เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

รู้จักอะลุลบัยต์ ตอนที่ 1 คุณธรรมและความประเสริฐของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ในซิยารัตญามิอะฮ์ กะบีเราะฮ์

1 ทัศนะต่างๆ 05.0 / 5

 

รู้จักอะลุลบัยตฺ ตอนที่ 1 คุณธรรมและความประเสริฐของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ในซิยารัตญามิอะฮ์ กะบีเราะฮ์

 

แท้จริงแล้วอะฮ์ลุลบัยต์ (อ) คือ ปวงบ่าวผู้ประเสริฐและสูงส่งที่สุดของอัลลอฮ์ (ซบ.) การจะรู้จักและเข้าใจความยิ่งใหญ่ของท่านเหล่านี้ได้อย่างแท้จริงต้องเรียนรู้จากคำสอนของพวกท่านเอง และหนึ่งในแหล่งคำสอนที่สำคัญที่สุดคือ “ซิยารัตญามิอะฮ์ กะบีเราะฮ์” ซึ่งถ่ายทอดมาจากอิมามฮาดีย์(อ.) เนื้อหาในซิยารัตนี้ได้รวบรวมคำอธิบายถึงคุณสมบัติและความสมบูรณ์แบบของบรรดาอิมาม (อ) ไว้อย่างลึกซึ้งและครอบคลุมที่สุด


บทความนี้จะนำเสนอโดยสรุปถึงบางส่วนของคุณธรรมและสถานะของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ) ที่กล่าวไว้ในซิยารัตญามิอะฮ์ กะบีเราะฮ์
1- พวกเขาคือวงศ์วานแห่งนุบูวะฮ์:
ตอนต้นของซิยารัตญามิอะฮ์กะบีเราะฮ์ ได้กล่าวถึงบรรดาอิมามในฐานะว่าเป็น
“أَهْلَ بَيْتِ النُّبُوَّةِ” — วงศ์วานแห่งนุบูวะฮ์ (วงศ์วานแห่งการเป็นศาสนทูต)
คำว่า “อะฮ์ลุลบัยต์” (أهل البيت) ปรากฏในอัลกุรอานและซุนนะฮ์โดยมีความหมายเฉพาะทางศาสนาหมายถึงกลุ่มบุคคลที่ได้รับการยกย่องโดยเฉพาะซึ่งได้แก่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ), อิมามอะลี (อ.), ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ.), และ บรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) หลังจากนั้น
หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคืออายะฮ์อัตตัฏฮีร (آیة التطهیر) ซึ่งอัลลอฮ์ตรัสไว้ว่า:
«إِنَّمَا يُرِيدُ اللَّهُ لِيُذْهِبَ عَنْكُمُ الرِّجْسَ أَهْلَ الْبَيْتِ وَيُطَهِّرَكُمْ تَطْهِيرًا»
“แท้จริงอัลลอฮ์ทรงประสงค์ที่จะขจัดสิ่งโสมมทั้งปวงออกจากพวกท่านโอ้อะฮ์ลุลบัยต์และทรงทำให้พวกท่านสะอาดบริสุทธิ์อย่างแท้จริง” (อัลอะฮ์ซาบ /33)
ดังนั้นคำว่า “อะฮ์ลุลบัยต์” ในที่นี้หมายถึงเฉพาะ ท่านนบีมุฮัมมัดและวงศ์วานของท่าน (อ.) เท่านั้น 
ความหมายของคำว่า “บัยต์” (بیت)
คำว่า บัยต์ หมายถึง “เรือน” หรือ “สถานที่พักอาศัย” ซึ่งสื่อถึงทั้งการพักกายและความสงบทางใจมนุษย์ได้รับความปลอดภัยจากศัตรูและภัยรอบด้านภายในเรือนของตน
ในแง่เชิงนามธรรมคำว่า บัยต์ ยังใช้เพื่อสื่อถึง “ที่พำนักของคุณธรรม” เช่นการกล่าวว่า “เขาเป็นผู้มาจากเรือนแห่งความรู้และความยำเกรง” หมายถึง ผู้ที่มีคุณธรรมเหล่านั้นหยั่งรากในตัวเขา
ดังนั้นเมื่อกล่าวว่า “อิมามทั้งหลายคือ บัยต์แห่งนุบูวะฮ์” จึงหมายความว่าพวกท่านเป็นสถานที่พำนักของความจริงแท้แห่งการเป็นศาสนทูตเป็นที่เก็บรักษาความลับและสาระแห่งนุบูวะฮ์ซึ่งมิได้เปิดเผยแก่บุคคลทั่วไปนอกจากผู้มีคุณสมบัติอันเหมาะสม
2- พวกเขาคือตำแหน่งแห่งริซาละฮ์:
ในซิยารัตญามิอะฮ์กะบีเราะฮ์ ยังมีวลีที่ระบุว่า อะฮ์ลุลบัยต์ (อ) คือ
“مَوْضِعَ الرِّسَالَةِ” — ตำแหน่งแห่งเราะซาละฮ์ (สถานที่ของการเป็นศาสนทูต)
คำว่า “เมาดิอ์” (موضع) หมายถึง “ภาชนะ” หรือ “ที่รองรับ” ซึ่งในที่นี้หมายถึงผู้ที่รองรับภารกิจแห่งเราะซาละฮ์ทั้งทางกายและทางจิตวิญญาณบ้านของท่านเหล่านี้คือ “บ้านแห่งริซาละฮ์” และตัวท่านเองคือ “ที่พำนักของเราะซาละฮ์แห่งอัลลอฮ์” 
ในเชิงความหมายที่ลึกซึ้ง “ริซาละฮ์” มิได้จบลงที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) เท่านั้นแต่ยังดำรงอยู่ในบรรดาอิมาม (อ) ซึ่งเป็นผู้สืบต่อภารกิจแห่งการชี้นำตามพระบัญชาของอัลลอฮ์การแต่งตั้งท่านเหล่านี้มิใช่ด้วยการเลือกตั้งของมนุษย์ หากแต่เป็นการแต่งตั้งโดยตรงจากพระผู้เป็นเจ้าผ่านการประกาศของศาสดา
ดังนั้นแม้ว่าท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้จากโลกนี้ไปแล้วแต่ศาสนาอิสลามยังคงดำรงอยู่ตลอดกาลและมนุษย์ยังคงต้องการผู้นำทางศาสนาผู้สืบทอดวิชาความรู้และจิตวิญญาณแห่งเราะซาละฮ์ ซึ่งก็คือบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ)
3- พวกเขาคือสถานที่ที่เทวทูตไปมาอยู่ตลอด: (مَحَلُّ مَجِيءِ المَلَائِكَةِ وَذَهَابِهِمْ)
หนึ่งในคุณลักษณะอันประเสริฐของบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ที่ถูกกล่าวถึงใน ซิยารัตญามิอะฮ์กะบีเราะฮ์ คือพวกท่านเป็น “สถานที่ไปมาของเทวทูต” (مختلف الملائکه). ข้อความนี้ยังปรากฏอยู่ในตำราของอะฮ์ลุซซุนนะฮ์ด้วยเช่นกัน
จากถ้อยคำในซิยารัตฯ เข้าใจได้ว่าตัวตนอันบริสุทธิ์ของอิมาม (อ.) เอง คือ “สถานทีไปมาของมลาอิกะฮ์” ไม่ใช่เพียงบ้านของพวกท่านหรือบ้านของท่านนบี (ศ็อลฯ) เท่านั้น แม้บ้านของพวกท่านย่อมเป็นสถานที่ที่เทวทูตไปมาอยู่แล้วก็ตาม แต่ในที่นี้เน้นไปที่ความเป็นจริงแห่งภายในและจิตวิญญาณของท่านอิมาม ซึ่งเป็นศูนย์รวมแห่งการติดต่อของเทวทูต
คำว่า «مختلف الملائکه» หมายถึง สถานที่ที่เทวทูตไปมาอยู่เสมอหมู่หนึ่งมาถึงในขณะอีกหมู่หนึ่งกลับขึ้นไปหรือแต่ละองค์ไปมาโดยลำดับทั้งหมดนี้ชี้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างอิมาม (อ.) กับเหล่าเทวทูตที่มีอยู่ตลอดเวลา
ในคำเทศนาของท่านอิมามฮะซัน มุจตะบา (อ.) หลังจากการเป็นชะฮีดของอมีรุลมุอ์มินีน อะลี (อ.) ที่เมืองกูฟะฮ์ ซึ่งรายงานไว้ในตำราของทั้งสองฝ่าย (ชีอะฮ์และสุนนี) ท่านได้กล่าวว่า:
«أَنَا مِنْ أَهْلِ الْبَیْتِ الَّذِی كَانَ یَنْزِلُ فِیهِ جَبْرَئِیلُ وَیَصْعَدُ»
“ข้าคือผู้หนึ่งจากอะฮ์ลุลบัยต์ ที่ญิบรีลเคยลงมายังพวกเราและขึ้นจากพวกเรา”
เป็นที่แน่นอนว่าเทวทูตทั้งหลายยังคงไปมายังท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ในยุคปัจจุบัน และนำเสนอการกระทำของมนุษย์ต่อท่านในคืนลัยละตุลก็อดรฺเทวทูตจะลงมาพบอิมามในยุคของตนซึ่งสอดคล้องกับอายะฮ์อัลกุรอานว่า:
تَنَزَّلُ الْمَلَائِكَةُ وَالرُّوحُ فِيهَا بِإِذْنِ رَبِّهِمْ مِنْ كُلِّ أَمْرٍ
“บรรดาเทวทูตและอัรรูห์จะลงมาในคืนนั้น ด้วยพระบัญชาของพระผู้อภิบาลของพวกเขา เพื่อจัดการในทุกกิจการ”(อัลกุรอาน, สูเราะฮ์ อัลก็อดรฺ /4)
มีรายงานมากมายในตำราเช่น กามิลุซซิยาราต ระบุว่ามีเทวทูตบางส่วนที่ถูกมอบหมายให้ดูแลสุสานของอิมามโดยเฉพาะ โดยเฉพาะสุสานของท่านซัยยิดุชชุฮะดาอ์ อิมามฮุเซน (อ.) ซึ่งเทวทูตเหล่านี้ได้ไปๆมาๆอยู่เสมอ ทั้งเพื่อการซิยารัตและเพื่อทำหน้าที่ของตน
ในรายงานอื่นกล่าวว่าหลังจากการวะฟาตของท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ) เทวทูตยังคงมีการติดต่อกับอะฮ์ลุลบัยต์โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์อัซซะฮ์รออ์ (อ.) และถ่ายทอดความรู้แก่ท่านซึ่งท่านอะลี (อ.) เป็นผู้บันทึกไว้ เรียกว่าหนังสือมุศฮัฟ ฟาฏิมะฮ์ (อ) และด้วยเหตุนี้ท่านหญิงจึงได้รับสมญาว่า “มุหัดดิษะฮ์” (ผู้ที่เทวทูตพูดกับเธอ)
สิ่งเหล่านี้ไม่ถือเป็นการกล่าวเกินจริงหรือ “ฆุลูว์” (การยกย่องเกินขอบเขต) เพราะเหตุการณ์ในลักษณะนี้มีรายงานอยู่ในตำราของอะฮ์ลุซซุนนะฮ์เช่นกันตัวอย่างเช่นในอัสดุลฆอบะฮ์ และ อัลอิสติอ์อาบ ได้บันทึกไว้ว่า:
«كَانَتِ الْمَلَائِكَةُ تُسَلِّمُ عَلَیْهِ؛ كَانَتِ الْحَفَظَةُ تُكَلِّمُهُ»
“เทวทูตเคยกล่าวสลามต่อเขา และเทวทูตผู้พิทักษ์ยังสนทนากับเขา”
ถ้าหากอิหม่ามอิมรอน บิน ฮุศ็อยน์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเศาะฮาบะฮ์ของท่านนบี (ศ็อลฯ) สามารถมีความสัมพันธ์ในระดับนี้กับเทวทูตได้แล้วไซร้ ก็ยิ่งไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้สำหรับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รออ์ (อ) ผู้เป็นบุตรสาวของท่านนบี (ศ็อลฯ) และเป็น “ซัยยิดะตุนนิซาอ์ อะฮ์ลิลญันนะฮ์” (ผู้นำสตรีแห่งสรวงสวรรค์)
ดังนั้นคำว่า مختلف الملائکه ยังสื่อถึงความต่อเนื่องของความสัมพันธ์นี้ตลอดกาลเทวทูตมีความเกี่ยวข้องกับอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) อยู่ตลอดเวลาแม้ก่อนการสร้างโลกด้วยซ้ำเนื่องจากมีรายงานว่าเทวทูตได้เรียนรู้การสรรเสริญ และการสรรเกียรติพระผู้เป็นเจ้าจากอิมาม (อ.)
4- พวกเขาคือแหล่งแห่งความเมตตาและความรัก: (مَعدَنُ الرَّحمَةِ وَالمَحَبَّةِ)
ในซิยารัตญามิอะฮ์กะบีเราะฮ์ได้กล่าวถึงอีกคุณลักษณะหนึ่งของอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ว่า พวกท่านคือ
“مَعْدِنُ الرَّحْمَةِ” — แหล่งแห่งความเมตตา
นั่นหมายความว่าอิมาม (อ.) เป็นที่สถิตของความเมตตาและความเอ็นดูของอัลลอฮ์ (ซบ.) ในบางรายงานยังเรียกบ้านของพวกท่านว่า “بَیتُ الرَّحمَةِ” (บ้านแห่งความเมตตา) และแม้แต่ตำราของอะฮ์ลุซซุนนะฮ์ก็มีการบันทึกไว้เช่นกัน
เมื่อกล่าวว่า “บุคคลผู้นี้คือเหมืองแห่งความเอื้ออารี (مَعدَنُ الكَرَم)” ความหมายคือหากต้องการความกรุณา ความเอื้อเฟื้อ และความเสียสละ ต้องแสวงหาจากบุคคลนั้นเพราะคุณลักษณะเหล่านี้ไม่แยกจากเขาเลย
คำว่า “مَعدِن” (มะอ์ดิน) หรือ “เหมือง” มีความหมายเชิงลึก 4 ประการ คือ
1. เป็นสิ่งมีค่าล้ำที่มนุษย์แสวงหาไม่ใช่สิ่งไร้ราคา เช่นในแผ่นดินที่มีหินมากมาย แต่เฉพาะส่วนที่มีพลอยหรือทองคำเท่านั้นจึงเรียกว่า “เหมือง”
2. อยู่ในที่ซ่อนเร้นต้องแสวงหาและขุดค้น เพราะสิ่งล้ำค่านั้นมักไม่ปรากฏให้เห็นในทันที
3. เป็นที่สถิตของสิ่งนั้นอย่างถาวรไม่ได้เป็นเพียงที่เก็บชั่วคราวเหมือนคลังสินค้า
4. เป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีค่า กล่าวคือ สิ่งล้ำค่านั้นเกิดขึ้นจากที่นั่นเองไม่ใช่เพียงถูกนำมาเก็บไว้
ดังนั้น “เหมือง” ต่างจาก “คลัง” (مَخزَن) อย่างชัดเจน เพราะคลังเป็นเพียงที่เก็บ แต่เหมืองคือแหล่งกำเนิดแท้จริงของสิ่งมีค่า
คำว่า “เหมือง” (معدن) ใช้ได้ทั้งในเรื่องวัตถุและจิตวิญญาณ เช่น“เหมืองทองคำ” หรือ “เหมืองแห่งความรู้ ความเมตตา และความเอื้ออารี” เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้อิมาม (อ.) คือแหล่งแห่งความเมตตาอันแท้จริงของอัลลอฮ์ (ซบ.) ในตัวของพวกท่านสถิตไว้ด้วยเมตตาแห่งพระผู้เป็นเจ้าในทุกรูปแบบ เมตตานี้ไม่เคยพรากไปจากพวกท่านเลยและส่วนใหญ่ยังมิได้เผยให้มนุษย์เห็นทั้งหมดด้วยซ้ำ
ด้วยคำอธิบายนี้จึงเข้าใจได้ว่าอิมาม (อ.) เองคือสื่อแห่งความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า หากมนุษย์ประสงค์จะได้รับเมตตานี้ ต้องขอผ่านพวกท่าน เพราะทุกสิ่งที่หลั่งไหลมายังสิ่งถูกสร้างล้วนผ่านทางอิมามทั้งหลาย (อ.)
ในโลกนี้ความเมตตาของอัลลอฮ์คือรากฐานของทุกสิ่งสรรพสิ่งที่มีอยู่และทุกความโปรดปรานล้วนเป็นการแสดงออกของเมตตานั้น ความเมตตาแรกสุดที่พระองค์ประทานคือการมีอยู่ (الوجود)
ซึ่งเป็นรากของทุกความโปรดปรานอื่น ๆ
ดังนั้นอิมาม (อ.) จึงเป็นสื่อกลางแห่งการหลั่งไหลของความเมตตาและการมีอยู่
และหากเข้าใจคำว่า “ความเมตตา” ในความหมายกว้างสุดก็หมายถึงต้นธารแห่งการมีอยู่ของสรรพสิ่งทั้งมวลและทุกสิ่งที่ต่อยอดมาจากการมีอยู่นั้นย่อมเป็นผลจากพรแห่งอิมาม (อ.)
5- พวกเขาคือผู้เก็บรักษาความรู้และปัญญา: (خُزَّانُ العِلمِ وَالمَعرِفَةِ)
ในซิยารัตญามิอะฮ์กะบีเราะฮ์อีกตอนหนึ่ง อิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ถูกเรียกว่า “خُزَّانُ العِلم” — ผู้เก็บรักษาความรู้
ในตำราของอะฮ์ลุซซุนนะฮ์ยังเรียกพวกท่านว่า “معدنُ العِلم” — แหล่งแห่งความรู้
คำว่า “خُزَّان” (พหูพจน์ของ “خازن”) หมายถึง “ผู้พิทักษ์” หรือ “ผู้รักษาคลังสมบัติ”
ดังนั้นอิมาม (อ.) คือผู้เก็บรักษาองค์ความรู้ของอัลลอฮ์ทั้งทางศาสนาและทางโลก
ความรู้แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่คือ
1. ความรู้ทางศาสนา (ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับหลักศาสนา)
2. ความรู้ทางโลก (ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับศาสนาแต่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์)
และทั้งสองประเภทนี้ต่างอยู่ภายใต้ความครอบครองของอิมาม (อ.) โดยเฉพาะในด้านศาสนาที่ความรู้ของพวกท่านได้ปรากฏและเผยแพร่สู่ผู้คนมากกว่า
นอกจากนี้อิมาม (อ.) ยังได้รับความรู้เร้นลับ (علم غيب) จากอัลลอฮ์ (ซบ.)
ดังที่พระองค์ตรัสว่า:
«وَعِندَهُ مَفَاتِحُ الْغَيْبِ لَا يَعْلَمُهَا إِلَّا هُوَ»
“และกุญแจแห่งเร้นลับทั้งหลายอยู่ที่พระองค์เท่านั้น ไม่มีผู้ใดรู้มันได้นอกจากพระองค์” (อัลกุรอาน, อัลอันอาม /59)
และอีกแห่งหนึ่งว่า:
«عَالِمُ الْغَيْبِ فَلَا يُظْهِرُ عَلَى غَيْبِهِ أَحَدًا إِلَّا مَنِ ارْتَضَى مِنْ رَسُولٍ»
“พระองค์คือผู้ทรงรอบรู้สิ่งเร้นลับ และจะไม่เปิดเผยความเร้นลับของพระองค์แก่ผู้ใด เว้นแต่แก่ศาสนทูตที่พระองค์ทรงพอพระทัย” (อัลกุรอาน, อัลญินน์ /26–27)
และอีกแห่งหนึ่งว่า:
«مَا كَانَ اللَّهُ لِيُطْلِعَكُمْ عَلَى الْغَيْبِ وَلَكِنَّ اللَّهَ يَجْتَبِي مِنْ رُسُلِهِ مَنْ يَشَاءُ»
“อัลลอฮ์จะไม่ทรงเปิดเผยสิ่งเร้นลับแก่พวกเจ้าแต่พระองค์จะทรงเลือกจากบรรดาร่อซูลของพระองค์ ผู้ที่พระองค์ประสงค์” (อัลกุรอาน, อาลิอิมรอน /179)
ดังนั้นเมื่ออัลลอฮ์ (ซบ.) ประทานความรู้เร้นลับแก่ร่อซูลที่พระองค์ทรงเลือกแล้ว
ไม่มีผู้ใดมีสิทธินำหน้าท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ) และอะฮ์ลุลบัยต์ของท่าน (อ.) ในความรู้นี้ได้เลย
ท่านอิมามริฎอ (อ.) กล่าวว่า:
«فَرَسُولُ اللَّهِ عِنْدَ اللَّهِ مُرْتَضًى وَ نَحْنُ وَرَثَةُ ذَلِكَ الرَّسُولِ الَّذِي أَطْلَعَهُ اللَّهُ عَلَى مَا شَاءَ مِنْ غَيْبِهِ فَعَلِمْنَا مَا كَانَ وَمَا يَكُونُ إِلَى يَوْمِ الْقِيَامَةِ»
“แท้จริงรอซูลุลลอฮ์ (ศ็อลฯ) เป็นผู้ที่อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยและเราคือทายาทของร่อซูลนั้น ผู้ซึ่งอัลลอฮ์ได้ทรงเปิดเผยสิ่งเร้นลับแก่เขาตามที่พระองค์ประสงค์ ดังนั้นเราจึงรู้ถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้น และสิ่งที่จะเกิดขึ้นจนถึงวันอาคิเราะฮ์”
6- พวกเขาคือความอดทนอย่างถึงที่สุด:
อะฮ์ลุลบัยต์ (อะลัยฮิมุสสลาม) คือความสมบูรณ์สูงสุดแห่งความอดกลั้นและความอดทน ในซิยารัตญามิอะฮ์กะบีเราะฮ์ได้กล่าวถึงบรรดาอิมามว่าเป็น “มุนตะฮัลฮิลม์” (منتهى الحلم) ซึ่งหมายถึง “ที่สุดแห่งความอดกลั้น”
คำว่า ฮิลม์ (حِلم) ในเชิงภาษาหมายถึง การอดทนต่อสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา สิ่งที่โดยธรรมชาติจะทำให้มนุษย์โกรธหรือแสดงความเกรี้ยวกราดออกมาหากบุคคลใดในสภาพเช่นนั้นไม่โกรธ ไม่ตอบโต้ และสามารถยับยั้งตนเองได้ รวมถึงให้อภัยต่อการกระทำหรือถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมของผู้อื่นทั้งที่เขามีอำนาจจะลงโทษได้บุคคลนั้นย่อมเรียกว่า “ฮะลีม” (حلیم) คือผู้มีความอดกลั้นและใจเย็น
ท่านรอฆิบ อิศฟะฮานีย์ (راغب اصفهانی) กล่าวว่า:
“ฮิลม์หมายถึงการควบคุมตนเองและธรรมชาติของมนุษย์ไม่ให้เกิดความเร่าร้อนและความโกรธ”
ความแตกต่างระหว่าง “ฮิลม์” และ “ศ็อบรฺ” (صبر) ตามความหมายทางภาษา “ฮิลม์” มีขอบเขตแคบกว่า “ศ็อบรฺ” (ความอดทน) เพราะ “ศ็อบรฺ” ครอบคลุมทั้งในเรื่องที่พึงพอใจและไม่พึงพอใจในหะดีษมีความว่า:
«اَلصَّبْرُ صَبْرَانِ صَبْرٌ عَلَى مَا تُحِبُّ وَ صَبْرٌ عَلَى مَا تَکْرَه»
“ความอดทนมีสองประเภท คืออดทนต่อสิ่งที่ชอบ และอดทนต่อสิ่งที่ไม่ชอบ”
ดังนั้นขอบเขตของ ศ็อบรฺ (صبر) จึงกว้างกว่าของ ฮิลม์ (حِلم)
ตามซิยารัตญามิอะฮ์กะบีเราะฮ์อิมาม (อะลัยฮิมุสสลาม) ถูกกล่าวว่าเป็น “ที่สุดแห่งความอดกลั้น” คำว่า “มุนตะฮา” (منتهى) มีสองความหมายคือ:
1. ระดับสูงสุดและสุดท้ายของความอดกลั้นและความอดทน: หมายถึงระดับที่สูงที่สุดของความอดกลั้นที่มนุษย์อาจเข้าถึงได้อยู่ในบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อะลัยฮิมุสสลาม) หากจะจัดอันดับความอดกลั้นของมนุษย์ทั้งหมด ระดับสูงสุดย่อมเป็นของท่านเหล่านั้น
2. ต้นกำเนิดและบ่อเกิดแห่งความอดกลั้น: หมายความว่าบรรดาอิมาม (อะลัยฮิมุสสลาม) คือแหล่งที่มาของคุณลักษณะนี้ทุกความอดกลั้นในโลกนี้ล้วนได้รับจากพวกท่านและสิ้นสุดลงที่พวกท่าน
ดังนั้นคำว่า “منتهى الحلم” ในซิยารัตญามิอะฮ์กะบีเราะฮ์สามารถตีความได้ทั้งสองความหมายและทั้งสองล้วนถูกต้อง
ควรกล่าวด้วยว่าคำว่า “ฮิลม์ (حلم)” ในบางบริบทของภาษาอาหรับอัลกุรอาน และหะดีษยังหมายถึง “สติปัญญาและความมีเหตุผล” อีกด้วยซึ่งในกรณีนั้นก็มิอาจสงสัยได้เลยว่าบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อะลัยฮิมุสสลาม) คือที่สุดแห่งปัญญาและเหตุผลเช่นเดียวกัน
7- พวกเขาคือรากฐานแห่งความมีเกียรติและความประเสริฐ:
ในซิยารัตญามิอะฮ์กะบีเราะฮ์ยังได้กล่าวว่าบรรดาอิมาม (อะลัยฮิมุสสลาม) คือ “อุศูลุลกะร็อม (أصول الکرم)” ต้นรากและรากฐานแห่งความมีเกียรติและความเอื้อเฟื้อ
คำว่า “อุศูล (أصول)” เป็นพหูพจน์ของ “อัสล์ (أصل)” ซึ่งบางครั้งหมายถึง “รากเหง้า” เช่นเดียวกับคำว่า “ญุซูรฺ (جذور)” ที่หมายถึงรากไม้กล่าวกันว่า “ต้นไม้นี้มีรากอยู่ที่ไหน” นั่นคือหมายถึงต้นกำเนิดของมัน เช่นเดียวกันกับบรรดาอิมามทั้งหลายคือรากเหง้าแห่งความเอื้อเฟื้ออันที่กิ่งและใบแห่งคุณงามความดีทั้งหมดแตกหน่อมาจากรากนั้น
บางครั้งคำว่า “อัสล์” ยังหมายถึง “ต้นตอหรือแหล่งกำเนิด” เช่นเมื่อถามว่า “ต้นกำเนิดของแม่น้ำนี้อยู่ที่ไหน” คำตอบคือ “ที่ต้นน้ำหรือบ่อกำเนิดแห่งนั้น”
คำว่า “กะร็อม (کرم)” เป็นหนึ่งในคุณลักษณะอันงดงาม (ศิฟัตหะสะนะฮ์) ซึ่งเมื่อกล่าวถึงคำที่อยู่ในใจของทุกคนคือ “ความเอื้อเฟื้อและใจกว้าง” ดังนั้นคำว่า “อุศูลุลกะร็อม” ในซิยารัตญามิอะฮ์กะบีเราะฮ์ หมายถึงบรรดาอิมาม (อะลัยฮิมุสสลาม) เป็นแหล่งกำเนิดแห่งความเอื้อเฟื้อทั้งหมดในโลกความเอื้อเฟื้อทุกอย่างที่ปรากฏล้วนมีรากจากพวกท่าน
แต่ในความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้นคำว่า “กะร็อม” ยังหมายถึง “เกียรติ ศักดิ์ศรี และความยิ่งใหญ่” ดังที่อัลกุรอานกล่าวว่า:
«إِنَّهُ لَقُرْآنٌ كَرِيمٌ»
“แท้จริงมันคืออัลกุรอานอันทรงเกียรติ” 
และอีกโองการหนึ่งว่า:
«إِنَّهُ لَقَوْلُ رَسُولٍ كَرِيمٍ»
“แท้จริงมันคือถ้อยคำของรอซูลผู้ทรงเกียรติ”
ดังนั้นเมื่อเรากล่าวว่า “บุคคลนี้มาจากบ้านอันมีเกียรติ (บัยตุน กะรีม)” หมายถึงบ้านแห่งศักดิ์ศรีและความประเสริฐ
จากความหมายนี้เราจะเห็นว่า “ความเอื้อเฟื้อ” เป็นเพียงหนึ่งในรูปแบบของ “ความมีเกียรติ” แต่ไม่ใช่ทั้งหมดดังนั้น บรรดาอิมาม (อะลัยฮิมุสสลาม) จึงเป็น ศูนย์กลางรากฐาน และต้นกำเนิดแห่งศักดิ์ศรีทั้งมวล
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือทุกเกียรติยศและความยิ่งใหญ่ที่มีในหมู่มนุษย์ล้วนมีที่มาจากอะฮ์ลุลบัยต์ (อะลัยฮิมุสสลาม) ทุกความยิ่งใหญ่ที่มนุษย์ได้รับเป็นผลแห่งความผูกพันกับท่านเหล่านั้นและการได้เกี่ยวข้องกับครอบครัวอันบริสุทธิ์นี้คือสิ่งที่มอบเกียรติและความสูงส่งให้แก่มนุษย์
ดังนั้นความดีงามความบริสุทธิ์ และความสง่างามทั้งหมดล้วนมาจากบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อะลัยฮิมุสสลาม)
#บทสรุป: บรรดาอิมาม (อะลัยฮิมุสสลาม) คือ ปวงบ่าวที่ดีที่สุดของอัลลอฮ์ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ด้วยเหตุนี้เองคุณลักษณะและคุณธรรมที่สูงส่งที่สุดทั้งหลายจึงถูกรวมไว้ในตัวท่านเหล่านั้นทั้งหมด
วิธีที่ดีที่สุดในการรู้จักคุณลักษณะอันประเสริฐเหล่านี้ คือการพิจารณาถ้อยคำของบรรดาผู้บริสุทธิ์ (อะลัยฮิมุสสลาม) ที่ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับตัวพวกท่านเอง
หนึ่งในซิยารัตที่ดีที่สุดซึ่งได้บรรยายถึงคุณลักษณะของอิมามอย่างละเอียด คือ ซิยารัตญามิอะฮ์กะบีเราะฮ์ที่ถูกรายงานจากท่านอิมามฮาดีย์ (อ)
ในซิยารัตญามิอะฮ์กะบีเราะฮ์นี้บรรดาผู้บริสุทธิ์ (อะลัยฮิมุสสลาม) ได้รับการแนะนำว่าเป็น
-วงศ์วานแห่งนุบูวะฮ์ (อะลุลบัยตฺนบี)
-สถานที่แห่งริซาละฮ์ 
-ที่พำนักและที่มาเยือนของมะลาอิกะฮ์ 
-แหล่งแห่งความเมตตา 
-ผู้พิทักษ์แห่งความรู้และวิทยาการ 
-จุดสูงสุดแห่งความอดกลั้น 
และรากฐานแห่งศักดิ์ศรีและความมีเกียรติ ฯลฯ
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าอิมาม (อะลัยฮิมุสสลาม) คือศูนย์รวมของคุณธรรมและความสมบูรณ์ทุกประการของมนุษย์ และเป็นทางนำไปสู่การรู้จักอัลลอฮ์และการเข้าถึงความจริงแห่งศาสนาอย่างแท้จริง

บทความโดย เชคยูซุฟ เพชรกาหรีม

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม