อัมมาร อิบนุ ยาสิร (สาวกนบี ตอนที่ 3)
อัมมาร อิบนุ ยาสิร (สาวกนบี ตอนที่ 3)
อัมมาร อิบนุ ยาสิร เป็นหนึ่งในเศาะหาบะฮ์ (สหาย) คนสำคัญของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะอาลิฮิ) และถือเป็นหนึ่งในชาวมุสลิมกลุ่มแรก รวมถึงยังเป็นหนึ่งในบรรดาชีอะฮ์ยุคต้นของอิมามอะลี (อ)
หลังจากการวะฟาตของท่านศาสดา อัมมารได้ปฏิเสธที่จะให้สัตยาบัน (บัยอะฮ์) แก่อบูบักรเพื่อแสดงการยืนหยัดเคียงข้างอิมามอะลี ในสมัยของคอลีฟะฮ์ที่สาม อุษมาน อัมมารเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้คัดค้านการปกครองของเขาอย่างเปิดเผย และมีส่วนร่วมในการประท้วงต่อต้าน จนถึงขั้นมีการปะทะกัน
เมื่ออิมามอะลีขึ้นดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์ อัมมารเป็นหนึ่งในผู้ติดตามที่ใกล้ชิด และได้ร่วมต่อสู้เคียงข้างท่านในสงครามซิฟฟีน ซึ่งเขาได้พลีชีพโดยน้ำมือของกองทัพฝ่ายมุอาวียะฮ์ ทั้งนี้ ท่านศาสดา (ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะอาลิฮิ) เคยกล่าวล่วงหน้าเกี่ยวกับการเป็นชะฮีดของอัมมารไว้ว่าเขาจะถูกฆ่าโดย “กลุ่มกบฏ” (ฟิอะฮ์ บาฆียะฮ์)
เชื้อสาย
อัมมาร บิน ยาสิร บิน อามิร มีฉายาว่า “อบูยักศอน” และเป็นพันธมิตรกับตระกูลบนีมัคซูม โดยมีเชื้อสายมาจากเผ่าอันส์ บิน มาลิก แห่งแคว้นยะมัน
ยาสิร บิดาของเขาได้เดินทางมายังมักกะฮ์ในวัยหนุ่ม และได้ทำพันธะสัญญากับอบูฮุซัยฟะฮ์ แห่งตระกูลบนีมักซูม
ในสมัยท่านศาสดา (ศ็ลฯ)
อัมมาร พ่อแม่ของเขา และพี่ชายของเขา คือหนึ่งในชาวมุสลิมกลุ่มแรก บางรายงานกล่าวว่าเขาเป็นชาวมุสลิมคนที่สามสิบกว่า ๆ ขณะที่อีกข้อมูลหนึ่งระบุว่าเขาเป็นหนึ่งในเจ็ดคนแรกที่เข้ารับอิสลาม
ครอบครัวของอัมมาร ได้แก่ ยาสิร (พ่อ), สุมัยยะฮ์ (แม่), อับดุลลอฮ์ (พี่ชาย), รวมถึงเศาะหาบะฮ์อย่าง บิลาล, ค็อบบาบ และเศาะฮีบ ต่างก็ถูกมุชริกีน (พวกตั้งภาคี) แห่งมักกะฮ์ทรมานอย่างโหดร้ายเพื่อให้ละทิ้งศาสนา โดยเฉพาะสุมัยยะฮ์และยาสิรซึ่งเสียชีวิตจากการทรมานนั้น และนับเป็น ชะฮีดคนแรกๆ ของอิสลาม
ในช่วงที่ถูกบังคับให้สบประมาทศาสดา อัมมารได้กระทำตามคำสั่งเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ศาสดา (ศ็ลฯ) กลับให้อภัยเขา และกล่าวว่า “หากถูกบังคับอีกก็จงทำเช่นนั้น” และภายหลังได้มีการประทานโองการอัลกุรอานจากซูเราะฮ์ อันนะห์ล (16:106) ลงมา:
مَن کفَرَ بِاللَّهِ مِن بَعْدِ إِیمَانِهِ إِلَّا مَنْ أُکرِ هَ وَقَلْبُهُ مُطْمَئِنٌّ بِالْإِیمَانِ
"ผู้ใดที่ปฏิเสธอัลลอฮ์หลังจากที่มีอีหม่านแล้ว(เว้นแต่ผู้ที่ถูกบังคับในขณะที่หัวใจของเขายังมั่นคงต่อศรัทธา)เขาย่อมไม่ถูกลงโทษ..."
บางรายงานระบุว่าอัมมาร์อาจเป็นหนึ่งในกลุ่มที่อพยพไปยังฮับชะฮ์ (เอธิโอเปีย) ด้วย
ต่อมาเมื่อท่านศาสดาอพยพสู่มะดีนะฮ์ อัมมารก็ได้ร่วมทางไปด้วย และมีส่วนร่วมในการก่อสร้างมัสยิดกุบา เขายังเป็นหนึ่งในผู้ติดตามใกล้ชิดและร่วมรบในสงครามต่าง ๆ ทุกครั้งที่ท่านศาสดาออกไปรบ
คุณงามความดีของอัมมาร
มีหะดีษมากมายจากท่านศาสดาเกี่ยวกับความประเสริฐของอัมมาร หนึ่งในนั้นคือ:
"สวรรค์โหยหาพบอะลี, อัมมาร, ซัลมาน และบิลาล"
อีกหะดีษหนึ่งที่โด่งดังคือ: "อัมมาร์อยู่กับความจริง และความจริงอยู่กับอัมมาร์ อัมมาร์จะอยู่ที่ใด ความจริงก็อยู่ที่นั่น และผู้ที่ฆ่าอัมมาร์จะอยู่ในนรก"
ในสมัยคอลีฟะฮ์:
อัมมาร นับเป็นหนึ่งในกลุ่ม ชีอะฮ์ยุคต้น พร้อมกับเศาะหาบะฮ์อย่าง ซัลมาน, มิกดาด, และอบูซัร ซึ่งมีความภักดีต่ออิมามอะลีตั้งแต่ยังอยู่ในสมัยท่านศาสดา
หลังจากท่านศาสดาวะฟาต อัมมารปฏิเสธบัยอะฮ์ต่ออบูบักร และยืนหยัดในสิทธิของอะลี ต่อมาเขาร่วมรบในสงครามยะมามะฮ์ในสมัยอบูบักร ซึ่งเป็นช่วงที่หูของเขาถูกตัดจากสนามรบ
ในสมัยของอุมัร อัมมารได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองเมืองกูฟะฮ์ และเป็นผู้บัญชาการทหาร เขามีบทบาทสำคัญในสงครามนะฮาวันด์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญในการพิชิตอิหร่าน แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ถูกถอดจากตำแหน่ง โดยไม่มีคำอธิบายชัดเจนจากแหล่งประวัติศาสตร์ บางรายงานชี้ว่ามีความไม่พอใจจากประชาชน บ้างก็กล่าวถึงความไม่ชำนาญด้านการเมือง
ในสมัยของอุษมาน อัมมารมีข้อพิพาทอย่างรุนแรงหลายครั้ง หนึ่งในนั้นคือการคัดค้านการเนรเทศอบูซัรไปยังรอบะซะฮ์ ซึ่งทำให้เกิดการปะทะกับอุษมานจนเขาถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง อุษมานตั้งใจจะเนรเทศเขาเช่นกัน แต่ถูกต่อต้านจากตระกูลบนีมักซูมและอิมามอะลี
บางรายงานกล่าวว่าอัมมารถูกทำร้ายเพราะเขาและชาวกูฟะฮ์ประท้วงผู้ว่าการเมืองกูฟะฮ์ คือ วะลีด บิน อุกบะฮ์ เรื่องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะการดื่มสุรา ขณะที่บางรายงานกล่าวว่าเขาถูกทำร้ายเพราะคัดค้านนโยบายการจัดสรรทรัพย์สินของรัฐ (บัยตุลมาล)
อัมมารยังมีบทบาทในเหตุการณ์การลุกฮือต่อต้านอุษมาน โดยเขาร่วมกับกลุ่มผู้ประท้วงจากอียิปต์ และมีส่วนในการปิดล้อมบ้านของอุษมานที่เมืองมะดีนะฮ์
ในสมัยการปกครองของอิมามอะลี (อ.
อัมมาร บิน ยาสิร เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนมั่นคงของอิมามอะลี (อ.) หลังจากอุมัรเสียชีวิต และเกิดการตั้งสภาชูรอเพื่อเลือกคอลีฟะฮ์คนใหม่ อัมมาร์ได้แนะนำอับดุรเราะฮมาน บิน เอาฟ์ ให้เลือกอิมามอะลี (อ.) เพื่อป้องกันมิให้ประชาชนแตกแยกกัน
เมื่ออุษมานถูกสังหาร อัมมาร์เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่เชิญชวนประชาชนให้มอบสัตยาบัน (บัยอะฮ์) แก่อิมามอะลี (อ.)
อัมมาร์เข้าร่วมทั้งสองสงครามสำคัญในยุคการปกครองของอิมามอะลี ได้แก่ สงครามญะมัล และ สงครามซิฟฟีน โดยในสงครามญะมัล เขาได้รับหน้าที่เป็นแม่ทัพฝ่ายซ้ายของกองทัพ และในวันที่สามของสงครามซิฟฟีน เขาได้ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพอิมาม (อ.)
การเป็นชะฮีด:
อัมมารได้พลีชีพในสงครามซิฟฟีน เมื่อเดือนศ็อฟัร หรือร่อบีอุษซานี ปี ฮ.ศ. 37 หลังการเสียชีวิตของเขา อิมามอะลี (อ.) ได้เป็นผู้นำละหมาดญะนาซะฮ์ให้กับเขา ขณะเสียชีวิต อัมมาร์มีอายุมากกว่า 90 ปี โดยบางรายงานระบุว่าเขาอายุ 91, 92 หรือ 93 ปี
การเป็นชะฮีดของอัมมารในสงครามซิฟฟีนโดยน้ำมือกองทัพของมุอาวียะฮ์ เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ฝ่ายอิมามอะลี (อ.) ยกขึ้นแสดงความชอบธรรมในการต่อสู้ เพราะมีหะดีษที่มีชื่อเสียงจากท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ระบุไว้ว่า:
"ผู้ที่ฆ่าอัมมาร์คือกลุ่มกบฏ (ฟิอะฮ์ บาฆียะฮ์)" (หมายถึงกลุ่มที่ออกนอกแนวทางของอิมามที่ยุติธรรม)
อิบนุอับดุลบัร นักรายงานหะดีษชื่อดัง ถือว่าหะดีษนี้เป็นหนึ่งในหะดีษระดับ มุตะวาติร (มีสายรายงานมากมายเชื่อถือได้สูงสุด) และจัดว่าเป็นหนึ่งในหะดีษที่ถูกต้องที่สุด
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าว่า คุซัยมะฮ์ บิน ษาบิต ซึ่งเคยอยู่ในสนามรบทั้งสงครามญะมัลและซิฟฟีน แต่ไม่เคยชักดาบออกจากฝัก จนกระทั่งเมื่อเขาเห็นว่าอัมมาร์ถูกสังหารโดยกองทัพของมุอาวียะฮ์ เขาจึงกล่าวว่า:
"บัดนี้ข้ารู้แล้วว่าใครคือกลุ่มหลงทาง"
จากนั้นเขาได้เข้าร่วมรบเคียงข้างอิมามอะลี จนตนเองก็ได้เป็นชะฮีดเช่นกัน
สถานที่ฝังศพอัมมาร:
หลุมฝังศพของอัมมาร์ตั้งอยู่ในบริเวณที่เขาถูกสังหาร ที่จังหวัดรักเกาะห์ ประเทศซีเรีย
ในหนังสือ “สถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในซีเรีย” ได้กล่าวถึงหลุมศพของอัมมาร์ว่า:
"หลุมศพตั้งอยู่ทางขวาของประตู 'บาบอะลี' มีการก่อสร้างสถานศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่และวิจิตรตระการตาด้วยการสนับสนุนของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน โดยมียอดโดมขนาดใหญ่ที่สร้างด้วยคอนกรีตและซีเมนต์ หลุมศพอันบริสุทธิ์ของอัมมาร์อยู่ภายใต้โดมนี้"
ในบทความชื่อ “สถานศักดิ์สิทธิ์ของอะฮ์ลุลบัยต์และเศาะฮาบะฮ์ในซีเรีย” อธิบายว่า:
"สถานศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีความยิ่งใหญ่และสง่างามมาก จนกลายเป็นจุดหมายของบรรดาเคาราวะชีอะฮ์ โดยเฉพาะกลุ่มแสวงบุญที่เดินทางมาเยือน ต่อมาได้มีการพัฒนาสถานที่ด้วยการสนับสนุนของอิหร่านตามคำแนะนำของอายะตุลลอฮ์โคมัยนี และได้รับอนุญาตจากประธานาธิบดีฮาฟิซ อัล-อะซัด"
ภายหลังมีการสร้างตัวอาคาร โครงสร้างโดม และตกแต่งอย่างวิจิตร จนเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 2004 (ฮ.ศ. 1425) ตัวอาคารมีลานกว้าง ล้อมรอบด้วยห้องต่าง ๆ สำหรับใช้งานทั้งด้านศาสนาและการบริหาร มีการประดับภายนอกด้วยหินอ่อนสีขาวและกระเบื้องเคลือบสวยงาม โดมของอัมมาร์อยู่ทางด้านตะวันตกของลาน ส่วนโดมของ อุวัยส์ อัล-ก็อรอนี อยู่ทางตะวันออก และมีโดมเล็กอีกแห่งของ อบี บิน กอยส์ ตั้งอยู่นอกแนวตะวันออกของลาน
การถูกทำลายของสถานศักดิ์สิทธิ์
ในคืนวันที่ 21 รอมาฎอน ปีฮ.ศ. 1434 (6 สิงหาคม 2013) ซึ่งตรงกับค่ำคืนกอดร์ กลุ่มตักฟีรีย์สุดโต่งในซีเรียที่เข้ายึดครองเมืองรักเกาะห์ ได้โจมตีสถานศักดิ์สิทธิ์ของอัมมาร์และอุวัยส์ ด้วยการยิงปืนใหญ่และจรวด ทำให้บางส่วนของสถานที่ถูกทำลาย
ต่อมาเมื่อวันที่ 6 เมษา 2014 (24 ญุมาอัลเอาวัล ฮ.ศ. 1435) กลุ่มไอซิส (ISIS/Daesh) ได้วางระเบิดทำลายหอคอยของโดมทั้งสอง และในวันที่ 25 พฤษภาคม 2014 (15 เราะญับ ฮ.ศ. 1435) พวกเขาได้ทำลาย สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลังอย่างสิ้นเชิง
บทความโดย เชคยูซุฟ เพชรกาหรีม

