เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

อับดุลลอฮ์ อิบนุ ซะบะอ์ กับข้อกล่าวหาเกี่ยวกับต้นกำเนิดชีอะฮ์และฟิตนะฮ์ในประวัติศาสตร์อิสลาม

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

อับดุลลอฮ์ อิบนุ ซะบะอ์ กับข้อกล่าวหาเกี่ยวกับต้นกำเนิดชีอะฮ์และฟิตนะฮ์ในประวัติศาสตร์อิสลาม


บทนำ
ประวัติศาสตร์อิสลามในยุคบุกเบิกนั้นมิใช่เพียงบันทึกเรื่องราวธรรมดา หากแต่เป็นสนามรบแห่งความคิดและจิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยการต่อสู้ทางการเมือง ศาสนา และอุดมการณ์ หลายเหตุการณ์ถูกบันทึกและเล่าขานในสีสันต่างๆ บางครั้งสะท้อนความจริง บางครั้งกลับถูกเคลือบด้วยม่านหมอกแห่งความขัดแย้งและความเข้าใจผิด หนึ่งในบุคคลที่ชื่อของเขากลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความวุ่นวายและการแตกแยกในประวัติศาสตร์ คือ “อับดุลลอฮ์ อิบนุ ซะบะอ์” ชายผู้ถูกประณามจากหลายฝ่าย และถูกแต่งแต้มเรื่องเล่าว่าเป็นผู้จุดชนวนไฟแห่งฟิตนะฮ์อันลุกโชน จนถึงขั้นโยงว่าเป็นผู้ก่อตั้งมัซฮับชีอะฮ์
บทความนี้จึงมิใช่แค่การย้อนรอยในหน้ากระดาษประวัติศาสตร์ หากเป็นการเปิดประตูสู่การไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งเพื่อแยกแยะความจริงจากนิยาย บทบาทที่แท้จริงของอับดุลลอฮ์ อิบนุ ซะบะอ์ ที่ถูกมองผ่านเลนส์แห่งความไม่ยุติธรรม และการตอบคำถามว่าชีอะฮ์คือเพียงผลผลิตของเขาหรือไม่ ด้วยการตรวจสอบหลักฐานจากนักประวัติศาสตร์ทั้งฝั่งซุนนะห์และชีอะฮ์ เพื่อให้ภาพที่แท้จริงปรากฏอย่างชัดเจน และเพื่อเป็นพลังใจแก่ผู้แสวงหาความจริง
 บทสรุปเรื่องเล่าที่เป็นตำนานเกี่ยวกับอับดุลลอฮ์ อิบนุ ซะบะอ์
ในบันทึกของอัล-ฏอบะรีและนักประวัติศาสตร์รายอื่น ๆ มีเรื่องเล่าขานถึงชายคนหนึ่งจากเมืองศ็อนอาอ์ในเยเมน ชื่อ “อับดุลลอฮ์ อิบนุ ซะบะอ์” ผู้เปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตเข้าสู่อิสลามและกลายเป็นนักปลุกปั่นในหลายพื้นที่ของอาณาจักรอิสลาม เขาเผยแพร่ความเชื่อสุดโต่งว่า อิมามอะลี อ. คือผู้สืบทอดและผู้นำที่แท้จริงซึ่งถูกคอลีฟะฮ์อุษมานขโมยสิทธิอำนาจไปจากเขา และด้วยเหตุนี้ชุมชนมุสลิมจึงควรลุกขึ้นต่อต้านและคืนอำนาจให้แก่เขา
กลุ่มผู้ติดตามที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น อบูซัร, อัมมาร บิน ยาซิร และมาลิก อัชตัร ก็ถูกกล่าวว่าหลงเชื่อและร่วมมือกับเขาในการลุกฮือ ส่งผลให้เกิดความปั่นป่วนและท้ายที่สุดนำไปสู่การลอบสังหารอุษมานและสงครามกลางเมืองครั้งสำคัญ
ข้อกล่าวหาเรื่องการโยงมัซฮับชีอะฮ์กับอับดุลลอฮ์ อิบนุ ซะบะอ์
เรื่องเล่านี้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อบ่อนทำลายความชอบธรรมของชีอะฮ์ โดยการชี้ให้เห็นว่ามัซฮับชีอะฮ์นั้นเริ่มต้นจากการแทรกซึมของชาวยิว และความคิดของอับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์ เป็นบ่อเกิดของความแตกแยกในสังคมมุสลิม
คำกล่าวหาเหล่านี้ถูกย้ำโดยนักประวัติศาสตร์บางท่านเช่น อะบู อัล-ฮุซัยน มุลตีย์ ที่ระบุว่า ผู้นำของชีอะฮ์คืออับดุลลอฮ์ อิบนุ ซะบะอ์ และมุ่งหวังทำลายสังคมมุสลิมผ่านแนวคิดนี้
 บทวิเคราะห์คำกล่าวของนักประวัติศาสตร์ต่ออับดุลลอฮ์ อิบนุ ซะบะอ์
ดร. ฮุวัยมิล นักประวัติศาสตร์ผู้ทรงเกียรติ ได้วิเคราะห์แนวคิดเกี่ยวกับบุคคลนี้ไว้ว่า
 1. ทฤษฎีหนึ่งยืนยันการมีตัวตนของเขาและบทบาทสำคัญในฟิตนะฮ์
 2. ทฤษฎีปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงว่าบุคคลนี้มีตัวตนจริงและบทบาททางประวัติศาสตร์
 3. ทฤษฎีสายกลางยอมรับว่ามีตัวตนแต่ปฏิเสธบทบาทเกินจริง
นอกจากนี้ ยังแบ่งนักประวัติศาสตร์ออกเป็นกลุ่มที่เชื่อ ยอมรับ และปฏิเสธการมีอยู่ของเขาอย่างชัดเจน
ภาพรวมชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์ความวุ่นวายหลังยุคอุษมานซับซ้อนและหลากหลายปัจจัย ไม่อาจลดทอนเป็นความผิดของคนเพียงคนเดียว
 ผู้ตั้งคำถามถึงเรื่องอับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์
ดร. ฏอฮา ฮุเซน ปราชญ์ชาวอียิปต์ ได้ตั้งคำถามอย่างหนักแน่นต่อการยอมรับเรื่องราวนี้ โดยชี้ให้เห็นว่าในตำราหลักหลายเล่มที่ได้รับการยอมรับไม่มีการกล่าวถึงเขาเลย มีเพียงรายงานจากซัยฟ์ บิน อุมาร์ ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำมากในวิชาสายรายงาน
และชี้ว่าเรื่องนี้ถูกบิดเบือนเพื่อโจมตีชีอะฮ์และท่านอิมามะห์อย่างเป็นระบบ
ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว วัตถุประสงค์ของการสร้างเรื่องนี้ขึ้นคือเพื่อใส่ร้ายมัซฮับชีอะฮ์ ว่าผู้ก่อตั้งของมัซฮับนี้เป็นบุคคลที่มีเชื้อสายยิว และด้วยการเผยแพร่แนวคิดของเขาไม่เพียงแต่ได้ก่อให้เกิดนิกายในสังคมอิสลามเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้แนวคิดของยิวแพร่หลายและก่อให้เกิดความแตกแยกและความวุ่นวายในหมู่สังคมมุสลิมอีกด้วย
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงบุคคลบางรายที่ได้กล่าวหาและตีตรามาซฮับชีอะฮ์อิมามียะฮ์ด้วยคำกล่าวหาอันน่ารังเกียจนี้ เช่น อะบู อัล-ฮุซัยน มุลตีย์ กล่าวไว้ว่า : 
ผู้นำของนิกายนี้—ชีอะฮ์—คืออับดุลลอฮ์ อิบนุ ซะบะอ์ เขาคือบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับชาวยิว และด้วยวิธีนี้เขาได้หว่านเมล็ดพันธุ์แรกของการเป็นชีอะฮ์ในสังคมอิสลาม เพื่อที่จะทำร้ายสังคมอิสลามผ่านเส้นทางนี้
 บทวิเคราะห์คำกล่าวของนักประวัติศาสตร์ต่อบุคคลอับดุลลอฮ์ อิบนุ ซะบะอ์
ดร. ฮุวัยมิล นักประวัติศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง ได้วิเคราะห์และสรุปแนวคิดเกี่ยวกับอับดุลลอฮ์ อิบนุ ซะบะอ์ไว้ว่า มีทฤษฎีหลักสามแนวทางที่ปรากฏในวงวิชาการเกี่ยวกับบุคคลนี้ ได้แก่
 1. ทฤษฎีที่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งยืนยันถึงการมีตัวตนจริงของอับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์ และบทบาทของเขาอย่างกว้างขวางในเหตุการณ์ความวุ่นวาย (ฟิตนะฮ์) ที่เกิดขึ้นในยุคนั้น โดยเชื่อว่าเขาเป็นผู้นำหรือผู้มีอิทธิพลสำคัญในการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงในสังคมมุสลิม
 2. ทฤษฎีที่มีท่าทีปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงทั้งการมีอยู่ของอับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์ และบทบาทของเขาในประวัติศาสตร์ โดยให้เหตุผลว่าเรื่องราวเกี่ยวกับเขานั้นเป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางการเมืองและศาสนาในช่วงหลัง เพื่อใช้โจมตีชีอะฮ์และทำลายความชอบธรรมของแนวทางอิมามียะฮ์
 3. ทฤษฎีสายกลางที่มีความรอบคอบและมีเหตุผลมากกว่า ซึ่งยอมรับว่าบุคคลนี้มีตัวตนจริง แต่ปฏิเสธบทบาทที่เกินจริงในฐานะผู้นำฟิตนะฮ์หลัก โดยเห็นว่าการโยงเหตุการณ์ความวุ่นวายทั้งหมดไปยังเขาเพียงผู้เดียวเป็นการตีความที่ไม่รอบด้านและขาดความสมเหตุสมผล
ดร. ฮุวัยมิล ยังได้เสนอแนวทางวิเคราะห์อีกมิติหนึ่งที่กล่าวถึงการแบ่งกลุ่มนักประวัติศาสตร์ออกเป็นสามประเภท ได้แก่ : 
• ผู้ที่ยืนยันและสนับสนุนการมีอยู่ของอับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์, 
• ผู้ที่ตั้งคำถามในเรื่องนี้อย่างหนักแน่น 
• และผู้ที่ปฏิเสธการมีอยู่ของเขาโดยสิ้นเชิง
โดยภาพรวมแล้ว นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่มองว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายในยุคฟิตนะฮ์หลังยุคอุษมานมีความซับซ้อนและหลากหลายปัจจัย ไม่สามารถลดทอนหรือสรุปได้เพียงจากตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งเพียงอย่างเดียว การศึกษาประวัติศาสตร์ดังกล่าวจึงควรดำเนินไปด้วยความระมัดระวัง และต้องพิจารณาจากแหล่งข้อมูลหลายมุมมองอย่างครบถ้วน
⏳ ผู้ตั้งคำถามในเรื่องอับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์
ดร. ฏอฮา ฮุเซน (ปราชญ์ชาวอียิปต์)
ในส่วนหนึ่งของถ้อยคำเกี่ยวกับอับดุลลอฮ์ บิน ซะบะฮ์ ดร. ฏอฮา ฮุเซน กล่าวว่า “ตามความเห็นของผม ผู้ที่ทำให้เรื่องราวของอับดุลลอฮ์ บิน ซะบะฮ์เป็นเรื่องใหญ่โตเกินจริงนั้น ได้กระทำการใช้จ่ายเกินพอดีทั้งต่อตัวเองและประวัติศาสตร์ เพราะปัญหาแรกที่เราพบก็คือ ในแหล่งประวัติศาสตร์และหะดีษชั้นสำคัญหลายแห่ง ไม่มีการกล่าวถึงอับดุลลอฮ์ บิน ซะบะฮ์เลย เช่น ในตำราของอิบนุ ซะอฺด (ฎ็อบะกอต), อันซาบ อัลอัชรอฟ ของอัล-บะลาดูรี และแหล่งประวัติศาสตร์อื่น ๆ ไม่มีการอ้างอิงถึงเขาเลย มีเพียงอัล-ฏอบะรีย์ ที่รายงานเรื่องนี้จาก ซัยฟ์ บิน อัมร์ และนักประวัติศาสตร์อื่น ๆ ก็อ้างตามรายงานนี้”
ในตอนท้ายของถ้อยคำ ดร. ฏอฮา ยังกล่าวเสริมว่า “ผมเห็นว่า ศัตรูของชีอะฮ์ในยุคของบะนี อุมัยยะฮ์ และบะนี อับบาซียะฮ์ ได้มีการกล่าวเกินจริงเกี่ยวกับอับดุลลอฮ์ บิน ซะบะฮ์ เพื่อที่จะหาแหล่งที่มานอกศาสนาอิสลามและนอกกลุ่มมุสลิมสำหรับเหตุการณ์ในยุคอุษมาน อีกทั้งยังมีเป้าหมายเพื่อทำลายชื่อเสียงของท่านอะลี อ. และชาวชีอะฮ์ โดยพยายามโยงความเชื่อและแนวคิดบางอย่างของชีอะฮ์ให้เป็นของบุคคลเชื้อสายยิวที่เลือกอิสลามเพียงเพื่อทำลายมุสลิม และมีข้อกล่าวหาเท็จมากมายที่ศัตรูชีอะฮ์ได้กระทำต่อชีอะฮ์”
 ผู้ปฏิเสธการมีอยู่ของอับดุลลอฮ์ อิบนุ ซะบะฮ์
ในขณะที่มีนักประวัติศาสตร์บางท่านปฏิเสธการมีอยู่ของอับดุลลอฮ์ บิน ซะบะฮ์โดยสิ้นเชิง ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาย่อมปฏิเสธบทบาทและสถานะของเขาในประวัติศาสตร์ด้วย รายชื่อบางส่วนได้แก่
 1. มุฮัมหมัด อับดุลฮัย ชะอ์บาน (ในหนังสือ ซัดรุลอิสลาม วัลดะวะตุลอิสลาม)
 2. ฮิชาม ญะอีฏ (ในหนังสือ ญัดลียะตุ้ลดีน วะสียาสะตุฟิ้ลอิสลามัลมุบักการ หน้า 75)
 3. อะห์หมัด ลาวาซานี (ในหนังสือ นัศอราต ฟี ตาริก อัดดึบ หน้า 318)
 4. ไซย์ยิด มุรตฎา อัล-อัสกะรี (บทความ อับดุลลอฮ์ บิน ซะบะฮ์ วะ อัศอฏีรุ ออคห์ร้า)
 5. อิบราฮีม มะฮ์มูด (ในหนังสือ อัยมะตุ วะ ซะห์รอรุ อัน มัซลิมะตุล กัดดาบ วะ อับดุลลอฮ์ บิน ซะบะฮ์ หน้า 192)
 6. ดร. อับดุลอะซีซ ฮะลาบี (บทความ อับดุลลอฮ์ บิน ซะบะฮ์ : ดุรียาติลราวียาติ้ลตารีกียะฮ์ หน้า 71)
 7. อะห์หมัด อับบาส ซาเลาะฮ์ (หนังสือ อัล-ยะมิน วัล-ยาซาร ฟี อิสลาม หน้า 95)
 8. ดร. อาลี ดัรดี (หนังสือ วะอาซุ้ลซุลาตีน หน้า 274)
 9. ดร. ชีบีย์ (หนังสือ อัศซิละตุ เบยน อัตตะสุฟ วะอัตตะชีอะฮ์ เล่ม 1 หน้า 89)
 ความเป็นธรรมเกี่ยวกับอับดุลลอฮ์ อิบนุ ซะบะอ์
สิ่งที่ถูกกล่าวถึงเกี่ยวกับอับดุลลอฮ์ อิบนุ ซะบะอ์ และกลุ่มซะบะอียูน นั้น มีบางส่วนที่ถูกต้อง แต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเท็จโดยสิ้นเชิง
สิ่งที่ถูกต้องคือ มีบุคคลชื่ออับดุลลอฮ์ อิบนุ ซะบะอ์ ผู้ที่เคยล้ำเส้นจนเกินไปและเป็นคนสุดโต่ง(อุลูฮ์)เกี่ยวกับท่านอิมามอะลี อ. โดยกล่าวอ้างว่าเขาเป็นพระเจ้า — نعوذ بالله تعالی — และตัวเขาเองเป็นผู้ส่งสารของพระเจ้า(รอซูล) เรื่องนี้ไม่อาจปฏิเสธได้อย่างสมบูรณ์ และไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะปฏิเสธ เนื่องจากมีรายงานจากแหล่งที่น่าเชื่อถือซึ่งมาจาก อะห์ลุลบัยต์ที่กล่าวถึงการมีอยู่ของเขา เช่น
 • อิมามซัจญาด อ. กล่าวว่า: “ครั้งหนึ่งได้ยินการกล่าวถึงอับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์ จนขนทั่วร่างกายของข้าพเจ้าลุกชัน เขาได้อ้างในเรื่องที่ยิ่งใหญ่ — ขอพระเจ้าให้สาปแช่งเขา — ข้าพเจ้าขอสาบานต่อพระเจ้า! ท่านอะลี อ. เป็นผู้รับใช้ที่ดีของพระเจ้า และเป็นน้องชายของศาสดาแห่งพระเจ้า และท่านได้รับเกียรติยศนั้นจากความเชื่อฟังต่อพระเจ้าและศาสดาของพระองค์เท่านั้น”
 • อิมามบากิร อ. กล่าวว่า: “อับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์ อ้างว่าตนเป็นนบี เขาคิดว่าท่านอิมามอะลี อ. เป็นพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงสูงส่งกว่าคำพูดเช่นนี้มาก”
 • และจากอิมามซอดิก อ. ได้รับการรายงานว่า “ขอพระเจ้าสาปแช่งอับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์ ที่อ้างสิทธิ์ในการเป็นพระเจ้าต่อท่านอิมามอะลี อ. ข้าพเจ้าขอสาบานต่อพระเจ้า! ท่านอิมามอะลี อ. เป็นผู้รับใช้ที่เชื่อฟังพระเจ้าแท้จริง ผู้ใดที่กล่าวเท็จเกี่ยวกับพวกเรา ขอให้ได้รับบทลงโทษ…”
ด้วยเหตุนี้ จากรายงานเหล่านี้ นักวิชาการที่ถือว่าเขามีตัวตนอยู่จริง จึงระบุอย่างชัดเจนว่าเขาเป็นผู้สุดโต่งและเป็นผู้ปฏิเสธ(กุฟร์) ดังนี้
 1. เชคฏูซีย์ กล่าวว่า: “อับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์ คือบุคคลที่กลับไปสู่ความผู้ปฏิเสธ(กุฟร์)และแสดงพฤติกรรมล้ำเส้น สุดโต่ง
 2. อัลลามะฮ์ ฮิลลีย์ กล่าวว่า: “เขาเป็นผู้สุดโต่งและถูกสาปแช่ง… เขาคิดว่าท่านอิมามอะลี คือพระเจ้า และตนเองเป็นนบีของเขา ขอพระเจ้าให้สาปแช่งเขา”
 3. อบูดาวูด กล่าวว่า: “อับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์ กลับไปสู่ความไม่เชื่อและแสดงพฤติกรรมสุดโต่ง
สิ่งที่เป็นเท็จอย่างยิ่ง คือเรื่องราวทั้งหมดนี้ชาวซุนนะห์ทำให้มันมีขนาดใหญ่มากเกินไป และไม่สามารถพิสูจน์ได้แต่อย่างใด ด้วยกำลังและพระกรุณาของพระเจ้า เราจะอธิบายและชี้แจงประเด็นนี้ต่อไป
 คำวิจารณ์ทฤษฎีของผู้สนับสนุนเรื่องเล่าอับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์
และเหตุผลที่ยืนยันได้ว่าเรื่องราวเกี่ยวกับอับดุลลอฮ์ อิบนุ ซะบะฮ์ เป็นเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น
1ความอ่อนแอของสายรายงาน
ผู้สนับสนุนทฤษฎีนี้มักอ้างอิงรายงานที่ปรากฏในตำราของอัล-ฏอบะรีและผู้บันทึกท่านอื่น โดยรายงานดังกล่าวถูกถ่ายทอดผ่านสี่สายทางหลัก ซึ่งทั้งหมดกลับไปยังซัยฟ์ บิน อุมาร หนึ่งในนักเล่าเรื่อง เล่านิทานที่มีความน่าเชื่อถือต่ำอย่างมากในวิชาวิทยาศาสตร์สายรายงาน (อิลมุลริญาล) ดังนี้
 1. สายรายงานของอัล-ฏอบะรี: ในหนังสือที่เขียนถึงอิบนุ อัศรี อ้างอิงจากชุอัยบ จากซัยฟ์ จากอัตติยะห์ จากยูไซดฺ อัล-ฟักอซี
 2. สายรายงานของอิบนุ อัสซากีร ในหนังสือ “ตารีกห์ ดาเมช”
 3. สายรายงานของซุหัยบี ในหนังสือ “ตารีกห์ อัล-อิสลาม”
 4. สายรายงานของอิบนุ อบี บักร์ ในหนังสือ “อัต-ตะห์มีย์ด วัล-เบียน”
การวิเคราะห์สายรายงาน
• ซัยฟ์ บิน อุมาร
ซัยฟ์ บิน อุมาร อัล-ทามิมี อัศซิดี [سیف بن عمر تمیمی اسیّدی]ถึงแก่อนิจกรรมในปีฮ.ศ. 170 เป็นผู้แต่งหนังสือสองเล่มสำคัญ ได้แก่ “อัล-ฟุตูฮ์ อัล-กะบีร” และ “อัล-รุดดะ วัล-ญะมัล วะ มะซีร อาอิชะฮ์ วะ อะลี” โดยรายงานต่าง ๆ ที่ถูกอ้างอิงในตำราของอัล-ฏอบะรีและนักบันทึกอื่น ๆ ส่วนใหญ่ล้วนมาจากสองเล่มนี้ รวมถึงรายงานที่เป็นประเด็นในเรื่องอับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์ด้วย
ซัยฟ์ บิน อุมาร เป็นที่รู้จักในฐานะผู้รายงานที่ถูกประณามและวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากนักวิชาการด้านริญาลของอฮะห์ลุซซุนนะฮ์หลายท่าน เช่น
 • ยะฮฺยา อิบนุ มะอีน ประเมินว่าเขาเป็นผู้รายงานที่อ่อนแอ
 • อัน-นะซาอี ประเมินว่าเขาอ่อนแอ
 • อะบูดาวูด เรียกเขาว่าเป็นผู้โกหก
 • อิบนุ ฮะติม ประเมินว่าเขาไม่น่าเชื่อถือ
 • อิบนุ อัดดี กล่าวว่าเขาอ่อนแอ และรายงานส่วนใหญ่ของเขาถูกปฏิเสธ
 • อิบนุ ฮิบบาน กล่าวหาว่าเขารายงานฮะดีษปลอม และโยนความน่าเชื่อถือให้แก่นักรายงานที่เชื่อถือได้อื่น ๆ รวมถึงกล่าวหาเขาว่าเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา
 • ฮากิม ประเมินว่าเขาไม่น่าเชื่อถือและถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา
 • อิบนุ ฮัจญาร ระบุว่ามีนักรายงานอ่อนแอในสายรายงาน รวมถึงซัยฟ์ด้วย
จึงเป็นเรื่องน่าสังเกตอย่างยิ่งที่อัล-ฏอบะรีได้อ้างรายงานของซัยฟ์ถึง 701 รายการในหนังสือของตน
ลักษณะของหนังสือทั้งสองเล่มของซัยฟ์ บิน อุมาร์
เมื่อศึกษาลึกลงไปในเนื้อหาของหนังสือทั้งสองเล่มนี้ จะพบลักษณะเด่นสำคัญดังนี้
 1. สร้างเรื่องราวเศาะฮาบะฮ์ปลอมสำหรับท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ)
 2. บิดเบือนเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยการเพิ่มหรือลดเนื้อหาเพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์บางประการ
 3. รายงานเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์
 4. แพร่เรื่องเล่าและความเชื่อที่ผิดเพี้ยนซึ่งมีเจตนาทำลายภาพลักษณ์ความเชื่อของชาวมุสลิม
ด้วยเหตุนี้เอง นักวิชาการตะวันตกจำนวนไม่น้อยจึงให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อรายงานของซัยฟ์ บิน อุมาร์ และนำไปเผยแพร่ในงานเขียนของตนเพื่อจุดประสงค์ในการบ่อนทำลายภาพพจน์อันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลามในสังคมมนุษย์อย่างเป็นระบบและบิดเบือน
รายงานเรื่อง อับดุลลอฮ์ อิบนุ อุมัร จึงชี้ให้เห็นว่าการอ้างอิงรายงานจากซัยฟ์ บิน อุมาร เพียงอย่างเดียวเพื่อโจมตีชีอะฮ์และสร้างภาพลักษณ์เชิงลบต่ออับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์นั้น มีพื้นฐานสายรายงานที่อ่อนแอและไม่น่าเชื่อถือ เป็นจุดอ่อนสำคัญที่ควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบในการศึกษาประวัติศาสตร์และวิชาการอิสลามต่อไป
2 เหตุผลที่สอง : ความขัดแย้งของทฤษฎีเรื่องอับดุลลอฮ์ อิบนุ ซะบะฮ์ กับประวัติศาสตร์การเมืองของอุษมาน บิน อัฟฟาน
เมื่อพิจารณาประวัติศาสตร์การเมืองของอุษมาน บิน อัฟฟาน จะเห็นได้ชัดว่าเขามีท่าทีเข้มงวดต่อปัญหาทางการเมืองอย่างยิ่ง และไม่เคยให้สิทธิพิเศษใด ๆ แก่ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์หรือคัดค้านตนเลย เขาจะต่อสู้และป้องกันตำแหน่งของตนอย่างเต็มที่ด้วยวิธีการทุกรูปแบบที่มีอยู่
ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดคำถามตามมาอย่างสำคัญว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่บุคคลชาวยิวจากเมืองศ็อนอาในเยเมน จะสามารถแทรกซึมเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจการปกครองของอิสลาม ณ เมืองมะดีนะฮ์ มุเนาวะเราะห์ และด้วยการยุยงปลุกปั่นของตน จะสามารถโน้มน้าวจิตใจของบรรดศ่อฮาบะฮ์ผู้ทรงเกียรติหลายรายจนกลายเป็นผู้ติดตามตน รวมทั้งส่งลูกน้องไปยังเมืองและดินแดนต่าง ๆ ในอาณาจักรอิสลาม และรวมกลุ่มผู้คนจำนวนมากจนเกิดการลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลในขณะนั้น นำไปสู่การลอบสังหารอุษมาน บิน อัฟฟานได้จริงหรือ?
คำถามเหล่านี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความขัดแย้งกับทฤษฎี “ความยุติธรรมของศ่อฮาบะฮ์” ที่ชาวอฮ์ลุซซุนนะฮ์ยึดถืออยู่หรือไม่?
คำถามนี้ขัดแย้งกับภาพลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของสุหะบะฮ์หรือไม่?
และคำถามนี้ขัดแย้งกับความเข้มงวดและความรุนแรงของอุษมานต่อฝ่ายตรงข้ามและการดำเนินนโยบายที่เข้มงวดของเขาหรือไม่?
หลักฐานสำคัญจากประวัติศาสตร์ชี้ว่า
 • อุษมานเคยเนรเทศอบูซัร กอฟาริ ออกจากมะดีนะฮ์ไปยังรอบฎะฮ์ ด้วยเหตุผลที่อบูซัรได้แสดงความคัดค้านการแบ่งปันทรัพย์สินของรัฐอย่างไม่เป็นธรรม
 • อุษมานเคยโต้เถียงอย่างรุนแรงกับมิกดาด บิน อัมรู อัมมาร บิน ยาซิร ตะลฮะ และซูไบร์ พร้อมกับกลุ่มศ่อฮาบะฮ์ผู้ใกล้ชิดของนบี (ศ็อลฯ) ที่เขียนจดหมายประท้วงการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมทางศาสนาของอุษมาน และในที่สุดได้สั่งให้บ่าวของตนจับมัดมือมัดเท้าของอัมมารและลงโทษอย่างรุนแรง
 • อุษมานเคยลงโทษอับดุลลอฮ์ บิน มัสอูด ด้วยการเฆี่ยน 40 ครั้ง เนื่องจากการเข้าร่วมฝังศพอบูซัร
 • อุษมานเคยเนรเทศมาลิก อัชตัรและกลุ่มศ่อลิฮีนจากกูฟะฮ์ไปยังชามด้วยข้อเสนอของซาอีด บิน อาศ เพื่อเป็นการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงเหล่านี้สอดคล้องกับคำพูดของท่านศาสดามุฮัมมัด ศ็อลฯ ที่ตรัสว่า
“พระเจ้าทรงบัญชาให้เรารักบุคคลสี่คน ได้แก่ อะลี, อบูซัร, มุกดาด และซัลมาน”
และตรัสเกี่ยวกับอัมมารว่า “อัมมารอยู่เคียงข้างความจริง และความจริงอยู่เคียงข้างอัมมาร”
ในมุมมองของอุละมาอ์อย่างอาลามะฮ์ อามีนี (ร.ฮ.) ได้ชี้ให้เห็นว่า
หากอับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์ มีบทบาทในฐานะผู้ยุยงปลุกปั่นจนนำไปสู่การจลาจลและล้มล้างรัฐบาลอย่างรุนแรงได้จริง ทำไมอุษมานผู้เข้มงวดกับผู้ที่เห็นต่างอย่างมากจึงไม่สามารถจับกุมและลงโทษเขาอย่างหนักหน่วงได้เหมือนกับที่เขาทำกับศ่อลิฮีนของชุมชนมุสลิมอื่น ๆ? ทำไมจึงไม่ประหารเขาเพื่อปกป้องสังคมและชุมชนจากความวุ่นวายและความเสื่อมเสีย?
คำถามเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่สมเหตุสมผลของทฤษฎีเรื่องอับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์ในฐานะผู้ก่อการจลาจลใหญ่ในประวัติศาสตร์สมัยอุษมาน และทำให้เห็นชัดเจนว่าทฤษฎีนี้ขัดแย้งอย่างมากกับประวัติศาสตร์การเมืองที่เป็นที่รู้จักในวงกว้างของอิสลามยุคแรก.
 ชีอะฮ์ | จิตวิญญาณแห่งอิสลามที่แท้จริง
แม้ตั้งสมมุติฐาน ในกรณีที่เรื่องเล่าดังกล่าวจะเป็นความจริง สิ่งที่น่าสงสัยคือความเกี่ยวข้องระหว่างเรื่องราวนี้กับการที่อับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์ จะเป็นผู้ก่อตั้งแนวทางชีอะฮ์ เพราะ—ตามที่ได้พิสูจน์ในที่อื่น และเราจะพิสูจน์เพิ่มเติมต่อไป—ผู้ก่อตั้งชีอะฮ์ที่แท้จริงคือพระเจ้าอัลลอฮ์ผู้ทรงฤทธานุภาพ ด้วยการประทานคำสอนผ่านพระคัมภีร์อัลกุรอาน ท่านศาสดามูฮัมมัด ศ็อลฯ ได้รดน้ำต้นไม้ที่มีรากลึกนี้มาตลอด 23 ปี ในสังคมอิสลามไม่ว่าจะในยุคของท่านศาสดาหรือหลังจากการเสียชีวิตของท่านก็ตาม หลายบุคคลและกลุ่มต่าง ๆ ก็ได้เข้าสู่แนวทางนี้และเชื่อมั่นในอิมามะห์และการเป็นผู้รับมรดกทางศาสนาของอะฮ์ลุลบัยต์ อ. โดยการนำของท่านอิมา อะลี อ.
คำกล่าวของอับดุลฮาลิม มะฮฺมูด (ชีคแห่งอัซฮัร) : 
ตามที่เราเห็น สาเหตุการเกิดขึ้นของชีอะฮ์ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากชาวเปอร์เซียเมื่อพวกเขาเข้ารับอิสลาม และก็ไม่ใช่จากศาสนายิวซึ่งตัวแทนคืออับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์ แต่ต้นกำเนิดนั้นมีมาก่อนเหตุการณ์เหล่านี้ มันเกี่ยวข้องโดยตรงกับบุคลิกภาพของท่านอะลี (ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ) และท่านศาสดามูฮัมมัด (ศ็อลฯ)”
ท่านยังกล่าวต่อไปว่า:
ส่วนอับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์ ซึ่งถูกเชื่อมโยงกับชีอะฮ์ หรือถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นกำเนิดของชีอะฮ์นั้น หนังสือของชีอะฮ์ได้ต่อสู้กับเขาอย่างเต็มที่และได้ประณามเขา สาปแช่งเขา และแสดงความบริสุทธิ์จากเขา โดยคำพูดที่น้อยที่สุดที่มีต่อเขาคือเขาเป็นคนที่ถูกสาปแช่งเกินกว่าจะกล่าวถึงชื่อ”
คำกล่าวของอุสตาซ มุกนีย์ ดาวุด
อาจจะเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่นักวิจัยเหล่านี้ไม่ได้สังเกตเห็น นั่นคือการใส่ร้ายต่อบรรดานักวิชาการชีอะฮ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมโยงเรื่องเล่าเกี่ยวกับอับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์เข้ากับพวกเขา”
สรุปได้ว่า เรื่องราวเกี่ยวกับอับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์ นั้นไม่อาจใช้เป็นหลักฐานยืนยันการก่อตั้งชีอะฮ์ได้ และชีอะฮ์ในฐานะ “จิตวิญญาณแห่งอิสลามแท้จริง” มีรากฐานมาจากคำสอนของพระเจ้าผ่านอัลกุรอานและการนำของท่านศาสดามูฮัมมัด พร้อมด้วยความเชื่อมั่นในอิหม่ามะฮ์ของอัลอะฮ์ลุลบัยต์ อ. ที่เป็นหัวใจของแนวทางนี้

บทความโดย เชคอันศอร เหล็มปาน

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม