เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

รู้จักอะลุลบัยต์ ตอนที่ 3 สถานะและความสำคัญของอะฮ์ลุลบัยต์ ตามทัศนะของอัลกุรอานและฮะดีษ

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

รู้จักอะลุลบัยต์ ตอนที่ 3 สถานะและความสำคัญของอะฮ์ลุลบัยต์ ตามทัศนะของอัลกุรอานและฮะดีษ

 

 ในอัลกุรอานมายาอัตตะฏะฮีร (آیَه تطهیر) ได้กล่าวถึงคำว่า “อะฮ์ลุลบัยต์” (أهل‌البیت) ซึ่งตามรายงานของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) หมายถึง อะฮ์ลุลกิสาอ์ คือ ท่านนบี (ศ)، ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ)، ท่านอะลี (อ)، ท่านฮะซัน (อ) และท่านฮุเซน (อ).

ในฮะดีษต่าง ๆ ของท่านนบี (อ) คำว่า “อะฮ์ลุลบัยต์” ยังถูกใช้เรียกถึง บรรดาอิมามทั้งสิบสองท่านอีกด้วย
ท่านศาสดา (ศ) ได้กล่าวว่าอะฮ์ลุลบัยต์และอัลกุรอานเป็นสองสิ่งที่ประชาชาติจะไม่หลงทางหากยึดมั่นไว้ทั้งสอง.
เฉพาะในมัซฮับชีอะฮ์เท่านั้นที่ให้ความสำคัญต่ออะฮ์ลุลบัยต์ในฐานะผู้นำศาสนาโดยชอบธรรมคู่กับอัลกุรอาน
#การเชื่อฟังอะฮ์ลุลบัยต์ในอัลกุรอาน
พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า:
 «أَطِيعُوا اللَّهَ وَأَطِيعُوا الرَّسُولَ وَأُولِي الْأَمْرِ مِنكُمْ»
“จงเชื่อฟังอัลลอฮ์ เชื่อฟังเราะซูล และผู้มีอำนาจในหมู่พวกเจ้า” (อัลกุรอาน /59)
คำว่า “อูลิลอัมรฺ” (ผู้มีอำนาจในหมู่พวกเจ้า) หมายถึง อิมามทั้งสิบสองท่าน
เพราะหากหมายถึงผู้ใดก็ตามที่มีอำนาจโดยทั่วไปย่อมเป็นความเข้าใจผิดเนื่องจากอัลลอฮ์ผู้ทรงปรีชาญาณไม่ทรงบัญชาให้เชื่อฟังผู้ที่มิใช่ผู้บริสุทธิ์จากบาป
#แนวคิดทางเทววิทยาว่าด้วย “อิมามะฮ์”
ในวิชา “กะลาม” (เทววิทยา) มีการถกเถียงกันมากเรื่อง “การแต่งตั้งอิมาม”
นักปราชญ์ชีอะฮ์ (อิมามียะฮ์) เห็นว่าการแต่งตั้งอิมามโดยอัลลอฮ์เป็น “ลุฏฟ์” (ความเมตตาพิเศษ)
และเมื่อ “ลุฏฟ์” เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีจากพระองค์จึงสรุปว่าการแต่งตั้งอิมามเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพระเจ้า
อิมามะฮ์ยังได้รับการนิยามว่า:
«الإمامة هي الرياسة العامة الإلهية في أمر الدين والدنيا»
“อิมามะฮ์คือการเป็นผู้นำโดยพระเจ้าในกิจการศาสนาและโลก”
ท่าน คอญะ นะศีรุดดีน ฏูซี  ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ด้านปรัชญาและเทววิทยาได้กล่าวไว้ใน تجرید الاعتقاد ว่า:
«الإمام لطف، فيجب نصبه على الله تعالى تحصيلاً للغرض»
“อิมามคือความเมตตาดังนั้นการแต่งตั้งอิมามจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพระเจ้าเพื่อให้บรรลุเป้าหมายแห่งการชี้นำ”
#ข้อโต้แย้งของมัซฮับอื่น
บางกลุ่ม เช่นคอวาริจญ์ และบางส่วนของมุอ์ตะซิละฮ์เห็นว่า “การมีอิมามไม่จำเป็น” ส่วนพวกอื่น ๆ เช่น อะชาอิเราะฮ์ และ อะฮ์ลุลฮะดีษ เห็นว่าประชาชนสามารถเลือกอิมามได้เอง
แต่ชีอะฮ์อิมามียะฮ์เชื่อว่าการมีอิมามเป็นสิ่งจำเป็นโดยเหตุผลเพราะอิมามคือผู้ช่วยชี้นำประชาชนสู่การเชื่อฟังอัลลอฮ์ ทำให้เข้าใจศาสนาแก้ไขปัญหาความศรัทธาและป้องกันความวุ่นวายทางศีลธรรม
หากไม่มีอิมามความสับสนและความเสียหายจะเกิดขึ้นในสังคมมนุษย์
ท่านคอญะ ฏูซียังกล่าวต่ออีกว่า:
«والمفاسد معلومة الانتفاء وانحصار اللطف فيه معلوم للعقلاء ووجوده لطف وتصرفه لطف آخر وعدمه منا»
“ความเสียหายย่อมหมดไปด้วยการมีอยู่ของอิมาม และบรรดาผู้มีปัญญาย่อมรู้ว่าอิมามคือแหล่งแห่งความเมตตา การมีอยู่ของท่านคือความเมตตา การดำเนินการของท่านคือความเมตตาอีกประการหนึ่ง ส่วนการไม่มีอิมามนั้น มาจากความบกพร่องของเราเอง”
บางคนอาจกล่าวว่าการมีอิมามอาจนำมาซึ่งความเสียหาย แต่คำตอบคือถ้าอิมามนั้นเป็นผู้ยุติธรรมและมะอ์ศูม (บริสุทธิ์จากบาป) ย่อมไม่มีความเสียหายใด ๆ
เพราะเหตุนี้เอง “อิศมะฮ์” (ความบริสุทธิ์จากบาป) จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญของตำแหน่งอิมามะฮ์
#หลักฐานจากอัลกุรอาน
หากการเป็นอิมามเป็นสิ่งที่มีโทษ พระองค์คงไม่ตรัสกับท่านอิบรอฮีมว่า:
«إِنِّي جَاعِلُكَ لِلنَّاسِ إِمَامًا»
“แท้จริง เราจะตั้งเจ้าให้เป็นผู้นำแก่ประชาชน” (อัลบะเกาะเราะฮ์ /124)
เมื่อท่านอิบรอฮีมถามว่า “ตำแหน่งนี้จะตกแก่ลูกหลานของข้าด้วยหรือไม่” พระองค์ตอบว่า:
«لَا يَنَالُ عَهْدِي الظَّالِمِينَ»
“พันธสัญญาของเราจะไม่ถึงแก่บรรดาผู้อธรรม”
ซึ่งแสดงว่า “อะฮ์ด” หรือพันธสัญญานี้หมายถึงตำแหน่งอิมามะฮ์ และไม่อาจตกแก่ผู้กระทำอธรรมได้
#เรื่องของ “อิศมะฮ์” (ความบริสุทธิ์ของอิมาม)
คำถามหนึ่งคือผู้ที่เป็นมะอ์ศูม (บริสุทธิ์) มีความสามารถทำบาปหรือไม่? คำตอบคือมีความสามารถแต่ด้วยจิตสำนึกศาสนาความยำเกรงและการเชื่อฟังอัลลอฮ์ ท่านจึงระงับตนเองไม่ให้ทำบาป
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือแรงจูงใจจากตัณหาและโทสะในตัวท่านอยู่ภายใต้การควบคุมของศาสนาและปัญญาอย่างสมบูรณ์
#คำสั่งให้รักและเชื่อฟังอะฮ์ลุลบัยต์
อัลลอฮ์ทรงบัญชาให้เชื่อฟังและรักบรรดา “ذوي القربى” (ผู้ใกล้ชิดของเราะซูล):
«وَآتِ ذَا الْقُرْبَى حَقَّهُ»
“และจงให้สิทธิ์แก่ผู้ใกล้ชิดตามสมควร”
(อัลอิสรออ์ :26)
และยังตรัสว่า:
«قُل لَّا أَسْأَلُكُمْ عَلَيْهِ أَجْرًا إِلَّا الْمَوَدَّةَ فِي الْقُرْبَى»
“จงกล่าวเถิด [มุฮัมมัด]: ข้าพเจ้าไม่ขอสิ่งตอบแทนใดจากพวกท่าน นอกจากความรักต่อผู้ใกล้ชิดของฉัน” (อัชชูรอ :23)
ดังนั้นความรักและการเชื่อฟังอะฮ์ลุลบัยต์ (อ) จึงเป็นหน้าที่ทางศาสนาที่อัลลอฮ์ทรงบัญชาไว้โดยตรง
#คุณสมบัติของอิมาม และหลักฐานแห่งความรู้และความบริสุทธิ์ของพวกท่าน 
นอกจาก “อิศมะฮ์” (عِصْمَة — ความบริสุทธิ์จากบาป) แล้วอิมามยังต้องมี ความรู้ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานให้ทั้งในด้านศาสนาและโลกียะเพื่อเป็นผู้นำประชาชาติในทุกมิติ
ตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนคือท่านอมีรุลมุอ์มินีน อะลี บิน อบีฏอลิบ (อ) ซึ่งความรู้ของท่านมากมายเกินกว่าที่จะนับได้
#วจนะของท่านอะลี (อ) แก่กุเมล์ บิน ซิยาด
กุเมล์ บิน ซิยาด เล่าว่า:
«أخذ بيدي أمير المؤمنين علی ابن أبی طالب (علیه‌السلام) و قال: یا کمیل بن زیاد، إن هذه القلوب أوعیة فخیرها أوعاها، فاحفظ عنی ما أقول لک: الناس ثلاثة، فعالم ربانی، و متعلم علی سبیل نجاة، و همج رعاع أتباع کل ناعق، یمیلون مع کل ریح، لم یستضیئوا بنور العلم...»
سپس فرمود: «ها إن هاهنا لعلماً جماً (و أشار بیده إلی صدره)، لو أصبت له حملة، بلی، أصبت لقناً غیر مأمون علیه.»
ท่านอะลี (عليه‌السلام) ตรัสแก่กุเมล์ว่า:
“มนุษย์มีสามประเภท —
(๑) ผู้เป็นนักปราชญ์แห่งพระเจ้า
(๒) ผู้แสวงหาความรู้ในหนทางแห่งความรอด
(๓) กลุ่มคนที่ไร้ทิศทาง เปรียบเสมือนแมลงที่ปลิวตามลม ไปตามเสียงเรียกใด ๆ โดยไม่อาศัยแสงแห่งความรู้เป็นแนวทาง”
จากนั้นท่านชี้ไปที่อกของท่านและตรัสว่า: “ในนี้มีความรู้มากมายมหาศาลอยู่เต็มเปี่ยม แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่พบผู้ใดที่สามารถแบกรับและรักษามันไว้ได้”
(รายงานจาก นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์)
หัวข้อของบทความนี้คือคำสั่งของอัลลอฮ์และเราะซูลต่อการเชื่อฟังและความรักต่ออะฮ์ลุลบัยต์ผู้ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในความรู้แห่งอัลกุรอานและหลักศาสนาโดยแท้จริง เพราะสัจธรรมของศาสนาอิสลามต้องเรียนรู้ผ่านพวกท่าน เหล่าผู้ที่มีทั้ง “วิชาอันบริบูรณ์” และ “ความบริสุทธิ์จากบาป” รวมอยู่ในตน
ท่านอะลี (อ) คือผู้ที่มีคุณธรรมและความประเสริฐร่วมกับท่านศาสดา (ศ)
#คำสั่งแห่งอัลกุรอานเรื่องการเชื่อฟัง
พระองค์ตรัสว่า:
«أَطِيعُوا اللَّهَ وَأَطِيعُوا الرَّسُولَ وَأُولِي الْأَمْرِ مِنكُمْ»
“จงเชื่อฟังอัลลอฮ์ จงเชื่อฟังเราะซูล และผู้มีอำนาจในหมู่พวกเจ้า” (อัลกุรอาน /59)
ไม่มีผู้มีปัญญาคนใดจะยอมรับได้ว่า พระผู้เป็นเจ้าจะทรงอนุมัติให้เชื่อฟังคนบาป หรือทรงสั่งให้ทำตามผู้ละเมิดดังนั้น “อูลิลอัมรฺ” ที่กล่าวถึงในโองการนี้ต้องเป็นผู้บริสุทธิ์จากบาปเท่านั้น
#เหตุผลของท่านนบีในการยกย่องอะฮ์ลุลบัยต์
คำสั่งของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ให้เคารพและรักอะฮ์ลุลบัยต์ มิใช่เพียงเพราะสายสัมพันธ์ทางเครือญาติแต่เพราะความดีงามความบริสุทธิ์ และคุณธรรมของพวกท่าน
ซัยด์ บิน อัรเก็ม รายงานว่าท่านนบี (ศ) ตรัสแก่ท่านอะลี, ฟาฏิมะฮ์, ฮะซัน และฮุเซน (ศ) ว่า:
“ผู้ใดที่อยู่ในสันติสุขกับพวกเจ้า ข้าก็อยู่ในสันติสุขกับเขา และผู้ใดที่เป็นศัตรูกับพวกเจ้าข้าก็เป็นศัตรูกับเขาเช่นกัน”
ชัดเจนว่าท่านนบีมิได้ให้เกียรติท่านอะลีเพียงเพราะเป็นเครือญาติเพราะหากเป็นเช่นนั้นลุงของท่านนบีอย่างอับบาส หรือ ญะอ์ฟัร บิน อบีฏอลิบ ก็ควรได้รับเกียรติเดียวกัน แต่ท่านนบีกลับตรัสว่า:
“ไม่มีผู้ใดสามารถชดใช้สิทธิ์แทนฉันได้นอกจากอะลี”
สิ่งนี้แสดงถึงคุณธรรมโดยเนื้อแท้ ความสามารถและความรู้พิเศษของท่านอะลี (อ)
#หลักฐานจากซอฮาบะฮ์และฮะดีษอื่น ๆ
เมื่อมุอาวียะฮ์กล่าวดูหมิ่นท่านอะลี (อ) ท่าน สะอัด บิน อบีวักกอศ ตอบว่า:
“เจ้าพูดเช่นนี้กับบุคคลที่ท่านนบีเคยกล่าวว่า:
‘ผู้ใดที่ฉันเป็นนายของเขา อะลีคือผู้นายของเขา’ และฉันเองได้ยินท่านนบีตรัสกับอะลีว่า: ‘เจ้าคือสิ่งที่ฮารูนเป็นต่อมูซา ยกเว้นว่าจะไม่มีนบีหลังจากฉัน’”
#อายะฮ์ที่แสดงถึงสถานะของอะฮ์ลุลบัยต์
มีอายะฮ์มากมายในอัลกุรอานที่บ่งชี้ถึงเกียรติและความเป็นผู้นำของอะฮ์ลุลบัยต์ เช่น
-อายะฮ์มุบาฮะละฮ์ (آیَه مباهله)
-อายะฮ์ตัฏฮีร (آیَه تطهیر)
-อายะฮ์วะลายะฮ์ — “إِنَّمَا وَلِيُّكُمُ اللَّهُ…”
อายะฮ์ที่ 7 จากซูเราะฮ์อัลฟาติหะฮ์ ซึ่งคำว่า “أَنعَمتَ عَلَیهِم” หมายถึงพวกท่าน
และอายะฮ์แรกจากซูเราะฮ์อันนะบะอ์ ที่ว่า:
«عَمَّ يَتَسَاءلُونَ * عَنِ النَّبَإِ الْعَظِيمِ»
เมื่อมีผู้ถามถึงคำว่า “النَّبَإِ الْعَظِيمِ” ท่าน อิมามซอดิก (عليه‌السلام) ตอบว่า:
“หมายถึงเรื่องราวของท่านอมีรุลมุอ์มินีน อะลี (อ) ผู้ซึ่งถือกำเนิดในบัยตุลลอฮ์ (กะอ์บะฮ์) และเป็นผู้มีสถานะสูงสุดในการละหมาด ซึ่งคือ ‘เสาหลักของศาสนา’ และเป็น ‘เครื่องหมายแห่งความใกล้ชิดของทุกผู้มีตักวา’”
และในอัลกุรอานยังตรัสว่า:
 «يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا أَطِيعُوا اللَّهَ وَأَطِيعُوا الرَّسُولَ وَأُولِي الْأَمْرِ مِنْكُمْ» (อัลกุรอาน 4:59)
โองการนี้กล่าวถึงสามผู้มีสิทธิ์ได้รับการเชื่อฟังได้แก่
(๑) อัลลอฮ์
(๒) เราะซูล
(๓) อูลิลอัมรฺ (ผู้มีอำนาจในหมู่พวกเจ้า)
การเชื่อฟัง “อูลิลอัมรฺ” จึงต้องอยู่ในแนวทางเดียวกับการเชื่อฟังอัลลอฮ์และเราะซูลเท่านั้น ดังนั้นอูลิลอัมรฺย่อมต้องเป็นผู้มะอ์ศูม (บริสุทธิ์จากบาป) เพราะพระผู้เป็นเจ้าย่อมไม่ทรงสั่งให้เชื่อฟังผู้ที่เป็นคนอธรรม หรือผู้ที่ก่อความชั่วในแผ่นดิน
ในอัลกุรอานยังมีโองการอีกมากที่แสดงให้เห็นถึงหลักนี้ เช่นคำว่า «لَا تُطِعْ» (“อย่าเชื่อฟัง”) และ «لَا تَتَّبِعْ» (“อย่าทำตาม”) ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าการเชื่อฟังโดยชอบธรรมต้องจำกัดอยู่เฉพาะอะฮ์ลุลบัยต์ (อ) ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งโดยพระผู้เป็นเจ้า
#อายะฮ์มะวัดดะฮ์ (آیَه مودّت) หลักฐานยิ่งใหญ่ที่สุดจากอัลกุรอานเกี่ยวกับความรักต่ออะฮ์ลุลบัยต์ (อ)
หลักฐานแรกและยิ่งใหญ่ที่สุดของเราจากอัลกุรอานคือ อายะฮ์มะวัดดะฮ์ (آیه مودّت) — โองการที่กล่าวถึง “ค่าตอบแทนแห่งภารกิจเผยแผ่ของท่านเราะซูลุลลอฮ์ (ศ)”
ภารกิจนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่มนุษย์จะสามารถประเมินค่าได้เพราะผลของมันคือ “การชี้นำมนุษยชาติ” ซึ่งเป็นยอดแห่งความเมตตาและพระพรของอัลลอฮ์
ดังนั้นเราจะเข้าใจได้ว่า “ความรักต่อผู้ใกล้ชิดของท่านนบี” (مودّت ذوی القربی)
๑. เป็นบทบัญญัติจากสวรรค์โดยตรง
๒. และเป็นค่าตอบแทนสำหรับภารกิจเผยแผ่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นั่นเอง
รายงานจากอิมามศอดิก (อ)
ในหนังสือดะอาอิมุลอิสลาม รายงานจากท่าน อิมามศอดิก (อ) ว่า:
“กลุ่มอันศอรได้มาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ (ศ) และกล่าวว่า:
‘โอ้เราะซูลุลลอฮ์! เราเคยเป็นคนหลงทาง แล้วอัลลอฮ์ได้ชี้นำเราโดยผ่านทางท่าน
เราเคยยากจน แล้วอัลลอฮ์ได้ทรงให้เรามั่งมีโดยผ่านทางท่าน ดังนั้นท่านจงขอสิ่งใดจากทรัพย์สินของเราเถิด เราพร้อมจะมอบให้ท่าน’
หลังจากนั้นพระผู้เป็นเจ้าทรงประทานโองการนี้ลงมา:
«قُل لا أَسْأَلُكُمْ عَلَيْهِ أَجْرًا إِلَّا الْمَوَدَّةَ فِي الْقُرْبَى»
“จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ข้าพเจ้าไม่ขอสิ่งตอบแทนใดจากพวกท่านนอกจากความรักต่อผู้ใกล้ชิดของข้าพเจ้า” (อัชชูรอ /23)
จากนั้นท่านอิมามศอดิก (อ) ได้ยกมือขึ้นสู่ฟากฟ้าและร้องไห้จนเคราเปียกชุ่ม แล้วกล่าวว่า:
‘สรรเสริญแด่อัลลอฮ์ผู้ทรงให้พวกเรามีความประเสริฐเหนือผู้อื่น’”
#ทัศนะของนักวิชาการซุนนีเกี่ยวกับอายะฮ์มะวัดดะฮ์
เพื่ออธิบายว่าเหตุใดโองการนี้จึงเป็นหลักฐานที่ชัดเจนต่อ “ความจำเป็นแห่งการรักและเชื่อฟังอะฮ์ลุลบัยต์ (อ)” เราควรพิจารณาทัศนะของบรรดานักปราชญ์ฝ่ายอะฮ์ลิซซุนนะฮ์
หาฟิซซุลัยมาน กุนดูซี ฮะนะฟี เขียนไว้ว่า: “เมื่อโองการ
«قُل لا أَسْأَلُكُمْ عَلَيْهِ أَجْرًا إِلَّا الْمَوَدَّةَ فِي الْقُرْبَى»
ถูกประทานลงมาพวกเขาจึงถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ (ศ) ว่า:
‘โอ้เราะซูลุลลอฮ์! บรรดาผู้ใกล้ชิดของท่านที่เราถูกสั่งให้รักคือใคร?’ ท่านตอบว่า: ‘อะลี, ฟาฏิมะฮ์ และบุตรทั้งสองของพวกเขา’ แล้วท่านกล่าวต่อว่า:
‘แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดให้ค่าตอบแทนของฉันต่อพวกเจ้าคือความรักต่อครอบครัวของฉัน และฉันจะสอบถามพวกเจ้าถึงการปฏิบัติต่อพวกเขาในวันกิยามะฮ์’”
มุฮ์ยิดดีน อิบนุอัลอะรอบี ก็ได้บันทึกไว้เช่นกันว่า:
“เมื่อโองการนี้ถูกประทานลงมา มีผู้ถามว่า: ‘โอ้เราะซูลุลลอฮ์! บรรดาญาติของท่านที่เราจำเป็นต้องรักคือใคร?’ ท่านตอบว่า: ‘อะลี, ฟาฏิมะฮ์ และบุตรทั้งสองของพวกเขา’”
#ความหมายของ “ความรัก” (مودّة) ในโองการ
คำถามต่อมาคือความรัก (مودّة) ในโองการนี้หมายถึงเพียงความรู้สึกทางอารมณ์และความผูกพันตามธรรมชาติ หรือไม่?
คำตอบคือ ไม่ใช่ แต่หมายถึง “การปฏิบัติตามและเชื่อฟัง” ซึ่งเป็นความรักในระดับการยอมรับอำนาจทางศาสนา
เราทราบได้จากอัลกุรอานเองเนื่องจากในหลายตอน พระเจ้าทรงเล่าถึงถ้อยคำของบรรดานบีในอดีตกาลที่กล่าวว่า:
«وَمَا أَسْأَلُكُمْ عَلَيْهِ مِنْ أَجْرٍ إِنْ أَجْرِيَ إِلَّا عَلَى رَبِّ الْعَالَمِينَ»
“ข้าพเจ้ามิได้ขอสิ่งตอบแทนใดจากพวกท่าน เพราะรางวัลของข้าพเจ้ามีอยู่กับพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก” (เช่น ในซูเราะฮ์ อัชชุอะราอ์:109, 127, 145 เป็นต้น)
แต่ในกรณีของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) พระผู้เป็นเจ้าทรงสั่งให้ท่านเรียกร้องสิ่งตอบแทนจากประชาชาติของตนโดยระบุอย่างชัดเจนว่าเป็น “ความรักต่ออะฮ์ลุลบัยต์ของท่าน”
#เหตุใดพระองค์จึงสั่งเช่นนั้น?
หากเราพิจารณาในแง่เหตุผล บรรดานบีรุ่นก่อนต่างกล่าวว่า “ข้าพเจ้าขอรางวัลเฉพาะจากอัลลอฮ์”
ส่วนท่านนบีมุฮัมมัด (ศ) ซึ่งมีศักดิ์สูงสุดและพึ่งพาพระองค์มากที่สุด กลับถูกสั่งให้เรียกร้อง “ความรักต่ออะฮ์ลุลบัยต์”
นั่นย่อมมีนัยสำคัญยิ่ง พระองค์ไม่ทรงสั่งให้ประชาชาติรักญาติพี่น้องของนบีในแง่สายเลือดเท่านั้น เพราะความรักเช่นนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว แต่สิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาคือ “ความรักในฐานะการยอมรับผู้นำและการปฏิบัติตาม”
หากเป็นเพียงความรักเชิงอารมณ์ พระองค์คงไม่ต้องบัญชาให้มีการรัก เพราะมนุษย์โดยสัญชาตญาณย่อมรักผู้ที่ทำคุณแก่ตนเองอยู่แล้ว แต่ในเมื่อพระองค์ทรงสั่งนั่นหมายความว่า “มะวัดดะฮ์” ในอายะฮ์นี้มีความหมายลึกซึ้งกว่า คือความจงรักภักดีต่ออะฮ์ลุลบัยต์ในฐานะผู้สืบทอดภารกิจศาสนา
ดังนั้นอายะฮ์มะวัดดะฮ์นี้จึงเป็นหนึ่งในหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดจากอัลกุรอานว่า
ความรักและการเชื่อฟังอะฮ์ลุลบัยต์ (อ) คือหน้าที่ศาสนาที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดไว้โดยตรงและเป็นค่าตอบแทนแห่งภารกิจของท่านศาสดา (ศ).
คำสอนในตอนนี้ชี้ให้เห็นว่า “ความรัก (มะวัดดะฮ์)” ที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงสั่งให้มุสลิมมีต่ออะฮ์ลุลบัยต์มิได้เป็นเพียงความรักทั่วไปเพราะความรักอื่น ๆ มักมีประโยชน์แก่ “ผู้เป็นที่รัก” มากกว่า “ผู้รัก” แต่ความรักต่ออะฮ์ลุลบัยต์นี้กลับมีผลและคุณประโยชน์โดยตรงต่อ “ผู้รัก” เอง
เหตุผลก็คือท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ﷺ เช่นเดียวกับบรรดานบีอื่น ๆ มิได้แสวงหาความพอพระทัยของมนุษย์แต่แสวงหาความพอพระทัยของอัลลอฮ์เท่านั้น และท่านมิได้ร้องขอรางวัลตอบแทนใด ๆ จากประชาชนนอกจากสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงบัญชาให้เรียกร้องเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเองดังที่พระองค์ตรัสว่า:
قُلْ مَا سَأَلْتُكُم مِّنْ أَجْرٍ فَهُوَ لَكُمْ إِنْ أَجْرِيَ إِلَّا عَلَى اللَّهِ وَهُوَ عَلَى كُلِّ شَيْءٍ شَهِيدٌ
“จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่ารางวัลตอบแทนใด ๆ ที่ฉันได้ขอจากพวกท่านนั้น แท้จริงเป็นประโยชน์แก่พวกท่านเอง ส่วนรางวัลของฉันนั้นอยู่ที่อัลลอฮ์ และพระองค์ทรงเป็นพยานเหนือทุกสิ่ง” (อัชชูรอ:23)
ความหมายคือ “ความรักต่อวงศ์วานของท่านศาสนทูต ﷺ” มีผลดีแก่ผู้ศรัทธาเอง ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ได้อธิบายผลนั้นไว้ในอัลกุรอานอีกตอนหนึ่งว่า:
قُلْ مَا أَسْأَلُكُمْ عَلَيْهِ مِنْ أَجْرٍ إِلَّا مَنْ شَاءَ أَنْ يَتَّخِذَ إِلَى رَبِّهِ سَبِيلًا
“จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าฉันมิได้ขอรางวัลตอบแทนใด ๆ จากพวกท่าน สำหรับการเผยแผ่ศาสนา เว้นแต่ผู้ใดที่ประสงค์จะยึดแนวทางไปสู่พระผู้อภิบาลของตน” (อัลฟุรกอน/57)
จากการพิจารณาร่วมกันของโองการทั้งสองนี้สรุปได้ว่า “ความรักต่ออะฮ์ลุลบัยต์” คือเส้นทางเดียวที่นำมนุษย์ไปสู่การเข้าใกล้อัลลอฮ์ผู้ทรงสูงส่ง
เมื่อบุคคลมีความรักต่อพวกเขา เขาจะพร้อมที่จะปฏิบัติตามแนวทางของพวกเขา ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับท่านศาสนทูต ﷺ และด้วยการปฏิบัติตามนั้นเอง เขาจะสามารถก้าวสู่ขั้นแห่งความสมบูรณ์ในฐานะบ่าวของอัลลอฮ์
การเข้าถึงอัลลอฮ์ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากการกระทำความดีและการละเว้นจากบาปซึ่งทั้งสองสิ่งนี้จำเป็นต้องมี “ผู้นำทางและแบบอย่าง” และตามอัลกุรอาน บรรดาอะฮ์ลุลบัยต์คือแนวทางสู่การปฏิบัติทั้งสองนั้นนั่นเอง ดังนั้นมุสลิมผู้ติดตามพวกเขาย่อมได้รับความรอดพ้นจากความหายนะและบรรลุสู่ความสุขนิรันดร
#การวิเคราะห์เชิงไวยากรณ์และความหมาย
อาจมีข้อสงสัยในด้านภาษาศาสตร์ว่า ระหว่างโองการที่กล่าวถึง “มะวัดดะฮ์ (ความรักต่อผู้ใกล้ชิด)” กับโองการที่กล่าวถึง “การเดินบนหนทางสู่อัลลอฮ์” ดูเหมือนเป็นสองเรื่องที่แยกจากกัน แต่ในไวยากรณ์อาหรับ “الاستثناء بعد النفي” (การยกเว้นภายหลังการปฏิเสธ) บ่งบอกถึง “การจำกัดสิทธิ์เฉพาะ” (حصر)
ดังนั้นเมื่อท่านศาสนทูต ﷺ กล่าวว่า “ฉันไม่ขอสิ่งใดจากพวกท่านยกเว้น…” หมายความว่าสิ่งที่ขอนั้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
หากท่านได้กล่าวอีกครั้งเพื่อขอสิ่งอื่นเพิ่มเติมก็จะขัดแย้งกับคำกล่าวแรก ซึ่งเป็นไปไม่ได้เพราะนบีไม่กล่าวเท็จดังนั้น ความหมายที่แท้จริงคือ “รางวัลเดียวที่ท่านร้องขอ” คือ “ความรักต่ออะฮ์ลุลบัยต์” และการรักเช่นนี้มิใช่เพราะสายสัมพันธ์ทางเครือญาติแต่เพื่อให้ประชาชาติได้รับทางนำและความรอดพ้นจากความหลงผิด
เพราะการได้รับทางนำนี้จะเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่มีความรักต่ออะฮ์ลุลบัยต์ เนื่องจากการปฏิบัติตามแบบอย่างของท่านนบี ﷺ ย่อมเป็นไปได้ผ่านการปฏิบัติตามผู้ที่ใกล้ชิดและรู้เรื่องราวของท่านมากที่สุด ซึ่งก็คือบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ 
และในทางกลับกันการปฏิบัติตามก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากไม่มีความรักเพราะผู้ที่ไม่รักย่อมไม่ปรารถนาจะเดินตามแนวทางของผู้ที่เขาไม่รัก
#หลักฐานจากอัลกุรอาน
ความสัมพันธ์ระหว่าง “ความรัก” และ “การปฏิบัติตาม” ปรากฏชัดในพระดำรัสของอัลลอฮ์ว่า:
قُلْ إِن كُنتُمْ تُحِبُّونَ اللّهَ فَاتَّبِعُونِي يُحْبِبْكُمُ اللّهُ
“จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด): หากพวกท่านรักอัลลอฮ์ ก็จงปฏิบัติตามฉัน แล้วอัลลอฮ์จะทรงรักพวกท่าน”(อาลิอิมรอน :31)
นั่นหมายความว่าหากใครกล่าวอ้างว่ารักอัลลอฮ์แต่ไม่ปฏิบัติตามท่านนบี ﷺ เขาย่อมกล่าวเท็จเพราะการปฏิบัติตามท่านนบีคือการปฏิบัติตามอัลลอฮ์นั่นเอง
#คำอธิบายจากฮะดีษ
ฮาฟิซ สุละัยมาน อัล-กันดูซี อัล-ฮะนะฟี ได้รายงานจากหนังสือ มะนากิบ อัล-คุวาริซมี โดยอ้างถึงท่านอิมามมุฮัมหมัด อัล-บากิร(อ) ในการอธิบายโองการ
قُلْ مَا سَأَلْتُكُم مِّنْ أَجْرٍ فَهُوَ لَكُمْ
ท่านอิมามอธิบายว่า:
«الاجر الذی هو الموده فی القربی التی لم اسئلکم غیرها فهو لکم تهتدون بها وتسعدون بها وتنجبون من عذاب اللّه‏ یوم القیامه»
“รางวัลที่หมายถึง ความรักต่อผู้ใกล้ชิด (อะฮ์ลุลกุรบา) ซึ่งข้าไม่ได้ขอสิ่งอื่นใดจากพวกท่านนั้น แท้จริงมันเป็นประโยชน์แก่พวกท่านเอง เพราะด้วยความรักนี้ พวกท่านจะได้รับทางนำ ความสุข และความรอดพ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ในวันอาคิเราะฮ์”
#สรุป: ดังนั้น “ความรักต่ออะฮ์ลุลบัยต์”
มิใช่เพียงความสัมพันธ์ทางสายเลือด หากแต่เป็นเส้นทางแห่งการนำ (هداية) และความรอด (نجاة) ใครที่รักพวกเขา ย่อมปฏิบัติตามพวกเขา และผู้ที่ปฏิบัติตามพวกเขาย่อมเดินบนหนทางของท่านศาสนทูต ﷺ ซึ่งคือหนทางสู่ความพอพระทัยของอัลลอฮ์ และความรอดพ้นในโลกหน้า
ความหมายและการอธิบาย
หากความรักที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสั่งให้มีต่อ อะฮ์ลุลบัยตเป็นเพียงความรักธรรมดาที่เกิดจากอารมณ์หรือความรู้สึกส่วนตัวเท่านั้น ย่อมไม่มีความจำเป็นที่อัลลอฮ์ผู้ทรงสูงส่งจะทรงกำหนดให้เป็น “รางวัลตอบแทนแห่งการเผยแผ่วะฮ์ยู”
เพราะตามหลักศาสนาแล้วมุสลิมทุกคนมีหน้าที่ต้องรักและผูกพันกับผู้ศรัทธาทุกคนอยู่แล้วไม่เพียงแต่กับอะฮ์ลุลบัยต์เท่านั้นพระองค์อัลลอฮ์ตรัสว่า:
إِنَّمَا الْمُؤْمِنُونَ إِخْوَةٌ
“แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายคือพี่น้องกัน” (อัลหุญุรอต:10)
และยังตรัสอีกว่า:
وَالْمُؤْمِنُونَ وَالْمُؤْمِنَاتُ بَعْضُهُمْ أَوْلِيَاءُ بَعْضٍ
“บรรดาชายและหญิงผู้ศรัทธา ต่างเป็นมิตรและผู้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน" (อัตเตาบะฮ์ /71)
ชัดเจนว่าความเป็นพี่น้องหรือความเป็นผู้ช่วยเหลือกันนั้นย่อมมีพื้นฐานอยู่บนความรักและความปรารถนาดีซึ่งกันและกัน
นอกจากนี้ยังมีรายงานหะดีษหลายบทที่ยืนยันถึงความจำเป็นของการรักมิตรผู้ศรัทธาและการห้ามเป็นศัตรูกับพวกเขา ซึ่งเป็นหนึ่งในมารยาทแห่งอีหม่าน
#หะดีษอัษ-ษะเกาะลัยน์ (حديث الثقلين)
ในเรื่องนี้มีรายงานหะดีษจำนวนมากที่มาจากแหล่งซุนนีและชีอะฮ์ร่วมกันโดยเนื้อหาและความหมายสอดคล้องกันทุกประการ
1. รายงานของอัต-ติรมิซีย์ และอัล-อะอ์มะช
อัต-ติรมิซีย์ รายงานจากอบูซะอีด และอัล-อะอ์มะช รายงานจากหะบีบ อิบนุ อบี ษอบิต จากซัยด์ อิบนิ อัรกอม ว่าท่านเราะสูลุลลอฮ์ ﷺ ได้ตรัสว่า:
«إِنِّي تَارِكٌ فِيكُمْ مَا إِنْ تَمَسَّكْتُمْ بِهِ لَنْ تَضِلُّوا بَعْدِي، أَحَدُهُمَا أَعْظَمُ مِنَ الآخَرِ، كِتَابُ اللَّهِ حَبْلٌ مَمْدُودٌ مِنَ السَّمَاءِ إِلَى الأَرْضِ، وَعِتْرَتِي أَهْلُ بَيْتِي، وَلَنْ يَتَفَرَّقَا حَتَّى يَرِدَا عَلَيَّ الْحَوْضَ، فَانْظُرُوا كَيْفَ تَخْلُفُونِي فِيهِمَا»
“แท้จริง ฉันได้ทิ้งสิ่งหนึ่งไว้แก่พวกท่าน ซึ่งหากพวกท่านยึดมั่นในมัน พวกท่านจะไม่หลงทางหลังจากฉัน สิ่งนั้นคือสองสิ่งที่ยิ่งใหญ่ หนึ่งในนั้นยิ่งใหญ่กว่าอีกสิ่งหนึ่ง คือ คัมภีร์ของอัลลอฮ์ ซึ่งเป็นเชือกที่ขึงจากฟ้าสู่แผ่นดิน และอีกสิ่งหนึ่งคือ อะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน ทั้งสองจะไม่แยกจากกัน จนกว่าจะมาพบฉัน ณ สระเคาว์ษัร ดังนั้นจงดูเถิดว่าพวกท่านจะปฏิบัติต่อสิ่งทั้งสองนี้อย่างไร” (บันทึกโดย อัต-ติรมิซีย์)
2. รายงานในวันอะรอฟะฮ์ (หะญ์อัลวะดาอ์)
อัต-ติรมิซีย์ ยังรายงานจากญาบิร อิบนุ อับดิลลาฮ์ ว่า ในวันอะรอฟะฮ์ระหว่างการทำหะญ์ ท่านเราะสูล ﷺ ขณะขี่อูฐอยู่ ได้กล่าวว่า:
«يَا أَيُّهَا النَّاسُ إِنِّي قَدْ تَرَكْتُ فِيكُمْ مَا إِنْ أَخَذْتُمْ بِهِ لَنْ تَضِلُّوا بَعْدِي، كِتَابَ اللَّهِ وَعِتْرَتِي أَهْلَ بَيْتِي»
“โอ้ประชาชาติเอ๋ย! แท้จริงฉันได้ทิ้งสิ่งหนึ่งไว้แก่พวกท่าน ซึ่งหากพวกท่านยึดมั่นในมัน พวกท่านจะไม่หลงทางหลังจากฉัน สิ่งนั้นคือ คัมภีร์ของอัลลอฮ์ และอะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน” (อัต-ติรมิซีย์, อิบนุ อะษีร, อัซ-ซะยูฏีย์ บันทึกไว้ในตัฟซีรของอายะฮ์ “อัลมะวัดดะฮ์” ด้วยสำนวนเดียวกัน)
3. รายงานของอิมามอะห์มัด อิบนุ ฮัมบัล
อิมามอะห์มัด อิบนุ ฮัมบัล รายงานจากอบูซะอีด อัลคุดรีย์ ว่าท่านเราะสูล ﷺ กล่าวว่า:
«يُوشِكُ أَنْ أُدْعَى فَأُجِيبَ، وَإِنِّي تَارِكٌ فِيكُمُ الثَّقَلَيْنِ: كِتَابَ اللَّهِ عَزَّ وَجَلَّ وَعِتْرَتِي أَهْلَ بَيْتِي، وَإِنَّ اللَّطِيفَ الْخَبِيرَ أَخْبَرَنِي أَنَّهُمَا لَنْ يَفْتَرِقَا حَتَّى يَرِدَا عَلَيَّ الْحَوْضَ، فَانْظُرُوا كَيْفَ تَخْلُفُونِي فِيهِمَا»
“ใกล้เวลาแล้วที่ฉันจะถูกเรียก และฉันจะตอบรับ (การกลับสู่พระองค์) แต่แท้จริงฉันได้ทิ้งสองสิ่งอันมีค่าสูงสุดไว้แก่พวกท่าน คือ คัมภีร์ของอัลลอฮ์ผู้ทรงเกริกเกียรติ และอะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน พระผู้ทรงละเมียดละไมและทรงรอบรู้ได้บอกฉันว่า ทั้งสองจะไม่แยกจากกัน จนกว่าจะมาพบฉัน ณ สระเคาว์ษัร ดังนั้นจงพิจารณาดูเถิดว่าพวกท่านจะปฏิบัติต่อสิ่งทั้งสองนี้เช่นไร (รายงานโดย อะห์มัด อิบนุ ฮัมบัล และฟัครุดดีน อัรรอซีย์ ในตัฟซีรของโองการ وَاعْتَصِمُواْ بِحَبْلِ اللّهِ جَمِيعاً وَلاَ تَفَرَّقُواْ [อาลิอิมรอน 3:103])
4. รายงานในช่วงวาระสุดท้ายของท่านเราะสูล ﷺ อิบนุ หะญัร รายงานว่าท่านเราะสูล ﷺ ในช่วงอาการเจ็บป่วยก่อนถึงวาระสุดท้ายได้กล่าวกับประชาชนว่า:
“โอ้ประชาชาติเอ๋ยใกล้แล้วที่ฉันจะจากพวกท่านไปยังโลกเบื้องบน แต่ฉันได้ทิ้งสิ่งสองสิ่งไว้แก่พวกท่าน คือคัมภีร์ของอัลลอฮ์ และ อะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน”
แล้วท่านได้จับมือของอาลี(อ) และยกขึ้น พร้อมกล่าวว่า:
«هذا عليٌّ مع القرآن والقرآنُ مع عليٍّ، لن يفترقا حتى يَرِدا عليَّ الحوض»
“นี่คืออาลีอยู่กับอัลกุรอาน และอัลกุรอานอยู่กับอาลี ทั้งสองจะไม่แยกจากกันจนกว่าจะมาพบฉัน ณ สระเคาว์ษัร”
5. รายงานของอัล-ฮัยษะมี จากซัยด์ อิบนิ อัรกอม เมื่อท่านเราะสูล ﷺ มาถึง ญุห์ฟะฮ์ ได้กล่าวคุตบะฮ์และประกาศว่า:
 “ดูเถิด พวกท่านจะปฏิบัติต่อ อัษ-ษะเกาะลัยน์ (สองสิ่งอันมีค่า) อย่างไร”
มีผู้ถามว่า “โอ้ท่านเราะสูลแห่งอัลลอฮ์! อัษ-ษะเกาะลัยน์คืออะไร?”
ท่านตอบว่า: “คือ คัมภีร์ของอัลลอฮ์ ปลายข้างหนึ่งอยู่ในพระหัตถ์ของอัลลอฮ์ อีกปลายหนึ่งอยู่ในมือของพวกท่าน เป็นสายเชื่อมระหว่างพวกท่านกับพระองค์ พวกท่านจะไม่หลงทางตราบเท่าที่ยึดมั่นในคัมภีร์นี้ และอีกสิ่งหนึ่งคือวงศ์วานของฉัน (อะฮ์ลุลบัยต์) พระผู้ทรงละเมียดละไมและทรงรอบรู้ได้แจ้งแก่ฉันว่า ทั้งสองจะไม่แยกจากกันจนกว่าจะมาพบฉัน ณ สระเคาว์ษัร”
แล้วท่านได้กล่าวเตือนประชาชาติว่า:
“อย่านำหน้าทั้งสองสิ่งนี้ เพราะพวกท่านจะพินาศ และอย่าละเลยในการเคารพและปฏิบัติตามทั้งสอง เพราะพวกท่านจะพินาศ และอย่าพยายามสอนอะไรแก่พวกเขา เพราะ อะฮ์ลุลบัยต์รู้เหนือกว่าพวกท่านทั้งหลาย”
จากนั้นท่านเราะสูล ﷺ ได้จับมือของอาลี(อ) แล้วกล่าวว่า:
«مَن كنتُ مولاه فعليٌّ مولاه، اللهم والِ من والاه وعادِ من عاداه»
“ผู้ใดที่ฉันเป็นผู้มีสิทธิ์เหนือเขา (มะวลา) อาลีย่อมเป็นผู้มีสิทธิ์เหนือเขาเช่นกัน ข้าอัลลอฮ์ ขอพระองค์ทรงรักผู้ที่รักอาลี และทรงเป็นศัตรูกับผู้ที่เป็นศัตรูกับอาลี”
#ความน่าเชื่อถือของหะดีษ
ข้อความนี้ในทุกสายรายงานมีสาระเดียวกัน และนักหะดีษจำนวนมากได้ยืนยันว่าหะดีษนี้อยู่ในระดับมุตะวาติร (متواتر) กล่าวคือมีรายงานโดยซอฮาบะฮ์มากกว่ายี่สิบท่านตามคำกล่าวของอัล-มะนาวีที่อ้างจากอัซ-ซะมัฮูดี
ดังนั้นคำสอนนี้เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า “อัลกุรอานและอะฮ์ลุลบัยต์” เป็นสิ่งที่ต้องยึดถือควบคู่กันและการละเลยสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะนำไปสู่ความหลงผิด
#สรุปสาระสำคัญ:
1. ความรักต่ออะฮ์ลุลบัยต์ไม่ใช่เพียงความรู้สึกหรืออารมณ์ แต่เป็นหลักศรัทธาที่อัลลอฮ์ทรงกำหนดให้เป็นรางวัลแห่งการเผยแผ่ของเราะสูล ﷺ
2. อัลกุรอานและอะฮ์ลุลบัยต์เป็นสองสิ่งที่ไม่แยกจากกันและการยึดมั่นทั้งสองคือการคงอยู่ในทางนำ
3. ความรักนำสู่การปฏิบัติตาม และการปฏิบัติตามนี้เองที่เป็นเส้นทางแห่งความรอดพ้น


บทความโดย เชคยูซุฟ เพชรกาหรีม

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม