นุบูวะฮ์เฉพาะ
นุบูวะฮ์เฉพาะ | مباحث النبوّةُ الخاصّة ]
ศาสนทูตแห่งอิสลาม คือนบีองค์สุดท้าย และการสืบทอดบทบาทสู่ระบอบ “วิลายะตุลฟะกิห์” (ولاية الفقيه)
━━━━━━━⊰◇⊱━━━━━━━━
نبي الاسلام خاتم الانبياء
⚜️ ศาสนทูตแห่งอิสลาม ผู้เป็นนบีองค์สุดท้าย |خاتمية النبوة
ศาสนทูตแห่งอิสลาม คือ นบีองค์สุดท้ายของอัลลอฮ์ ผู้ซึ่งการปรากฏของท่านได้ปิดฉากสายธารแห่งนุบูวะฮ์ (การเป็นนบี) และนี่ถือเป็น "ضرورات الدّين الاسلامي" — สิ่งที่จำเป็นแห่งศาสนาอิสลาม
คำว่า สิ่งที่จำเป็น (الضرورة) ในที่นี้หมายถึงว่า เมื่อใครก็ตามเข้ามาอยู่ท่ามกลางมุสลิม ย่อมตระหนักได้ทันทีว่ามุสลิมทุกคนมีความเชื่อเหมือนกันในประเด็นนี้ และถือเป็นสิ่งที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับโดยปริยายในสังคมมุสลิม เช่นเดียวกับที่ทุกคนซึ่งคุ้นเคยกับมุสลิมย่อมทราบว่าพวกเขายืนยันหลักการ “เอกภาพแห่งพระผู้เป็นเจ้า (เตาฮีด)” ก็เช่นเดียวกัน ทุกคนจะรู้ว่ามุสลิมเชื่อมั่นตรงกันว่า ศาสนทูตแห่งอิสลาม ศ. คือ นบีองค์สุดท้าย และไม่มีมุสลิมคนใดคาดหวังการมาของนบีองค์ใหม่อีกต่อไป
แท้จริงแล้ว มนุษยชาติได้ก้าวผ่านลำดับชั้นของพัฒนาการและความสมบูรณ์ในรูปแบบต่าง ๆ มามากมาย จนกระทั่งถึงขั้นที่สามารถยืนหยัดด้วยตนเอง กล่าวคือ สามารถจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยการยึดมั่นตามบทบัญญัติอิสลามที่ครอบคลุมและสมบูรณ์
กล่าวอีกนัยหนึ่ง อิสลามคือ “บทบัญญัติขั้นสุดท้าย” ในห้วงแห่งความเจริญงอกงามและวุฒิภาวะของมนุษยชาติ โดยในแง่ความเชื่อนั้น อิสลามได้บรรลุสู่ความสมบูรณ์ในเนื้อหา และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์ได้ในทุกกาลสมัย
หลักฐานที่ชี้ว่านบีมุฮัมมัด ศ. คือ นบีองค์สุดท้าย
มีหลักฐานมากมายในการยืนยันข้อนี้ โดยหลัก ๆ ได้แก่:
1. ความเป็นสิ่งจำเป็นแห่งศาสนา
ดังที่กล่าวแล้วว่า ผู้ใดก็ตามที่ได้สัมพันธ์กับมุสลิมไม่ว่าที่ใดในโลก ย่อมรับรู้ว่ามุสลิมมีความเชื่อว่านบีมุฮัมมัด ศ. คือ นบีองค์สุดท้าย ดังนั้น หากใครยอมรับอิสลามด้วยเหตุผลและหลักฐานอันมั่นคง เขาก็จำเป็นต้องยอมรับหลักการ “การปิดฉากแห่งนุบูวะฮ์” ด้วยเช่นกัน และหากเราเชื่อมั่นในความจริงแท้ของศาสนาอิสลามด้วยหลักฐานเพียงพอ ก็ย่อมต้องยอมรับความจริงที่ว่านบีแห่งอิสลามคือ นบีองค์ปิดท้าย
2. โองการอัลกุรอานที่ยืนยัน
อัลลอฮ์ตรัสว่า:
ما كَانَ مُحَمَّدٌ أبا أحَد مِنْ رِجالِكُم وَلكِنْ رَسُولَ اللهِ وَخاتَمَ النَّبِيينَ
มุฮัมมัดมิใช่บิดาของชายใดในหมู่พวกท่าน หากแต่เป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์ และเป็นนบีองค์สุดท้าย” (อัลอะห์ซาบ : 40)
โองการนี้ถูกประทานลงมาในช่วงที่หมู่ชาวอาหรับมีธรรมเนียมการรับบุตรบุญธรรมและถือเสมือนบุตรแท้ ๆ ของตน เช่นเดียวกับกรณีของ ซัยด์ ผู้ที่ท่านนบี ศ. เคยอุปการะเป็นบุตรบุญธรรม กระนั้นอิสลามได้ลบล้างธรรมเนียมดังกล่าว และย้ำว่าบุตรบุญธรรมมิอาจมีสิทธิ์เช่นเดียวกับบุตรโดยสายเลือด
ดังนั้น โองการจึงชี้ให้มุสลิมขนานนามท่านนบีในสองสถานะที่แท้จริงของท่าน คือ “ศาสนทูตของอัลลอฮ์” และ “นบีองค์สุดท้าย” อันเป็นสิ่งที่มุสลิมในยุคนั้นยอมรับโดยเอกฉันท์
ความหมายของ “การเป็นนบีองค์สุดท้าย”
คำว่า คอติม (خاتم) มาจากรากศัพท์ คอตมน (ختم) หมายถึง “การสิ้นสุด” หรือ “การปิดฉาก” เปรียบเหมือนตราประทับที่ใช้ปิดท้ายจดหมายในสมัยโบราณ ซึ่งต่อมา คำว่า คอติม จึงถูกใช้เรียกแหวนที่สวมบนนิ้ว เนื่องจากหัวแหวนมักถูกแกะสลักชื่อหรือสัญลักษณ์ไว้ เพื่อใช้ในการประทับตราบนเอกสารสำคัญ และแต่ละตราก็เป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคล
ในรายงานศาสนาเล่าว่า เมื่อท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ. ประสงค์จะส่งสารเชิญกษัตริย์และผู้นำแห่งยุคนั้นเข้าสู่อิสลาม มีผู้กราบทูลว่าธรรมเนียมของกษัตริย์ต่างชาติคือจะไม่รับสารใด ๆ หากไม่มีตราประทับ เนื่องจากก่อนหน้านั้นสารของท่านยังไม่มีตราประทับ ท่านจึงมีคำสั่งให้แกะสลักถ้อยคำว่า “ลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮ์ มุฮัมมัด รอซูลุลลอฮ์” ลงบนหัวแหวน และตั้งแต่นั้นท่านก็ใช้แหวนนี้เป็นตราประทับในสารทุกฉบับ
ดังนั้น ความหมายดั้งเดิมของคำว่า คอติม ก็คือ “การปิดท้ายและการสิ้นสุด” นั่นเอง
3. หลักฐานหะดีษที่ยืนยันการเป็นนบีองค์สุดท้าย
มีหะดีษมากมายที่ชี้ชัดว่านบีมุฮัมมัด ศ. คือ นบีองค์สุดท้ายและเป็นผู้ปิดฉากนบีทั้งหลาย เช่น หะดีษที่เชื่อถือได้รายงานจากท่านญาบิร บิน อับดิลลอฮ์ อันศอรี เล่าว่ารอซูลุลลอฮ์ ศ. กล่าวว่า:
مِثْلِي بَيْنَ الأَنْبِيَاءِ كَمِثْلِ مَنْ بَنَى دَارًا كَامِلَةً لا تَنْقُصُهَا إِلَّا آجِرَةً وَاحِدَةً، فَمَنْ دَخَلَهَا أُعْجِبَ بِجَمَالِهَا وَلَكِنْ يَعِيبُهَا هَذَا النَّقْصُ. فَأَنَا تِلْكَ الآجِرَةُ النَّاقِصَةُ وَالأَنْبِيَاءُ خُتِمُوا بِي
เปรียบฉันท่ามกลางบรรดานบี ก็เสมือนผู้ที่สร้างบ้านหลังหนึ่งซึ่งสมบูรณ์ทุกประการ ไม่ขาดสิ่งใด เว้นแต่ก้อนอิฐเพียงก้อนเดียว ผู้ใดเข้ามาในบ้านก็พากันชื่นชมความงดงาม แต่ก็ตำหนิว่าเหตุใดจึงขาดก้อนอิฐนั้นไป และฉันนี่แหละคือก้อนอิฐก้อนสุดท้าย และบรรดานบีทั้งหลายก็สิ้นสุดลงที่ฉัน”
ท่านอิมามซอดิก อ. กล่าวว่า:
حلال محمد حلال أبداً الى يوم القيامة وحرامه حرام أبداً الى يوم القيامة
สิ่งที่นบีมุฮัมมัดถือว่าฮะลาล ก็เป็นฮะลาลตลอดกาลจนถึงวันกิยามะฮ์ และสิ่งที่ท่านถือว่าฮะรอม ก็เป็นฮะรอมตลอดกาลจนถึงวันกิยามะฮ์
อีกทั้งยังมีหะดีษที่ถูกรายงานทั้งฝ่ายชีอะฮ์และซุนนีว่า ท่านนบี กล่าวแก่ท่านอะลี อ. :
أنت منّي بمنزلة هارون من موسى إلاّ أنَّه لا نبيّ بعدي
เจ้ามีสถานะต่อฉันเสมือนฮารูนมีต่อมูซา เว้นเสียแต่ว่าจะไม่มีนบีหลังจากฉัน
ข้อสงสัยเกี่ยวกับ “การปิดฉากนุบูวะฮ์”
1. ทำไมอัลลอฮ์จึงหยุดส่งนบี?
มีผู้ตั้งคำถามว่า “การส่งนบีมาคือความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ แล้วเหตุใดมนุษย์ในยุคนี้จึงถูก ‘ตัดขาด’ จากความเมตตานี้? เหตุใดพวกเขาจึงไม่ได้รับการชี้นำจากนบีใหม่?
คำตอบคือ ผู้ที่คิดเช่นนี้ได้ละเลยประเด็นสำคัญไป นั่นคือ การที่ไม่มีนบีองค์ใหม่หลังจากนบีมุฮัมมัด ศ. มิใช่เพราะมนุษย์ในยุคนี้ไร้คุณค่า แต่เป็นเพราะ “ขบวนการของมนุษยชาติ” ได้บรรลุถึงระดับของวุฒิภาวะและความตระหนัก ที่เพียงยึดมั่นบทบัญญัติอิสลามก็สามารถดำรงแนวทางแห่งการพัฒนาได้โดยลำพัง
เพื่อให้เข้าใจง่าย ลองพิจารณา บรรดานบีผู้มีปณิธานมั่นคง (อุลุลอัซม์) ซึ่งมีห้าท่าน ได้แก่ นูห์ อิบรอฮีม มูซา อีซา และมุฮัมมัด อ. แต่ละท่านได้รับภารกิจในยุคสมัยของตน นำมนุษยชาติจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่ง จนกระทั่งขบวนการของมนุษยชาติมาถึง “เส้นชัยสุดท้าย” ซึ่งสามารถเดินต่อไปได้เอง เปรียบเสมือนนักเรียนที่เรียนจบครบทุกระดับชั้น ตั้งแต่ประถม มัธยม จนถึงปริญญาเอก แม้ว่าเขาจะไม่ต้องมีครูอีกต่อไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาสิ้นสุดการเรียนรู้ ตรงกันข้าม เขามีศักยภาพที่จะศึกษาต่อไปด้วยตนเอง
ฉะนั้น มนุษยชาติในยุคหลังนบีมุฮัมมัด ก็เปรียบเสมือน “ผู้สำเร็จการศึกษา” ที่สามารถเดินหน้าแก้ปัญหาและพัฒนาตนเอง ด้วยทุนรากฐานจากบทบัญญัติอิสลามอันสมบูรณ์
2. เมื่อสังคมมนุษย์เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ กฎหมายอิสลามที่ “คงที่” จะตอบโจทย์ได้อย่างไร?
⚜️ คำตอบคือ ในอิสลามมีสองลักษณะของบทบัญญัติ:
บทบัญญัติถาวร — เปรียบเสมือนคุณสมบัติพื้นฐานของมนุษย์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง เช่น การศรัทธาในเอกภาพของพระเจ้า การดำรงความยุติธรรม การต่อสู้กับความอยุติธรรม การละเมิด และการรุกราน สิ่งเหล่านี้ไม่อาจแปรเปลี่ยนตามกาลเวลา
บทบัญญัติทั่วไปเชิงหลักการ — ประกอบด้วยกฎเกณฑ์กว้าง ๆ ที่สามารถปรับใช้ตามเงื่อนไขของแต่ละยุคสมัย
เช่น หลักการ “จงรักษาสัญญา” (أوفوا بالعقود) แม้กาลเวลาจะสร้างสัญญารูปแบบใหม่ ๆ ทั้งในด้านสังคม การค้า หรือการเมือง แต่หลักการนี้ก็ยังคงใช้ได้ในทุกกรณี
อีกตัวอย่างคือ “หลักการไม่ก่อให้เกิดอันตราย” (قاعدة لا ضرر) หมายถึง ทุกกฎเกณฑ์หรือกฎหมายใด ๆ ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อปัจเจกบุคคลหรือสังคม จะต้องถูกจำกัดและแก้ไข หลักการนี้สามารถป้องกันการละเมิดสิทธิและแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างยั่งยืน
ในอิสลามยังมีหลักการทั่วไปอีกมากมายในลักษณะนี้ ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์แก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนที่สุดในชีวิตสังคมได้ในทุกยุคทุกสมัย
3- ความจำเป็นของการมีผู้นำหลังการสิ้นสุดของนบี
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในประเด็นต่าง ๆ ของอิสลาม มนุษย์ยังคงต้องการ ผู้นำชี้นำ และเมื่อไม่มีนบีหรือผู้สืบทอดนบี การนำทางของสังคมอิสลามก็อาจชะงักงันไปได้ ดังนั้นการสิ้นสุดของนุบูวะฮ์ด้วยนบีมุฮัมมัด ศ. จะไม่ก่อให้เกิดความคาดหวังต่อการมาของนบีองค์ใหม่ แต่หลายคนอาจตั้งคำถามว่า “สิ่งนี้จะทำให้สังคมอิสลามสูญเสียการชี้นำหรือไม่?”
คำตอบคือ สถานการณ์นี้ ได้รับการเตรียมพร้อมไว้แล้วจากอิสลาม ผ่านหลักการ “วิลายะตุลฟากีห์” (ولاية الفقيه) ซึ่งมอบสิทธิ์การเป็นผู้นำแก่ผู้รู้และปฏิบัติตามหลักศาสนาอย่างครบถ้วน ผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนเหล่านี้ต้องประกอบด้วย:
ความรู้ ด้านศาสนาและสังคม
ตักวา (ความยำเกรงต่ออัลลอฮ์)
วิสัยทัศน์ทางการเมือง ในระดับสูง
อิสลามได้วางแนวทางในการระบุและรู้จักผู้นำประเภทนี้ไว้อย่างชัดเจนในกฎหมายและบทบัญญัติของศาสนา ดังนั้น ไม่มีเหตุผลใดที่สังคมอิสลามจะต้องวิตกกังวล
ด้วยเหตุนี้ หลักการ “วิลายะตุลฟากีห์” จึงถือเป็น การสืบทอดแนวทางของบรรดานบีและผู้สืบทอดของท่าน อ. การนำของผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนนี้จึงเป็นหลักฐานชัดเจนว่า สังคมอิสลามไม่ได้ถูกทิ้งไว้โดยปราศจากการดูแลและการชี้นำ
บทความโดย เชคอันศอร เหล็มปาน

