนนะฮ์
- และ การปฏิบัติของเศาะฮาบะฮ์
อิบนุ อบี อัล-อิซ อัล-หะนะฟี กล่าวไว้ว่า:
"ผู้ที่ปฏิเสธผลบุญเหล่านี้ต่างหากคือผู้ที่เป็นบิดอะฮ์ตัวจริง เพราะเขาได้ปฏิเสธสิ่งที่มีหลักฐานชัดเจนในศาสนา"
สรุป: การทำความดีให้ผู้ตาย คือ สิ่งที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม ทั้งในแง่ของ ตัวบท และ การปฏิบัติจริง และ ไม่อาจนับเป็นบิดอะฮ์หรือเรื่องใหม่ที่ไม่มีในอิสลาม ตามที่บางกลุ่มกล่าวอ้างแต่อย่างใด
บทความโดย เชคยูซุฟ เพชรกาหรีม

