เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

ตะะบูก สงครามยืนยันสถานะภาพระหว่างนบีกับอลี(อ)

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

ตะะบูก สงครามยืนยันสถานะภาพระหว่างนบีกับอลี(อ)


หนึ่งในเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ของ อมีรุลมุอ์มินีน อะลี (อ.) ที่นักประวัติศาสตร์และนักตัฟซีรทั้งชีอะฮ์และซุนนีจำนวนมากยอมรับ คือ การที่ท่านอะลี (อ.) ได้ร่วมกับท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ในทุกสมรภูมิรบสำคัญของอิสลามยุคแรก และมักได้รับหน้าที่ถือธงนำทัพเสมอ เว้นแต่ในสงครามตะบูก (غزوة تبوك) ที่ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) สั่งให้ท่านอะลี (อ.) พักอยู่ที่เมืองมะดีนะฮ์ เพื่อปกป้องศูนย์กลางของรัฐอิสลามจากแผนร้ายของพวกมุนาฟิกีน (คนหน้าไหว้หลังหลอก) ในช่วงที่ท่านศาสดาไม่อยู่
คำถามที่น่าสนใจก็คือ:  ทำไมท่านศาสดา (ศ็อลฯ) จึงไม่พาท่านอะลี (อ.) ไปในสงครามที่สำคัญและยากลำบากนี้ แต่กลับให้ท่านอยู่เฝ้ามะดีนะฮ์แทน?
คำตอบมีดังต่อไปนี้คือ:
1. เพราะท่านศาสดาได้รับวะฮีย์แล้วว่า สงครามครั้งนี้จะไม่เกิดขึ้นจริง
ท่านศาสดาทราบจากวะฮีย์ตั้งแต่ต้นว่าศัตรู (กองทัพโรมัน) จะล่าถอยก่อนที่ทัพอิสลามจะไปถึงตะบูก และจะไม่เกิดการปะทะ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีแม่ทัพใหญ่ อย่างท่านอะลี (อ.)ไปร่วมรบแต่ท่านถูกมอบหมายภารกิจที่สำคัญกว่า คือการรักษาเมืองมะดีนะฮ์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอิสลาม
2. เพราะมุนาฟิกีนกำลังรอโอกาสปั่นป่วนเมืองในช่วงที่กองทัพหลักไม่อยู่ กลุ่มคนหน้าเนื้อใจเสือ (มุนาฟิก) และคนที่ยังหลงใหลในโลกดุนยา พยายามแสดงตนเป็นมุสลิมเพราะกลัวไม่ใช่เพราะศรัทธาแท้ พวกเขารอโอกาสที่ท่านศาสดาจะไม่อยู่ เพื่อก่อกบฏ ปั่นป่วน และสร้างความไม่มั่นคงในเมืองมะดีนะฮ์ การเดินทางไกลและการที่ทัพส่วนใหญ่ร่วมเดินทางครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสทองของพวกมุนาฟิก
แม้ว่าท่านศาสดา (ศ็อลฯ) จะตั้งมุฮัมมัด บิน มัสละมะฮ์ ไว้เป็นผู้ดูแลเมือง (ตามธรรมเนียม), แต่เพื่อหยุดยั้งแผนร้ายของพวกมุนาฟิกให้เด็ดขาด, ท่านได้แต่งตั้ง อมีรุลมุอ์มินีน อะลี (อ.) ให้ดูแลครอบครัวของศาสดา, หมู่ญาติ และพวกมุฮาญิรในเมืองมะดีนะฮ์
เพราะในหมู่ชาวมุสลิมไม่มีใครเทียบได้กับท่านอะลี (อ.) ทั้งด้านศรัทธาในอิสลาม ความกล้าหาญ และพลังในการต่อสู้ ท่านศาสดาจึงวางใจให้ท่านอะลีเฝ้าเมืองไว้ แล้วจึงออกเดินทางสู่ตะบูก
ความจริงถูกเปิดเผย:
พวกมุนาฟิกพยายามใส่ร้ายและสร้างข่าวลือหวังให้ท่านอะลี (อ.) ออกจากเมือง และตามไปยังตะบูก เพื่อให้พวกเขาได้ปฏิบัติการตามแผน
แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวังเพราะ ท่านศาสดายืนยันอย่างหนักแน่นว่า ท่านอะลีต้องอยู่มะดีนะฮ์เท่านั้น และด้วยคำสั่งนี้ แผนของพวกมุนาฟิกก็ล่มไม่เป็นท่า
การปั่นข่าวของพวกมุนาฟิก และปฏิกิริยาของท่านศาสดา (ศ็อลฯ)
เมื่อท่านศาสดา (ศ็อลฯ) สั่งให้ อมีรุลมุอ์มินีน อะลี (อ.) พักอยู่ที่เมืองมะดีนะฮ์ ไม่ร่วมเดินทางไปสงครามตะบูก พวกมุนาฟิก (คนที่แสร้งเป็นมุสลิมแต่ในใจไม่ศรัทธา) เริ่มรู้สึกว่าหากคิดจะก่อความไม่สงบในเมืองก็จะต้องเจอกับความเด็ดขาดของท่านอะลี (อ.) ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถต้านทานได้
เพื่อกำจัดอุปสรรคนี้พวกมุนาฟิกจึง วางแผนปั่นข่าว ปล่อยข่าวลือ หวังให้ท่านอะลี (อ.) ละทิ้งหน้าที่แล้วเดินทางไปตะบูก หรือหากท่านยังคงอยู่ในเมือง ก็หวังให้ประชาชนมองท่านด้วยสายตาลบ ลดทอนความเกียรติและสถานะของท่าน ในสายตาผู้คน
พวกเขาใส่ร้ายว่า:   “ศาสดาไม่พาอะลีไป เพราะรู้สึกว่าเขาหนักตัว อยากเบาตัว เลยทิ้งไว้ที่มะดีนะฮ์!”
พวกเขากล่าวหาอีกว่า: ความสัมพันธ์ระหว่างท่านศาสดากับอะลีเริ่มเย็นชา
ท่านอะลีไม่อยากออกรบเพราะไกลและอากาศร้อน
ท่านศาสดาก็เลยปล่อยเขาไว้เหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่อยากไป เหล่านี้เป็นต้น...
แผนข่าวลือนี้ เริ่มแพร่กระจายกว้างในมะดีนะฮ์ จนประชาชนบางส่วนเริ่มสั่นคลอน และ เริ่มเปลี่ยนมุมมองต่อท่านอะลี (อ.)
แม้ท่านศาสดาจะยังเดินทางไปไม่ไกลจากเมือง ทว่าท่านอะลี (อ.) ผู้เปี่ยมด้วยความรับผิดชอบเห็นว่าเรื่องนี้อาจส่งผลกระทบต่ออิสลามและต่อศาสดา จึงรีบถืออาวุธออกเดินทาง เพื่อไปพบศาสดาทันที ที่ตำบลญุรฟ์ (جرف) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมะดีนะฮ์
เมื่อได้พบกับท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ท่านอะลี (อ.) ได้เล่ารายละเอียดของข่าวลือทั้งหมดให้ฟัง
คำตอบของท่านศาสดา:
คือค้อนทุบแผนของพวกมุนาฟิกให้พังทลาย
ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวประโยคที่ ประวัติศาสตร์จดจำ เป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญว่า อะลี (อ.) คือผู้สืบทอดตำแหน่งหลังท่าน และยืนยันสถานะที่สูงส่งของเขาในอิสลาม:
"กลับไปเถิด...พี่ชายของฉันเอ๋ย!"
เพราะมะดีนะฮ์จะไม่มีวันเหมาะสมกับใครอื่น นอกจากฉันหรือเธอ(อลี)
เธอคือ ตัวแทนและผู้สืบตำแหน่งของฉัน
ในครอบครัวของฉัน, บ้านของฉัน และประชาชนของฉัน
โอ้อะลี! เธอไม่พอใจหรือ ที่ความสัมพันธ์ของเธอกับฉัน จะเป็นเหมือนฮารูนกับมูซา ต่างกันเพียงว่า หลังจากฉันจะไม่มีศาสดาอีกแล้ว!"
"ارجع یا اخى الى مکانک، فان المدینه لا تصلح الا بى اوبک، فانت خلیفتى فى اهلى و دار هجرتى و قومى. اما ترضى ان تکون منى بمنزله هارون من موسى، الا انه لا نبى بعدى؟"
"พี่ชายของฉัน อะลีเอ๋ย กลับไปยังตำแหน่งของเธอเถิด เพราะเมืองมะดีนะฮ์จะไม่เหมาะสมที่จะบริหารโดยใครอื่น นอกจากฉันหรือเธอเท่านั้น เธอคือผู้สืบตำแหน่งของฉัน ในครอบครัวของฉัน บ้านของฉัน และประชาชนของฉัน โอ้อะลี! เธอไม่ดีใจหรือ ที่สถานะของเธอจะเป็นเช่นเดียวกับฮารูนต่อมูซา เพียงแต่หลังจากฉันจะไม่มีศาสดาคนใดอีก!"
การวิเคราะห์ “ฮะดีษอัล-มันซิละฮ์” กับหลักฐานการเป็นอิมามของท่านอะลี (อ.)
เมื่อท่านศาสดาแห่งอิสลาม (ศ็อลฯ) ใกล้จะจากโลกนี้ ท่านได้ค่อย ๆ เน้นย้ำและเตือนบรรดาสาวกว่า เรื่องการสืบทอดตำแหน่งผู้นำ (คอลีฟะฮ์) หลังจากท่าน เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชาติมุสลิมตกสู่ความขัดแย้งหรือหลงทาง
หนึ่งในโอกาสสำคัญที่ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ประกาศให้โลกรู้ถึงผู้สืบทอดโดยตรง คือ เหตุการณ์สงครามตะบูก ซึ่งในช่วงนั้นท่านได้กล่าว ฮะดีษอัล-มันซิละฮ์ ว่า:
 "أَنتَ مِنِّي بِمَنزِلَةِ هَارُونَ مِنْ مُوسَى إِلَّا أَنَّهُ لَا نَبِيَّ بَعْدِي"
"เจ้ามีสถานะต่อข้าเสมือนฮารูนมีต่อมูซา เพียงแต่ว่า จะไม่มีศาสดาคนใดหลังจากข้าอีกต่อไป"
จุดสำคัญของฮะดีษนี้ คือ:
หยุดข่าวลือของพวกมุนาฟิก ที่พยายามลดค่าท่านอะลี (อ.) ในเหตุการณ์ตะบูก
ประกาศสถานะของท่านอะลี (อ.) ว่าเป็น ผู้แทนโดยตรง และ ผู้สืบทอดตำแหน่ง ของท่านศาสดาหลังจากท่านละโลก
ในหมู่บรรดานักฮะดีษ (ทั้งฝ่ายชีอะฮ์และสุนนี) ฮะดีษนี้เรียกว่า "ฮะดีษอัล-มันซิละฮ์ (حديث المنزلة)"
สถานะของฮะดีษนี้:
จากมุมมองของสายรายงาน (ซะนัด):
ฮะดีษนี้เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางจากนักฮะดีษ, นักประวัติศาสตร์ และนักตัฟซีรทั้งชีอะฮ์และสุนนี โดยเฉพาะในบริบทของสงครามตะบูก
จากมุมมองของเนื้อหา (มัฏนุน):  ฮะดีษนี้บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า ท่านอะลี (อ.) คือผู้สืบตำแหน่งผู้นำของอิสลามโดยตรง
เพราะท่านศาสดาได้เปรียบความสัมพันธ์ระหว่างตนกับอะลี ว่าเหมือน มูซา (อ.) กับฮารูน (อ.) ซึ่งในคัมภีร์อัลกุรอาน ฮารูนคือ ผู้ช่วย, ผู้ร่วมภารกิจ, และตัวแทนในหมู่ชน ของมูซา
ทัศนะของ "ชัยคมุฟีด" นักวิชาการชีอะฮ์ผู้ยิ่งใหญ่:
ท่านชัยคมุฟีด (รฎ) ใช้ฮะดีษอัล-มันซิละฮ์ เป็นหลักฐานสำคัญในการพิสูจน์ว่า ท่านอะลี (อ.) เป็นอิมามและคอลีฟะฮ์โดยตรงหลังจากท่านศาสดา (ศ็อลฯ)
เขากล่าวว่า:   “เมื่อท่านศาสดากล่าวว่า ‘เจ้ามีสถานะเสมือนฮารูนมีต่อมูซา’ แปลว่า ทุกตำแหน่งและคุณสมบัติของฮารูน ยกเว้นความเป็นศาสดาและความเป็นพี่น้องทางสายเลือด จะถูกยกให้กับท่านอะลีเช่นกัน”
หลักฐานจากอัลกุรอาน:
ความสัมพันธ์ของมูซาและฮารูน ที่ท่านศาสดาใช้เปรียบในฮะดีษนั้น ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอานหลายตอน เช่น:
“وَاجْعَلْ لِي وَزِيرًا مِنْ أَهْلِي، هَارُونَ أَخِي، اشْدُدْ بِهِ أَزْرِي، وَأَشْرِكْهُ فِي أَمْرِي...”
"โปรดแต่งตั้งผู้ช่วยจากครอบครัวของข้า (ฮารูน พี่ชายของข้า) ให้เป็นกำลังของข้า และร่วมภารกิจกับข้า..." [ซูเราะฮ์ฏอฮา 20:29-32]
“وَقَالَ مُوسَى لِأَخِيهِ هَارُونَ اخْلُفْنِي فِي قَوْمِي وَأَصْلِحْ وَلَا تَتَّبِعْ سَبِيلَ الْمُفْسِدِينَ”
"และมูซาได้กล่าวกับฮารูนว่า: ขอให้เจ้าสืบตำแหน่งข้าในหมู่ประชาชนของข้า และจงสร้างความดี อย่าตามทางของพวกสร้างความเสียหาย"  [อัลอะอฺรอฟ 7:142)
#สรุปความคือ:  เมื่อท่านศาสดา (ศ็อลฯ) เปรียบท่านอะลี (อ.) กับฮารูน (ก.) ก็เท่ากับยืนยันว่า:
อะลี (อ.) คือ ผู้ช่วย, ผู้ร่วมภารกิจ, และ ตัวแทน ในหมู่ประชาชาติมุสลิม
เป็นตำแหน่งที่ไม่มีใครเทียบได้, ไม่มีใครอยู่ในระดับเดียวกัน
คือผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำของอิสลามโดยตรง (อิมามะฮ์)
และ ไม่มีศาสดาอีกหลังจากท่านมุฮัมมัด (ศ็อลฯ)


บทความโดย เชคยูซุฟ เพชรกาหรีม

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม