เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

ความเป็นมาของการแบ่งแยกอุมมะฮ์ประชาชาติอิสลามเป็น "ชีอะฮ์" และ "ซุนนี"

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

ความเป็นมาของการแบ่งแยกอุมมะฮ์ประชาชาติอิสลามเป็น "ชีอะฮ์" และ "ซุนนี"


หลังจากการถึงแก่อสัญกรรมของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อล) อุมมะฮ์ (ประชาคม) อิสลามได้แตกออกเป็นหลายกลุ่มนิกายทั้งด้วยเหตุผลทางสังคมและปัจจัยอื่น ๆ นอกเหนือจากนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแบ่งแยกออกเป็นสองกลุ่มใหญ่คือ ชีอะฮ์ (الشيعة) และ ซุนนี (السنة) ซึ่งถือเป็นการแตกแยกสำคัญครั้งแรกในประวัติศาสตร์อิสลาม
ผลจากความแตกแยกนี้ทำให้แก่นแท้อิสลามกลายเป็นเรื่องคลุมเครือและไม่คุ้นเคยสำหรับมุสลิมส่วนใหญ่ และนำมาซึ่งความสงสัยและความสับสนในหมู่ประชาชนกันเอง
จุดร่วมและจุดต่างระหว่างชีอะฮ์กับซุนนี
แม้ชีอะฮ์และซุนนีจะมีความเห็นแตกต่างกันในบางประเด็นโดยเฉพาะในเรื่องอิมามัต หรือการเป็นผู้นำ และบางประเด็นทางนิติศาสตร์ (ฟิกฮ์) แต่ทั้งสองนิกายยังคงเห็นพ้องกันในหลักคำสอนที่สำคัญ เช่นเรื่อง:
-เตาฮีด (توحيد)  การยืนยันในเอกภาพของพระเจ้า
-นุบูวะฮ์ (نبوة)  การยอมรับในสถานภาพศาสดา
-มะอาด (معاد)  ความเชื่อในวันฟื้นคืนชีพ
และการปฏิบัติศาสนกิจหลัก เช่น การละหมาด, การถือศีลอด, ฮัจญ์ และอื่น ๆ
สาเหตุของการแยกออกเป็นชีอะฮ์และซุนนี
ในช่วงที่ท่านศาสดา (ศ็อล) ยังมีชีวิตอยู่นั้นอุมมะฮ์อิสลามดูเหมือนจะไม่มีความขัดแย้งทางความเชื่อหรือการเมืองอย่างชัดเจน ทุกคนต่างรวมกันภายใต้ธงเดียวกัน คือการนำของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อล)
แต่หลังจากการจากไปของท่านความขัดแย้งได้ปรากฏขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องของ ผู้นำ (อิมาม/คอลีฟะฮ์) ของประชาคมมุสลิม
หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่เป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งนี้คือ "เหตุการณ์เรื่อง น้ำหมึก และปากกา" หรือที่รู้จักกันในชื่อ หะดีษกิรตาส (حديث قرطاس) ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตท่านศาสดา(ศ็อล) เมื่อท่านต้องการเขียนคำแนะนำ(วะศิยัต)บางอย่าง แต่มีการคัดค้านจากบุคคลหนึ่งคืออุมัร (ผู้ที่มาเป็นคอลีฟะฮท่านที่สองภายหลัง)
ในคำนำของหนังสือ صواعق المحرقة (หนึ่งในตำราของนักวิชาการสุนนี) ได้กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างท่านศาสดา (ศ็อล) กับอุมัร นั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ตำแหน่งผู้นำ (الإمامة و الخلافة) ของประชาคมอิสลาม โดยแท้จริง
นอกจากนี้ ในหนังสือ الفرق بين الفرق ซึ่งเขียนโดยอีกหนึ่งนักวิชาการสายซุนนี ยังได้ยืนยันเช่นกันว่า ความแตกแยกครั้งแรกในอิสลามเกิดขึ้นในประเด็นผู้นำ โดยฝ่ายอันศอร (الأنصار) สนับสนุน สะอฺด์ บิน อุบาดะฮ์ ให้เป็นผู้นำ ขณะที่ฝ่าย กุร็อยช์ (قريش) เห็นว่าผู้นำจะต้องมาจากชนเผ่ากุร็อยช์ (เหตุการณ์สะกีฟะฮ) 
การถือกำเนิดของนิกายชีอะฮ์
หลังจากท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อล) ถึงแก่อสัญกรรม มีบรรดาสหายจำนวนหนึ่งที่ปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านศาสดาโดยยึดตามหลักฐานจาก อัลกุรอาน และคำพูดของท่านศาสดาเอง ซึ่งระบุชัดเจนถึงการสืบต่อโดยอิมามอะลี (อ) และเหล่าผู้นำจากอะฮ์ลุลบัยต์ (อ)
กลุ่มนี้เองที่ได้รับการเรียกว่า "ชีอะฮ์" (الشيعة) โดยตรงจากท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อล) และได้ดำรงชื่อเสียงนี้สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
จุดเริ่มต้นของนิกายซุนนี:
ในทางกลับกัน กลุ่มหนึ่งจากหมู่มุฮาญิร (المهاجرين) และ อันศอร (الأنصار) ได้มารวมตัวกันหลังจากการเสียชีวิตของท่านศาสดาที่สถานที่ชื่อว่า ซะกีฟะฮ์ บนี ซาอิดะฮ์ (سقیفه بنی ساعده) เพื่อหารือเกี่ยวกับผู้นำคนต่อไป
ภายหลังการถกเถียงและความขัดแย้งภายในกลุ่มเศาะฮาบะฮ์ส่วนใหญ่ก็ได้ทำ การให้สัตยาบัน (บัยอะฮ์) แก่ อบูบักร์  ด้วยการสนับสนุนจากอุมัร ให้เป็น เคาะลีฟะฮ์  และผู้นำสูงสุดของประชาคมอิสลาม 
ซึ่งกลุ่มผู้ติดตามแนวทางนี้ในเวลาต่อมาก็เป็นที่รู้จักกันในชื่อ "อะฮ์ลุซซุนนะฮ์" (أهل السنة)
ปัจจัยแห่งการเกิดนิกายต่าง ๆ ในอุมมะฮ์อิสลาม:
หลังจากที่อุมมะฮ์อิสลามถูกแบ่งออกเป็นสองมัซฮับหลัก คือ ชีอะฮ์ และ ซุนนี ก็ได้มีนิกายย่อยอื่น ๆ เกิดขึ้นจากสองมัซฮับนี้ ซึ่งทำให้ชุมชนมุสลิมแยกย่อยออกไปมากยิ่งขึ้น การแตกแยกเหล่านี้ล้วนมีที่มาและปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งนักวิชาการมุสลิมได้วิเคราะห์ไว้หลายประการ นั้นคือ:
1. ความลำเอียงทางชนเผ่าและแนวคิดพรรคพวก:
หนึ่งในปัจจัยหลักของการเกิดนิกายคือ ความลำเอียงทางเผ่าพันธุ์  และแนวคิดแบบพรรคพวก  ซึ่งในยุคต้นอิสลาม มีความขัดแย้งระหว่าง เผ่ากุร็อยช์และบนีอุมัยยะฮ์ กับ บนีฮาชิม ซึ่งเป็นเผ่าของ อิมามอะลี (อ)
การที่บนีอุมัยยะฮ์แยกตัวออกจากสายบนีฮาชิม นำไปสู่การกำเนิดของนิกายต่าง ๆ เช่น มัรญิอะฮ์ (مرجئه), หะชะวียะฮ์ (حشویه) และกลุ่มอื่น ๆ ที่มีแนวคิดแตกต่างจากแนวทางดั้งเดิม
2. ความเขลาและการไม่รู้ศาสนา:
ความไม่รู้ ของทั้งผู้รู้บางคนและผู้ตาม ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในหลักการของศาสนา เช่นการตีความอัลกุรอานผิด ๆ ซึ่งนำไปสู่การเกิดกลุ่มหัวรุนแรงอย่าง ค่อวาริจญ์ (خوارج) เป็นต้น
ท่านศาสดา (ศ็อล) เคยกล่าวถึงกลุ่มนี้ไว้ว่า:
"هم یقْرَءُونَ الْقُرْآنَ لَا یجَاوِزُ تَرَاقِیهُمْ یمْرُقُونَ‏ مِنَ الدِّینِ کَمَا یمْرُقُ السَّهْمُ مِنَ الرَّمِیه"
“พวกเขาอ่านอัลกุรอาน แต่ไม่ผ่านลำคอของพวกเขา พวกเขาจะหลุดออกจากศาสนาเหมือนลูกศรที่ทะลุเป้าหมาย”
3. การถูกตัดขาดจากหะดีษของท่านศาสดา:
ในช่วงต้นอิสลาม การจดบันทึกและถ่ายทอดหะดีษของท่านศาสดา ถูกห้ามโดยเคาะลีฟะฮ์ที่สอง ทำให้หะดีษจำนวนมากสูญหายไป และเมื่อเวลาผ่านไปมีหะดีษเท็จ และแต่งขึ้นแอบอ้างเข้าสู่ตำราศาสนาซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งความเชื่อผิด ๆ และนิกายต่าง ๆ ตามที่เห็นในปัจจุบัน
4. การแทรกแซงของนักการเมืองและผู้ปกครอง:
ผู้ปกครองและนักการเมือง มักใช้ความเชื่อทางศาสนาเป็นเครื่องมือเพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ เช่นในยุคสมัยต่าง ๆ ที่ พวกหะชะวียะฮ์ และมุอฺตะซิละฮ์ ถูกผลักดันโดยรัฐสมัยนั้น
ในปัจจุบันก็เช่นกันมีหลักฐานว่าอำนาจต่างชาติเช่น อังกฤษ มีบทบาทในการสนับสนุนการก่อตั้งนิกายบางอย่าง เช่น วะฮาบียะฮ์ (وهابیت) เพื่อสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในโลกอิสลาม และมันก็เกิดขึ้นจริงๆ
5. บทบาทของผู้แอบแฝงและผู้หวังผลประโยชน์:
บุคคลบางกลุ่มที่ แอบอ้างศาสนาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เช่นผู้นำของพวกสุดโต่ง (غُلاة) ในกลุ่มชีอะฮ์ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดนิกายแปลกปลอม ซึ่งทำให้ผู้คนหลงผิด และแตกแยกออกไป
6. ความเข้าใจในอัลกุรอานโดยขาดการยึดโยงกับอะฮ์ลุลบัยต์:
การที่ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ ห่างเหินจากอะฮ์ลุลบัยต์ (อ) ผู้นำทางวิชาการและจิตวิญญาณของศาสนา ทำให้เกิดการ ตีความอัลกุรอานด้วยความเข้าใจส่วนตัว ซึ่งนำไปสู่การกำเนิด นิกายทางเทววิทยา  หลายสาย
ท่านศาสดา (ศ็อล) เคยกล่าวไว้ใน หะดีษซะเกาะลัยน์ ว่า:
"إنی تارک فیکم الثقلین کتاب الله و عترتی أهل بیتی، ما إن تمسکتم بهما لن تضلوا أبداً"
“แท้จริงฉันได้ทิ้งสองสิ่งไว้ให้พวกท่าน คือ คัมภีร์ของอัลลอฮ์ และ ครอบครัวของฉัน (อะฮ์ลุลบัยต์) หากยึดมั่นในทั้งสอง ท่านจะไม่มีวันหลงทาง”
และท่านยังกล่าวอีกว่า:
"من کنت مولاه فهذا علی مولاه"
“ผู้ใดที่ฉันเป็นผู้ปกครองของเขา อะลีผู้นี้คือผู้ปกครองของเขา”
แต่น่าเสียดายที่หลังจากท่านศาสดาเสียชีวิต อุมมะฮ์อิสลามกลับไม่ยึดมั่นในคัมภีร์และอะฮ์ลุลบัยต์ แต่เลือกเดินตามอารมณ์และผลประโยชน์ตนเอง จนนำไปสู่การเกิดของนิกายต่าง ๆ และปัญหาที่ชาวมุสลิมต้องเผชิญในปัจจุบัน
ผลสรุปก็คือ:
จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า:
ศาสนาอิสลามโดยเนื้อแท้และดั้งเดิมไม่มีความแตกแยก แก่นแท้ของอิสลามคือการเรียกร้องให้สามัคคี ดังที่อัลกุรอานระบุไว้ว่า:
"وَاعْتَصِمُوا بِحَبْلِ اللَّهِ جَمیعاً وَ لا تَفَرَّقُوا"
"และจงยึดมั่นในสายเชือกของอัลลอฮ์ทั้งหมดเถิด และอย่าแตกแยกกัน" (อาลิ อิมรอน: 103)
ดังนั้นความแตกแยกที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากคำสอนของศาสนาแต่อย่างใด แต่เกิดจาก:
-ความไม่รู้ของชาวมุสลิมบางกลุ่ม
-บุคคลที่มีเจตนาแอบแฝง
-อิทธิพลของผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ
หากอุมมะฮ์อิสลามหันกลับไปสู่การยึดมั่นในอัลกุรอานและอะฮ์ลุลบัยต์ (อ) ความสามัคคีและเอกภาพจะสามารถฟื้นคืนมาได้อีกครั้ง
บทความโดย เชคยูซุฟ เพชรกาหรีม

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม