เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

สถานภาพของศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ)ผู้ควรค่าแห่งการสรรเสริญ

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

สถานภาพของศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ)ผู้ควรค่าแห่งการสรรเสริญ


พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวถึงสถานภาพอันสูงส่งของศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ในพระคัมภีร์อัลกุรอานทั้งโดยตรงและโดยนัย ซึ่งบทความนี้จะยกตัวอย่างบางตอนเพื่อพิจารณากัน:
สถานภาพที่หนึ่ง. สถานภาพแห่งการเป็นศาสดาท่านสุดท้าย
อัลกุรอานได้กล่าวไว้ว่า:
«ما کانَ مُحمَّدٌ أَبا أَحَدٍ مِنْ رِجالِکُمْ وَ لکِنْ رَسُولَ اللّهِ وَ خاتَمَ النَّبِیّین»
“มุฮัมมัดไม่ใช่บิดาของชายใดในหมู่พวกท่าน แต่เป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์ และเป็นผู้ปิดท้ายแห่งบรรดาศาสดา” (อัลอะห์ซาบ 33:40)
“خاتم” หมายถึง “ตราประทับ” ที่ใช้ปิดท้ายจดหมาย ซึ่งบ่งบอกว่าไม่มีข้อความใดตามมาอีก ดังนั้นการส่งศาสนทูตของพระองค์ได้ถูก “ปิดผนึก” ด้วยการมาของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) และไม่มีทางเปิดอีก นบูวะฮ์และริซาละฮ์ (การเป็นศาสดาและผู้ถูกแต่งตั้ง) ได้จบสิ้นลงโดยท่าน
จากโองการนี้สามารถเข้าใจได้ 2 ประเด็นสำคัญ:
1. ท่านศาสดา (ซ.ล.) มีคุณลักษณะพิเศษทั้งของศาสดาทั้งหลาย และยังมีคุณลักษณะที่ศาสดาองค์ก่อนหน้าไม่เคยมี
2. จนถึงวันกิยามะฮ์ จะไม่มีผู้ใดที่สมบูรณ์แบบไปกว่าท่านอีก  เพราะหากมีใครสมบูรณ์กว่าท่านศาสดานั้นคงได้รับเกียรติเป็น “خاتم النبیین” แทน
สถานภาพที่สอง. สถานภาพแห่งการเป็นบ่าวผู้สมบูรณ์แบบ
พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระผู้อภิบาลของมวลสรรพสิ่งและพระองค์ทรงอภิบาลทุกคนแตกต่างกัน เช่น บางคนอยู่ภายใต้พระนามหนึ่ง ๆ ของพระองค์ เช่น عبدالرزاق, عبدالکریم เป็นต้น แต่ศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ถูกเรียกว่า:
«عَبْدِهِ»  "บ่าวของพระองค์เอง"
ซึ่งหมายถึงการที่พระองค์ทรงอภิบาลท่านด้วยพระนามสูงสุด  พระนาม “هو” (พระองค์ผู้ทรงมีอยู่โดยสมบูรณ์)
และเมื่ออัลกุรอานกล่าวถึงบรรดานบีอื่น ๆ จะใช้คำว่า: «عَبْدَنا» เช่น:
«وَ اذْکُرْ عَبْدَنا اِبْراهیمَ وَ اِسْحقَ وَ یَعْقوبَ»
“และจงรำลึกถึงบ่าวของเรา คืออิบรอฮีม อิสฮาก และยะอฺกูบ...” (ศ๊อด 38:45)
แต่สำหรับท่านศาสดา (ซ.ล.) กลับใช้ว่า:
«عَبْدِهِ» แสดงถึงความเป็น “บ่าวของพระองค์โดยตรง” ซึ่งสูงกว่าคำว่า “عبدالله” อีก เพราะสื่อถึงความสัมพันธ์ตรงต่อ هویت مطلقه (ตัวตนอันสมบูรณ์ของอัลลอฮ์)
สถานภาพที่สาม. สถานภาพแห่ง “การมีอันดับสูงสุดในระเบียบของการมีอยู่” 
พระผู้เป็นเจ้าทรงสั่งให้ท่านศาสดากล่าวว่า:
«لا شَرِیکَ لَهُ وَ بِذلِکَ اُمِرْتُ وَ أَنَا أَوَّلُ الْمُسْلِمین»
“ไม่มีผู้ใดเป็นภาคีร่วมกับพระองค์ และข้าพเจ้าถูกสั่งให้กล่าวเช่นนี้ และข้าคือผู้ที่เป็นมุสลิมคนแรก” (อัลอันอาม 6:163)
คำว่า «أَوَّلُ الْمُسْلِمین» นี้ มีความหมายเชิงลึก มิใช่แค่ความหมายทางลำดับเวลา แต่คือ อันดับแรกในด้านสถานภาพการมีอยู่ (أولیت رتبی) ซึ่งไม่มีศาสดาองค์ใดได้รับการเรียกแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็น:
-อิบรอฮีม (อ) ทั้งที่เป็นหัวหน้าแห่งบรรดานบี
-นูห์ ผู้เป็น “เชคของศาสดาทั้งหลาย”
-อาดัม ผู้เป็นบิดาแห่งมนุษยชาติ
ไม่มีใครเลยที่พระเจ้าสั่งให้ประกาศว่า “ข้าคือมุสลิมคนแรก” แต่เฉพาะ ศาสดาอิสลาม (ซ.ล.) เท่านั้น
สิ่งนี้บ่งชี้ว่าท่านคือ สิ่งแรกที่ถูกสร้าง  และเป็นผู้ที่มีสถานภาพสูงสุดในระบบแห่งการดำรงอยู่ และในวันกิยามะฮ์ท่านจะเป็นคนแรกที่ถูกปลุกขึ้นจากหลุมศพ
สถานภาพที่สี่. สถานภาพของ “แบบอย่างอันดีงาม”
อัลกุรอานกล่าวถึงศาสดามุฮัมมัด (ศ) ว่าเป็นแบบอย่างอันประเสริฐสำหรับมนุษยชาติ:
«لَقَدْ كانَ لَكُمْ فِي رَسُولِ اللَّهِ أُسْوَةٌ حَسَنَةٌ»
"แท้จริงแล้ว ศาสนทูตของอัลลอฮ์เป็นแบบอย่างอันดีงามสำหรับพวกเจ้า" (อัลอะห์ซาบ 33:21)
อายะฮ์นี้มิได้จำกัดเฉพาะการเจริญรอยตามท่านในแง่มุมของจริยธรรม หรือบทบัญญัติทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงการดำเนินในเส้นทางของ วิลายะฮ์ (ความใกล้ชิดต่ออัลลอฮ์) การคบค้ากับมลาอิกะฮ์ในโลกเร้นลับการฟังการสดุดีของพวกเขา การรับวิชาจากพวกเขา และการได้รับการชี้แนะโดยตรงจากโลกแห่งเร้นลับเพราะท่านศาสดา (ศ) ได้ผ่านทุกเส้นทางเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ และจึงกลายเป็น แบบอย่างสำหรับทุกผู้คน
หากผู้ใดต้องการได้รับ "ฟัตห์มุบีน" (فتح مبین), "เกาซัร" (کوثر), "การขยายอก" (شرح صدر) หรือ "ชัยชนะอันใกล้" (فتح قریب) เขาต้องติดตามท่านศาสดา (ศ) ในระดับที่ตนเองสามารถทำได้
หากเราวิงวอนว่า:
 «رَبِّ اشْرَحْ لِي صَدْرِي»
“ข้าแต่พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ขอทรงขยายอกให้ข้าพระองค์เถิด” (ฏอฮา 20:25)
หนทางก็คือต้องเจริญรอยตามผู้ที่อกของเขาได้รับการขยายแล้วอย่างสมบูรณ์
สถานภาพที่ห้า:  สถานภาพของ “คุณธรรมอันยิ่งใหญ่” 
อัลลอฮ์ทรงยกย่องศาสดามุฮัมมัด (ศ) ถึงคุณธรรมอันประเสริฐของท่านว่า:
«وَ إِنَّكَ لَعَلَى خُلُقٍ عَظِيمٍ»
“แท้จริงเจ้าอยู่บนคุณธรรมอันยิ่งใหญ่” (บทอัลกอลัม 68:4)
โองการนี้ใช้โครงสร้างประโยคยืนยัน เพื่อเน้นว่าท่านศาสดา(ศ) มีคุณธรรมในระดับสูงสุด และเมื่อพระองค์ทรงใช้คำว่า “عظیم” กับบางสิ่ง  แสดงว่าสิ่งนั้นยิ่งใหญ่จริง เพราะโดยทั่วไปแล้ว อัลกุรอานมักกล่าวถึงโลกนี้หรือแผนการของชัยฏอนด้วยคำว่า “น้อย” หรือ “อ่อน” เช่น:
«مَتاعُ الدُّنْیا قَلِیل»  "ความเพลิดเพลินในโลกดุนยานั้นน้อย" (อันนิสาอ์ 4:77)
«إِنَّ كَيْدَ الشَّيْطانِ كانَ ضَعِيفاً» "แท้จริงแผนของชัยฏอนนั้นอ่อนยิ่ง" (อันนิสาอ์ 4:76)
แต่เมื่อตรัสถึงศาสดา (ศ) กลับกล่าวว่า ท่านคือผู้ที่มีทุกคุณลักษณะของจิตวิญญาณในระดับสูงสุด
สถานภาพที่หก:  สถานภาพของ “ความเมตตาและความอ่อนโยน”
“ความเมตตา” และ “ความอ่อนโยน” เป็นคุณลักษณะการกระทำ ของอัลลอฮ์ มิใช่คุณลักษณะเชิงตัวตน ซึ่งหมายความว่าคุณลักษณะเหล่านี้ปรากฏในระดับของโลกแห่งการกระทำ 
อัลลอฮ์ทรงแบ่งความเมตตา เป็นสองประเภท:
1. ความเมตตาครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง:
«رَحْمَتِي وَسِعَتْ كُلَّ شَيْءٍ»
“ความเมตตาของข้าแผ่คลุมทุกสรรพสิ่ง” (อัลอะอฺรอฟ 7:156)
2.  ความเมตตาเฉพาะต่อผู้ยำเกรง:
«فَسَأَكْتُبُها لِلَّذِينَ يَتَّقُونَ»
“เราจะเขียนความเมตตานั้นไว้สำหรับบรรดาผู้ยำเกรง” (อัลอะอฺรอฟ 7:156)
และศาสดามุฮัมมัด (ศ) คือ ผู้ที่แสดงออกถึงความเมตตาทั้งสองระดับ:
เป็นความเมตตาสำหรับสากลโลก:
«وَ ما أَرْسَلْناكَ إِلَّا رَحْمَةً لِلْعالَمِينَ
“และเราไม่ได้ส่งเจ้ามา นอกจากเพื่อเป็นความเมตตาแก่สากลโลก” (อัลอันบิยาอ์ 21:107)
และเป็นผู้มีความเมตตาพิเศษต่อผู้ศรัทธา:
«بِالْمُؤْمِنِينَ رَؤُوفٌ رَحِيمٌ
“ต่อบรรดาผู้ศรัทธานั้น ท่านเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนและความเมตตา” (อัตเตาบะฮฺ 9:128)
สถานภาพที่เจ็ด: สถานภาพอันสูงส่งของ “ริซาละฮ์” 
อัลลอฮ์ทรงมองว่าการแต่งตั้งศาสดาเป็นหนึ่งในความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด:
«لَقَدْ مَنَّ اللّهُ عَلَى الْمُؤْمِنِينَ إِذْ بَعَثَ فِيهِمْ رَسُولًا مِنْ أَنْفُسِهِمْ يَتْلُوا عَلَيْهِمْ آيَاتِهِ وَ يُزَكِّيهِمْ وَ يُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَ الْحِكْمَةَ…»
“แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงโปรดปรานต่อบรรดาผู้ศรัทธา โดยทรงส่งศาสนทูตจากหมู่พวกเขาเองมายังพวกเขา เพื่ออ่านโองการของพระองค์ให้พวกเขาฟัง ทำให้พวกเขาบริสุทธิ์ และสอนคัมภีร์และปรีชาญาณแก่พวกเขา...” (อาลิอิมรอน 3:164)
“مَنّ” คือการโปรดปรานยิ่งใหญ่ ซึ่งใช้กับความเมตตาที่มีค่าและยากแก่การแบกรับ เช่น “ริซาละฮ์” (การเป็นศาสนทูต)
พระองค์ไม่ใช้คำนี้กับความโปรดปรานทางวัตถุทั่วไป
สถานภาพที่แปด:  สถานภาพของ “อัสมาฮ์อัซซัม” ระดับสูงสุดแห่งการดำรงอยู่
อัลกุรอานกล่าวถึงผู้ศรัทธาว่า:
 «لَهُمْ دَرَجَاتٌ» — “พวกเขามีระดับขั้น” (อัตเตาบะฮฺ 9:20)
และ
«هُمْ دَرَجَاتٌ عِنْدَ اللَّهِ» — “พวกเขาเองคือลำดับชั้น ณ ที่อัลลอฮ์” (อาลิอิมรอน 3:163)
สถานภาพที่เก้า: สถานภาพของ “ความรู้โดยตรงจากพระเจ้า” 
ไม่มีใครเป็นผู้สอนศาสดามุฮัมมัด (ศ) ทั้งสิ้น อัลลอฮ์เท่านั้นที่ทรงประทานวิชาความรู้แก่ท่าน และวิชานั้นไม่ใช่ความรู้ผ่านประสาทสัมผัส (เช่น การได้ยินหรือการมองเห็น) แบบสามัญแต่เป็นวิชาที่ถูกประทานโดยตรงเข้าสู่หัวใจและจิตวิญญาณ ของท่าน:
«نَزَلَ بِهِ الرُّوحُ الْأَمِينُ * عَلَى قَلْبِكَ»
“ญิบรีลผู้ซื่อสัตย์ได้ลงมาพร้อมกับมัน (อัลกุรอาน) สู่หัวใจของเจ้า” (อัชชุอะรออ์ 26:193–194)
ในขณะที่ความรู้แบบมนุษย์ที่เรียกว่า (علوم حصولی) ต้องผ่านตาและหูภายนอกก่อน จากนั้นเข้าสู่ความคิด ทว่าศาสดา (ศ) กลับรับความรู้โดยตรงจากภายใน คือ หัวใจได้รับ “ความจริง” ก่อนแล้วจึงได้ยินเสียงหรือลักษณะภายนอกทีหลัง
ทั้งคำพูด และเนื้อหาของอัลกุรอานที่ท่านได้รับ จึงเป็นการประทานโดยตรงจากพระเจ้า (غیب) และถือเป็นอัศจรรย์ทั้งด้านภาษาศาสตร์และเนื้อหาสาระ ซึ่งผิดแผกจากวิธีรับรู้ของมนุษย์ทั่วไป
และพระองค์อัลลอฮ์ตรัสว่า:
«فَأَوْحى إِلَىٰ عَبْدِهِ مَا أَوْحى»
“แล้วพระองค์ทรงประทานโองการ (วะฮีย์) แก่บ่าวของพระองค์ตามที่พระองค์ทรงประสงค์” (อันนัจญ์ม 53:10)
การประทานวะฮีย์ในระดับนี้สูงส่งและพ้นจากการจำกัดของภาษาสัญลักษณ์ หรือสื่อกลางใด ๆ มันคือความรู้ที่เรียกว่า علم لدنی (ความรู้ที่มาจาก)  “لدن” คือ ใกล้ชิดกับอัลลอฮ์โดยตรง
 «إِنَّكَ لَتُلَقَّىٰ مِن لَّدُنْ حَكِيمٍ عَلِيمٍ»
“แท้จริงเจ้าได้รับ (โองการ) จากผู้ทรงปรีชา ผู้ทรงรอบรู้” (อัลนัมล์ 27:6)
ซึ่งระดับนี้ อยู่เหนือคำจำกัดความใด ๆ ในภาษายิว อาหรับ หรือแบบบัญญัติของมนุษย์ทั้งสิ้น
สถานภาพที่สิบ:  สถานภาพของ “ความบริสุทธิ์จากความผิดพลาด (อิศมะฮฺ)” 
สถานภาพของ ‘อิศมะฮฺ หรือความบริสุทธิ์ของท่านศาสดา (ศ) แบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก:
1- ความบริสุทธิ์ทางวิชาการ
ศาสดามุฮัมมัด (ศ) และบรรดานบีทั้งหมด ล้วนได้รับการปกป้องจากความผิดพลาดในการเรียนรู้ การรักษา และการถ่ายทอดวะฮีย์
ความบริสุทธิ์ทางวิชาการนี้ ไม่อาจบรรลุได้หากไม่มี “การประจักษ์แจ้งโดยตรง” เพราะจินตนาการของมนุษย์อาจสอดแทรกข้อมูลผิดพลาดได้เสมอ
หากบุคคลใดสามารถดำรงอยู่ใน “เขตบริสุทธิ์ของเหตุผล” โดยปราศจากการรบกวนของอารมณ์และจินตนาการ จะสามารถมีภูมิคุ้มกันทางวิญญาณ และเป็น “ผู้บริสุทธิ์” ได้
อัลลอฮ์ตรัสถึงศาสดา(ศ)ว่า:
«إِنَّكَ لَمِنَ الْمُرْسَلِينَ * عَلَىٰ صِرَاطٍ مُّسْتَقِيمٍ»
“แท้จริงเจ้าเป็นหนึ่งในบรรดาศาสนทูต และอยู่บนทางอันเที่ยงตรง” (ยา-ซีน 36:3–4)
ผู้ที่เป็น “ทางอันเที่ยงตรง” เองย่อมพ้นจากการหลงผิดโดยสิ้นเชิง
2- ความบริสุทธิ์ทางการกระทำ
การมี อิศมะฮฺทางการกระทำ คือ ผู้ที่สามารถควบคุมอารมณ์ โลภ โกรธ และตัณหาได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อบุคคลนั้นบรรลุถึง ความจริงใจอย่างบริสุทธิ์ 
เมื่อบุคคลใดเข้าสู่ “เขตปลอดภัยของความบริสุทธิ์ใจ” เขาจะอยู่ภายใต้ การปกป้องของอัลลอฮ์ โดยสมบูรณ์ และชัยฏอนเองยังยอมรับว่าไม่สามารถล่อลวงคนเหล่านี้ได้:
«إِلَّا عِبَادَكَ مِنْهُمُ الْمُخْلَصِينَ»
“เว้นแต่บ่าวของพระองค์จากหมู่พวกเขาที่บริสุทธิ์ใจ” (ซอด 38:83)
3- ศักดิ์ศรีพิเศษของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ที่ปรากฏในอัลกุรอาน
อัลกุรอานได้กล่าวถึงคุณธรรมพิเศษ ของท่านศาสดา (ศ) ซึ่งไม่สามารถเทียบกับมนุษย์คนใด ทั้งอดีตและอนาคต
ต่อไปนี้คือตัวอย่างบางประการ:
1. คำพูดของท่าน คือ วะฮีย์จากอัลลอฮ์
คำพูด ความเงียบ พฤติกรรม และแม้แต่ท่าทีของท่านศาสดา ﷺ นั้น ล้วนเป็นวะฮีย์ เพราะว่า:
«وَما يَنطِقُ عَنِ الْهَوَى * إِنْ هُوَ إِلَّا وَحْيٌ يُوحَى»
“และเขา (มุฮัมมัด) มิได้พูดออกจากอารมณ์ของตนเอง สิ่งที่เขาพูดนั้นมิใช่อื่นใดนอกจากวะฮีย์ที่ถูกประทาน” (อันนัจญ์ม 53:3–4)
อายะฮ์นี้ชี้ให้เห็นว่าแม้แต่ ซุนนะฮฺ (แบบอย่าง) และ สรีเราะฮฺ (ประวัติศาสตร์ชีวิต) ของท่านก็อยู่ภายใต้การควบคุมของวะฮีย์  ไม่ใช่เพียงแค่การอ่านอัลกุรอานเท่านั้น
หากมีผู้สงสัยว่าอายะฮ์นี้หมายถึงเฉพาะ “คำพูด” เท่านั้น ยังมีโองการอื่นที่อธิบายชัดเจนว่า ท่านศาสดา (ศ) ไม่ทำสิ่งใดนอกจากสิ่งที่วะฮีย์ได้กำหนด:
 «إِنْ أَتَّبِعُ إِلَّا مَا يُوحَى إِلَيَّ»
“ฉันมิได้ปฏิบัตินอกจากในสิ่งที่ถูกวะฮีย์แก่ฉันเท่านั้น” (อัลอันอาม 6:50)
เมื่อพระองค์ได้กล่าวถึงความสูงส่งของท่านขนาดนี้ มุสลิมจะไม่ยกย่องและเชิดเกียรติท่านได้อย่างไรกันเล่า?
บทความโดย เชคยูซุฟ เพชรกาหรีม

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม