เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

อัมมาร อิบนุ ยาสิร (สาวกนบี ตอนที่ 3)

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

อัมมาร อิบนุ ยาสิร (สาวกนบี ตอนที่ 3)


อัมมาร อิบนุ ยาสิร เป็นหนึ่งในเศาะหาบะฮ์ (สหาย) คนสำคัญของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะอาลิฮิ) และถือเป็นหนึ่งในชาวมุสลิมกลุ่มแรก รวมถึงยังเป็นหนึ่งในบรรดาชีอะฮ์ยุคต้นของอิมามอะลี (อ)
หลังจากการวะฟาตของท่านศาสดา อัมมารได้ปฏิเสธที่จะให้สัตยาบัน (บัยอะฮ์) แก่อบูบักรเพื่อแสดงการยืนหยัดเคียงข้างอิมามอะลี ในสมัยของคอลีฟะฮ์ที่สาม อุษมาน อัมมารเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้คัดค้านการปกครองของเขาอย่างเปิดเผย และมีส่วนร่วมในการประท้วงต่อต้าน จนถึงขั้นมีการปะทะกัน
เมื่ออิมามอะลีขึ้นดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์ อัมมารเป็นหนึ่งในผู้ติดตามที่ใกล้ชิด และได้ร่วมต่อสู้เคียงข้างท่านในสงครามซิฟฟีน ซึ่งเขาได้พลีชีพโดยน้ำมือของกองทัพฝ่ายมุอาวียะฮ์ ทั้งนี้ ท่านศาสดา (ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะอาลิฮิ) เคยกล่าวล่วงหน้าเกี่ยวกับการเป็นชะฮีดของอัมมารไว้ว่าเขาจะถูกฆ่าโดย “กลุ่มกบฏ” (ฟิอะฮ์ บาฆียะฮ์)
เชื้อสาย
อัมมาร บิน ยาสิร บิน อามิร มีฉายาว่า “อบูยักศอน” และเป็นพันธมิตรกับตระกูลบนีมัคซูม โดยมีเชื้อสายมาจากเผ่าอันส์ บิน มาลิก แห่งแคว้นยะมัน
ยาสิร บิดาของเขาได้เดินทางมายังมักกะฮ์ในวัยหนุ่ม และได้ทำพันธะสัญญากับอบูฮุซัยฟะฮ์ แห่งตระกูลบนีมักซูม
ในสมัยท่านศาสดา (ศ็ลฯ)
อัมมาร พ่อแม่ของเขา และพี่ชายของเขา คือหนึ่งในชาวมุสลิมกลุ่มแรก บางรายงานกล่าวว่าเขาเป็นชาวมุสลิมคนที่สามสิบกว่า ๆ ขณะที่อีกข้อมูลหนึ่งระบุว่าเขาเป็นหนึ่งในเจ็ดคนแรกที่เข้ารับอิสลาม
ครอบครัวของอัมมาร ได้แก่ ยาสิร (พ่อ), สุมัยยะฮ์ (แม่), อับดุลลอฮ์ (พี่ชาย), รวมถึงเศาะหาบะฮ์อย่าง บิลาล, ค็อบบาบ และเศาะฮีบ ต่างก็ถูกมุชริกีน (พวกตั้งภาคี) แห่งมักกะฮ์ทรมานอย่างโหดร้ายเพื่อให้ละทิ้งศาสนา โดยเฉพาะสุมัยยะฮ์และยาสิรซึ่งเสียชีวิตจากการทรมานนั้น และนับเป็น ชะฮีดคนแรกๆ ของอิสลาม
ในช่วงที่ถูกบังคับให้สบประมาทศาสดา อัมมารได้กระทำตามคำสั่งเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ศาสดา (ศ็ลฯ) กลับให้อภัยเขา และกล่าวว่า “หากถูกบังคับอีกก็จงทำเช่นนั้น” และภายหลังได้มีการประทานโองการอัลกุรอานจากซูเราะฮ์ อันนะห์ล (16:106) ลงมา:
مَن کفَرَ بِاللَّهِ مِن بَعْدِ إِیمَانِهِ إِلَّا مَنْ أُکرِ هَ وَقَلْبُهُ مُطْمَئِنٌّ بِالْإِیمَانِ
 "ผู้ใดที่ปฏิเสธอัลลอฮ์หลังจากที่มีอีหม่านแล้ว(เว้นแต่ผู้ที่ถูกบังคับในขณะที่หัวใจของเขายังมั่นคงต่อศรัทธา)เขาย่อมไม่ถูกลงโทษ..."
บางรายงานระบุว่าอัมมาร์อาจเป็นหนึ่งในกลุ่มที่อพยพไปยังฮับชะฮ์ (เอธิโอเปีย) ด้วย
ต่อมาเมื่อท่านศาสดาอพยพสู่มะดีนะฮ์ อัมมารก็ได้ร่วมทางไปด้วย และมีส่วนร่วมในการก่อสร้างมัสยิดกุบา เขายังเป็นหนึ่งในผู้ติดตามใกล้ชิดและร่วมรบในสงครามต่าง ๆ ทุกครั้งที่ท่านศาสดาออกไปรบ
คุณงามความดีของอัมมาร
มีหะดีษมากมายจากท่านศาสดาเกี่ยวกับความประเสริฐของอัมมาร หนึ่งในนั้นคือ:
"สวรรค์โหยหาพบอะลี, อัมมาร, ซัลมาน และบิลาล"
อีกหะดีษหนึ่งที่โด่งดังคือ:  "อัมมาร์อยู่กับความจริง และความจริงอยู่กับอัมมาร์ อัมมาร์จะอยู่ที่ใด ความจริงก็อยู่ที่นั่น และผู้ที่ฆ่าอัมมาร์จะอยู่ในนรก"
ในสมัยคอลีฟะฮ์:
อัมมาร นับเป็นหนึ่งในกลุ่ม ชีอะฮ์ยุคต้น พร้อมกับเศาะหาบะฮ์อย่าง ซัลมาน, มิกดาด, และอบูซัร ซึ่งมีความภักดีต่ออิมามอะลีตั้งแต่ยังอยู่ในสมัยท่านศาสดา
หลังจากท่านศาสดาวะฟาต อัมมารปฏิเสธบัยอะฮ์ต่ออบูบักร และยืนหยัดในสิทธิของอะลี ต่อมาเขาร่วมรบในสงครามยะมามะฮ์ในสมัยอบูบักร ซึ่งเป็นช่วงที่หูของเขาถูกตัดจากสนามรบ
ในสมัยของอุมัร อัมมารได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองเมืองกูฟะฮ์ และเป็นผู้บัญชาการทหาร เขามีบทบาทสำคัญในสงครามนะฮาวันด์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญในการพิชิตอิหร่าน แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ถูกถอดจากตำแหน่ง โดยไม่มีคำอธิบายชัดเจนจากแหล่งประวัติศาสตร์ บางรายงานชี้ว่ามีความไม่พอใจจากประชาชน บ้างก็กล่าวถึงความไม่ชำนาญด้านการเมือง
ในสมัยของอุษมาน อัมมารมีข้อพิพาทอย่างรุนแรงหลายครั้ง หนึ่งในนั้นคือการคัดค้านการเนรเทศอบูซัรไปยังรอบะซะฮ์ ซึ่งทำให้เกิดการปะทะกับอุษมานจนเขาถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง อุษมานตั้งใจจะเนรเทศเขาเช่นกัน แต่ถูกต่อต้านจากตระกูลบนีมักซูมและอิมามอะลี
บางรายงานกล่าวว่าอัมมารถูกทำร้ายเพราะเขาและชาวกูฟะฮ์ประท้วงผู้ว่าการเมืองกูฟะฮ์ คือ วะลีด บิน อุกบะฮ์ เรื่องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะการดื่มสุรา ขณะที่บางรายงานกล่าวว่าเขาถูกทำร้ายเพราะคัดค้านนโยบายการจัดสรรทรัพย์สินของรัฐ (บัยตุลมาล)
อัมมารยังมีบทบาทในเหตุการณ์การลุกฮือต่อต้านอุษมาน โดยเขาร่วมกับกลุ่มผู้ประท้วงจากอียิปต์ และมีส่วนในการปิดล้อมบ้านของอุษมานที่เมืองมะดีนะฮ์
ในสมัยการปกครองของอิมามอะลี (อ.
อัมมาร บิน ยาสิร เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนมั่นคงของอิมามอะลี (อ.) หลังจากอุมัรเสียชีวิต และเกิดการตั้งสภาชูรอเพื่อเลือกคอลีฟะฮ์คนใหม่ อัมมาร์ได้แนะนำอับดุรเราะฮมาน บิน เอาฟ์ ให้เลือกอิมามอะลี (อ.) เพื่อป้องกันมิให้ประชาชนแตกแยกกัน 
เมื่ออุษมานถูกสังหาร อัมมาร์เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่เชิญชวนประชาชนให้มอบสัตยาบัน (บัยอะฮ์) แก่อิมามอะลี (อ.) 
อัมมาร์เข้าร่วมทั้งสองสงครามสำคัญในยุคการปกครองของอิมามอะลี ได้แก่ สงครามญะมัล และ สงครามซิฟฟีน โดยในสงครามญะมัล เขาได้รับหน้าที่เป็นแม่ทัพฝ่ายซ้ายของกองทัพ  และในวันที่สามของสงครามซิฟฟีน เขาได้ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพอิมาม (อ.)
การเป็นชะฮีด:
อัมมารได้พลีชีพในสงครามซิฟฟีน เมื่อเดือนศ็อฟัร หรือร่อบีอุษซานี ปี ฮ.ศ. 37  หลังการเสียชีวิตของเขา อิมามอะลี (อ.) ได้เป็นผู้นำละหมาดญะนาซะฮ์ให้กับเขา ขณะเสียชีวิต อัมมาร์มีอายุมากกว่า 90 ปี โดยบางรายงานระบุว่าเขาอายุ 91, 92 หรือ 93 ปี 
การเป็นชะฮีดของอัมมารในสงครามซิฟฟีนโดยน้ำมือกองทัพของมุอาวียะฮ์ เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ฝ่ายอิมามอะลี (อ.) ยกขึ้นแสดงความชอบธรรมในการต่อสู้ เพราะมีหะดีษที่มีชื่อเสียงจากท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ระบุไว้ว่า:
"ผู้ที่ฆ่าอัมมาร์คือกลุ่มกบฏ (ฟิอะฮ์ บาฆียะฮ์)"  (หมายถึงกลุ่มที่ออกนอกแนวทางของอิมามที่ยุติธรรม)
อิบนุอับดุลบัร นักรายงานหะดีษชื่อดัง ถือว่าหะดีษนี้เป็นหนึ่งในหะดีษระดับ มุตะวาติร (มีสายรายงานมากมายเชื่อถือได้สูงสุด) และจัดว่าเป็นหนึ่งในหะดีษที่ถูกต้องที่สุด 
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าว่า คุซัยมะฮ์ บิน ษาบิต ซึ่งเคยอยู่ในสนามรบทั้งสงครามญะมัลและซิฟฟีน แต่ไม่เคยชักดาบออกจากฝัก จนกระทั่งเมื่อเขาเห็นว่าอัมมาร์ถูกสังหารโดยกองทัพของมุอาวียะฮ์ เขาจึงกล่าวว่า:
"บัดนี้ข้ารู้แล้วว่าใครคือกลุ่มหลงทาง"
จากนั้นเขาได้เข้าร่วมรบเคียงข้างอิมามอะลี จนตนเองก็ได้เป็นชะฮีดเช่นกัน 
สถานที่ฝังศพอัมมาร:
หลุมฝังศพของอัมมาร์ตั้งอยู่ในบริเวณที่เขาถูกสังหาร ที่จังหวัดรักเกาะห์ ประเทศซีเรีย
ในหนังสือ “สถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในซีเรีย” ได้กล่าวถึงหลุมศพของอัมมาร์ว่า:
"หลุมศพตั้งอยู่ทางขวาของประตู 'บาบอะลี' มีการก่อสร้างสถานศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่และวิจิตรตระการตาด้วยการสนับสนุนของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน โดยมียอดโดมขนาดใหญ่ที่สร้างด้วยคอนกรีตและซีเมนต์ หลุมศพอันบริสุทธิ์ของอัมมาร์อยู่ภายใต้โดมนี้" 
ในบทความชื่อ “สถานศักดิ์สิทธิ์ของอะฮ์ลุลบัยต์และเศาะฮาบะฮ์ในซีเรีย” อธิบายว่า:
"สถานศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีความยิ่งใหญ่และสง่างามมาก จนกลายเป็นจุดหมายของบรรดาเคาราวะชีอะฮ์ โดยเฉพาะกลุ่มแสวงบุญที่เดินทางมาเยือน ต่อมาได้มีการพัฒนาสถานที่ด้วยการสนับสนุนของอิหร่านตามคำแนะนำของอายะตุลลอฮ์โคมัยนี และได้รับอนุญาตจากประธานาธิบดีฮาฟิซ อัล-อะซัด"
ภายหลังมีการสร้างตัวอาคาร โครงสร้างโดม และตกแต่งอย่างวิจิตร จนเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 2004 (ฮ.ศ. 1425) ตัวอาคารมีลานกว้าง ล้อมรอบด้วยห้องต่าง ๆ สำหรับใช้งานทั้งด้านศาสนาและการบริหาร มีการประดับภายนอกด้วยหินอ่อนสีขาวและกระเบื้องเคลือบสวยงาม โดมของอัมมาร์อยู่ทางด้านตะวันตกของลาน ส่วนโดมของ อุวัยส์ อัล-ก็อรอนี อยู่ทางตะวันออก และมีโดมเล็กอีกแห่งของ อบี บิน กอยส์ ตั้งอยู่นอกแนวตะวันออกของลาน 
การถูกทำลายของสถานศักดิ์สิทธิ์
ในคืนวันที่ 21 รอมาฎอน ปีฮ.ศ. 1434 (6 สิงหาคม 2013) ซึ่งตรงกับค่ำคืนกอดร์ กลุ่มตักฟีรีย์สุดโต่งในซีเรียที่เข้ายึดครองเมืองรักเกาะห์ ได้โจมตีสถานศักดิ์สิทธิ์ของอัมมาร์และอุวัยส์ ด้วยการยิงปืนใหญ่และจรวด ทำให้บางส่วนของสถานที่ถูกทำลาย 
ต่อมาเมื่อวันที่ 6 เมษา 2014 (24 ญุมาอัลเอาวัล ฮ.ศ. 1435) กลุ่มไอซิส (ISIS/Daesh) ได้วางระเบิดทำลายหอคอยของโดมทั้งสอง และในวันที่ 25 พฤษภาคม 2014 (15 เราะญับ ฮ.ศ. 1435) พวกเขาได้ทำลาย สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลังอย่างสิ้นเชิง
บทความโดย เชคยูซุฟ เพชรกาหรีม

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม