เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

อะบูซัร อัลฆิฟารี: ผู้ภักดีแห่งยุคต้นอิสลาม (สาวกนบี ตอนที่ 2)

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

อะบูซัร อัลฆิฟารี: ผู้ภักดีแห่งยุคต้นอิสลาม (สาวกนบี ตอนที่ 2)


อะบูซัร อัลฆิฟารี หรือชื่อเต็มว่า "ญุนดุบ" (جندب) เป็นหนึ่งในบรรดาเศาะหาบะฮ์ผู้ยิ่งใหญ่ของท่านศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) ท่านเป็นแบบอย่างแห่งความสัตย์ซื่อ ความกล้าหาญ และการยืนหยัดในความจริง ทว่าบั้นปลายชีวิตของเขากลับจบลงอย่างน่าเศร้า ถูกเนรเทศออกจากมะดีนะฮ์ในสมัยของอุษมาน บิน อัฟฟาน และเสียชีวิตอย่างเดียวดายในดินแดนร้างชื่อ "ร่อบะซะฮ์"
คำกล่าวของศาสดา (ศ็อลฯ) เกี่ยวกับอะบูซัร
ท่านศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) เคยกล่าวถึงอะบูซัรไว้ด้วยถ้อยคำอันทรงเกียรติว่า:
مَا أَقَلَّتِ الْغَبْرَاءُ وَ لَا أَظَلَّتِ الْخَضْرَاءُ عَلَى ذِی لَهْجَهٍ أَصْدَقَ مِنْ أَبِی ذَرٍّ
"แผ่นดินไม่เคยแบกรับผู้ใด และท้องฟ้าไม่เคยทอดเงาบนผู้ใดที่สัตย์ซื่อยิ่งไปกว่าอะบูซัร" [1]
และในวาระอื่น ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ยังกล่าวว่า:
إِنَّ اللَّهَ تَعَالَى أَوْحَى إِلَيَّ أَنَّهُ يُحِبُّ أَرْبَعَةً مِنْ أَصْحَابِي وَ أَمَرَنِي بِحُبِّهِمْ
"แท้จริงอัลลอฮ์ (ซบ.) ได้วะฮีย์แก่ฉันว่า พระองค์ทรงรักเศาะหาบะฮ์ของฉัน 4 คน และสั่งให้ฉันก็รักพวกเขาด้วยเช่นกัน"
เมื่อเหล่าสาวกถามว่าบุคคลทั้ง 4 นั้นคือใคร? ท่านศาสดาตอบว่า:
عَلِيٌّ سَيِّدُهُمْ وَ سَلْمَانُ وَ الْمِقْدَادُ وَ أَبُو ذَرٍّ
"อาลีเป็นผู้นำของพวกเขา และอีกสามคนคือ ซัลมาน, อัลมิกดาด และอะบูซัร" [2]
#หนังสือของมุอาวิยะถึงอุษมาน: ความขัดแย้งเริ่มปรากฏ
หลังจากที่อุษมาน บิน อัฟฟานได้รับตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ผ่านสภาที่ตั้งขึ้นโดยอุมัร บิน ค็อฏฏอบ เขาได้ทำการบริหารอย่างลำเอียง สนับสนุนตระกูลอุมัยยะฮ์ และแสดงท่าทีต่อต้านเศาะหาบะฮ์ผู้ภักดีต่อท่านศาสดา
หนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบคือ อัมมาร ยาสิร ซึ่งถูกอุษมานทำร้ายร่างกาย เมื่อข่าวนี้ไปถึงอะบูซัรที่พำนักอยู่ในเมืองชาม (ซีเรีย) เขาจึงตำหนิอุษมานอย่างรุนแรง
มุอาวิยะซึ่งเป็นผู้ว่าการเมืองชามในเวลานั้น เขียนจดหมายถึงอุษมานว่า:
 "อะบูซัรกำลังทำให้ประชาชนในชามต่อต้านท่าน เขายกย่องอบูบักรและอุมัรในความดีงาม แต่เมื่อเอ่ยถึงท่าน กลับพูดถึงแต่ความผิดและประณามท่านต่อหน้าสาธารณชน หากเขายังอยู่ในชาม หรืออียิปต์ หรืออิรัก เขาจะปลุกระดมประชาชนให้ลุกขึ้นต่อต้านท่านอย่างแน่นอน"
เขาจึงขอคำสั่งจากอุษมานว่าจะจัดการกับอะบูซัรอย่างไร [4]
คำตอบของอุษมานคือให้ส่งอะบูซัรกลับมะดีนะฮ์ โดยให้ขี่อูฐไร้อาน และส่งชายหยาบคายหนึ่งคนดูแลเขาตลอดทาง ห้ามหยุดพักในเมืองใดๆ
การเผชิญหน้ากันระหว่างอะบูซัรกับอุษมาน:
เมื่ออะบูซัรมาถึงมะดีนะฮ์ เขาได้พบกับอุษมาน อุษมานมองเขาแล้วกล่าวด้วยความดูแคลนว่า:
"ขออย่าให้ตาผู้ใดได้เห็นเจ้าต่อไปเลย โอ้ ญุนดุบ!"
อะบูซัรตอบโต้เขา พร้อมกล่าวยืนยันว่าเขาเคยได้ยินจากท่านศาสดาว่า:
"เมื่อบุตรของอบูอัลอาศมีถึงสามสิบคน พวกเขาจะนำทรัพย์สินของอัลลอฮ์มาเป็นของส่วนตัว ใช้บ่าวของอัลลอฮ์เป็นข้ารับใช้ของตน และทรยศต่อศาสนาแห่งพระเจ้า แล้วอัลลอฮ์จะทรงปลดปล่อยปวงบ่าวของพระองค์จากคนเหล่านี้"
อุษมานกล่าวหาว่าอะบูซัรโกหก จึงหันไปถามอิมามอะลี (อ.) ว่าเคยได้ยินฮะดีษนี้จากท่านศาสดาหรือไม่?
อิมามอะลีตอบว่า:
"ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินฮะดีษนี้จากท่านศาสดา แต่ข้าพเจ้ายืนยันว่า อะบูซัรเป็นคนไม่พูดเท็จ เพราะข้าพเจ้าเคยได้ยินจากท่านศาสดาว่า:
مَا أَقَلَّتِ الْغَبْرَاءُ وَ لَا أَظَلَّتِ الْخَضْرَاءُ عَلَى ذِی لَهْجَهٍ أَصْدَقَ مِنْ أَبِی ذَرٍّ
"ไม่มีใครที่พื้นแผ่นดินเคยแบกรับ และท้องฟ้าเคยทอดเงา ที่สัตย์ซื่อยิ่งกว่าอะบูซัร"
คำพูดนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้คนในที่ประชุม
อุษมานโกรธมากจึงพูดว่า:
"บอกข้ามาเถิดว่าควรทำอย่างไรกับคนแก่ผู้มุสานี้ ซึ่งก่อฟิตนะฮ์และสร้างความแตกแยกในหมู่ชาวมุสลิม!" [5]
การเนรเทศอะบูซัร อัลฆิฟารีไปยังร่อบะซะฮ์
เมื่ออุษมานไม่สามารถโต้แย้งถ้อยคำของอิมามอะลี (อ.) ที่ปกป้องอะบูซัรได้ เขาจึงสั่งให้อะบูซัรออกจากเมืองมะดีนะฮ์ทันที
อะบูซัรตอบกลับอย่างภาคภูมิว่า:
"ฉันจะไป เพราะการอยู่ร่วมกับเจ้า ทำให้ฉันขมขื่นใจยิ่งนัก"
และด้วยเหตุนี้อุษมานได้เนรเทศเขาไปยัง ร่อบะซะฮ์  ดินแดนอันกันดารและว่างเปล่า พร้อมสั่งห้ามไม่ให้ออกจากที่นั่นอีก
อุษมานมอบหมายให้ มะรวาน อิบนุ ฮะกัม นำอะบูซัรออกจากเมือง โดยให้นั่งบนอูฐที่ไม่มีอาน และห้ามไม่ให้ผู้ใดมาส่งเขาแม้แต่คนเดียว
อย่างไรก็ตาม กลุ่มเศาะหาบะฮ์ผู้จงรักภักดีต่อท่านศาสดา (ศ็อลฯ) อาทิ: อิมามอะลี (อ.),อัลหะซัน และ อัลหุเซน (อ.),อับดุลลอฮ์ อิบนุ อับบาส,อัมมาร ยาสิร,อัลมิกดาด อิบนุ อัลอัสวัด  ได้ออกมาส่งอะบูซัรด้วยหัวใจเศร้าหมอง
เมื่อมัรวานเห็น เขากล่าวด้วยความหยิ่งยโสว่า:
"ท่านเคาะลีฟะฮ์สั่งไว้ว่า อย่าให้ผู้ใดมาส่งเขาเลย!"
คำกล่าวนี้สร้างความไม่พอใจแก่อิมามอะลี (อ.) ทันที เขาเงื้อแส้ในมือขึ้นและฟาดไปตรงระหว่างใบหูของอูฐที่มะรวานขี่ พร้อมกล่าวว่า:
"ไสหัวไปเสียเถิด โอ้ลูกของซัรเกาะอ์! เจ้าเป็นใครกัน ถึงจะกล้าตำหนิสิ่งที่พวกเรากำลังกระทำ!" [6]
วาระสุดท้ายของอะบูซัรในร่อบะซะฮ์
อะบูซัรใช้ชีวิตอย่างสมถะในร่อบะซะฮ์ เขาสร้างกระท่อมเล็ก ๆ และอยู่ในความสันโดษเป็นเวลานาน แม้จะมีผู้แวะเวียนมาโดยเสนอต้องการช่วยเหลือ แต่เขาก็ไม่เคยรับอะไรจากใครเลย
เมื่อความตายใกล้เข้ามาภรรยาของเขานั่งร้องไห้อยู่ข้าง ๆ ด้วยความเศร้า อะบูซัรจึงถามว่า:
"เจ้าร้องไห้เพราะเหตุใด?"
นางตอบว่า: "เพราะเรากำลังอยู่ในดินแดนห่างไกล บ่าวของอัลลอฮ์ต้องมาตายอย่างเดียวดาย ไม่มีผู้ใดช่วยฝัง และข้าก็เป็นเพียงหญิงอ่อนแอ ไม่อาจทำสิ่งที่เหมาะสมแก่ศพของท่านได้"
อะบูซัรกล่าวปลอบใจนางว่า:   "โอ้ อุมมุซัร! จงเข้มแข็งไว้ อย่าร้องไห้เพราะท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้บอกฉันแล้วว่าฉันจะเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวแต่ในวาระสุดท้ายนั้นจะมีหมู่ชนดีงามบางคนปรากฏตัวขึ้นเพื่อจัดการฝังศพฉัน"
เขายังสั่งเสียเพิ่มเติมว่า:   "เมื่อฉันสิ้นใจ ขอให้เจ้าขอความช่วยเหลือจากผู้คนที่เดินทางผ่านที่นี่ เชือดแกะหนึ่งตัวจากฝูงสัตว์เลี้ยง จัดหาอาหารและเมื่อมีผู้เดินทางมาถึง ให้เจ้าขอร้องพวกเขาให้ช่วยฝังฉัน หลังจากเสร็จสิ้นพิธีแล้ว จงเลี้ยงอาหารพวกเขา และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เจ้าค่อยกลับไปยังมะดีนะฮ์"
หลังจากอะบูซัร (ร.ฎ.) สิ้นใจ ภรรยาของเขากระทำตามคำสั่งเสีย
ไม่นานก็มีคาราวานของชาวมุสลิมกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งกลับจากการประกอบหัจญ์ผ่านมาพอดี เมื่อพวกเขาได้ยินข่าวว่า บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยเป็นเศาะหาบะฮ์ของท่านศาสดา ได้เสียชีวิตในดินแดนอันห่างไกล พวกเขาต่างพากันร่ำไห้และกล่าว:
"เขาคืออะบูซัร อัลฆิฟารี เพื่อนแท้ของศาสดา!"
แล้วพวกเขาก็ช่วยกันอาบน้ำศพ ชะลอศพ และฝังเขาอย่างเหมาะสม พร้อมกับขอดุอาอ์ให้พระเจ้าประทานอภัยแก่เขา [7]
บทสรุปคือ:  
อะบูซัร อัลฆิฟารี (ร.ฎ.) คือหนึ่งในบุคคลที่ได้รับคำชื่นชมอย่างสูงสุดจากท่านศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) ว่าเป็นผู้พูดความจริงที่สุด:
 مَا أَقَلَّتِ الْغَبْرَاءُ وَ لَا أَظَلَّتِ الْخَضْرَاءُ عَلَى ذِی لَهْجَهٍ أَصْدَقَ مِنْ أَبِی ذَرٍّ
ถึงกระนั้น เขากลับถูกเคาะลีฟะฮ์คนที่สาม (อุษมาน) ปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม เนรเทศออกจากนครมะดีนะฮ์ไปยังดินแดนกันดารทั้งที่เขาเพียงแค่ยืนหยัดในความจริง และวิจารณ์ความไม่ชอบธรรมของอำนาจ
เขาเสียชีวิตในความเดียวดายไม่มีแม้กระทั่งครอบครัวหรือเพื่อนร่วมศาสดาคนใดอยู่เคียงข้างในวาระสุดท้าย แต่ชื่อของเขายังคงจารึกในประวัติศาสตร์อิสลามว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความสัตย์จริงความกล้าหาญ และความซื่อสัตย์ต่อหลักการศรัทธา
เชิงอรรถ
[1]: อัล-อิสติอาบ ฟี มะอ์ริฟะฮ์ อัล-อัศฮาบ, เล่ม 1 หน้า 18;
อัสดุล ฆอบะฮ์ ฟี มะอ์ริฟะฮ์ อัศ-ศอฮาบะฮ์, เล่ม 1 หน้า 357;
อัล-อามาลี (โดยอัต-ตูซี), หน้า 53.
[2]: มินฮาจ อัล-กรามะฮ์ (ในเส้นทางสู่ความรอด), หน้า 224.
[3]: อัล-ฟุตูฮ์, หน้า 319.
[4]:อัล-ฟุตูฮ์, หน้า 320.
[5]:อัล-ฟุตูฮ์, หน้า 321.
[6]:อัล-ฟุตูฮ์, หน้า 322.
[7]: อัล-ฟุตูฮ์, หน้า 324–325.


บทความโดย เชคยูซุฟ เพชรกาหรีม

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม