เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

การเป็นศาสดาคนสุดท้ายของโลก

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

การเป็นศาสดาคนสุดท้ายของโลก

 


อัลกุรอาน

อัลลอฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า

مَّا كَانَ مُحَمَّدٌ أَبَا أَحَدٍ مِّن رِّجَالِكُمْ وَلَكِن رَّسُولَ اللَّهِ وَخَاتَمَ النَّبِيِّينَ وَكَانَ اللَّهُ بِكُلِّ شَيْءٍ عَلِيمًا

มุฮัมมัดมิได้เป็นบิดาผู้ใดในหมู่บุรุษของพวกเจ้า แต่เขาเป็นรอซูลของอัลลอฮฺและคนสุดท้ายแห่งบรรดานบี  และอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้ทุกสิ่ง
(ซูเราะฮ์อัลอะหฺซาบ :40)

 

อัลหะดีษ

 

ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า :
ศาสดาคนแรกคือ อาดัม และคนสุดท้ายของพวกเขาคือมุฮัมมัด

 

ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า :

อุปมาเช่นข้าพเจ้าในหมู่ศาสดานั้น เปรียบอุปมัยดั่งเช่น ชายคนหนึ่งได้สร้างบ้านไว้หลังหนึ่ง ดังนั้นเขาสร้างมันอย่างดี อย่างสวยงามและตบแต่งมันอย่างดีที่สุด และเขาทิ้งช่องอิฐหนึ่งของมันไว้  แล้วผู้คนมาเวียน(ชม)ต่ออาคารหลังนั้น และพวกเขาแปลกใจมัน แล้วกล่าวว่า  หากเขาทำให้ช่องหินตรงนั้นสมบูรณ์(ก็จะสวยที่สุด)  และฉันในหมู่บรรดาศาสดาคือช่องอิฐอันนั้น

 

 ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า : แท้จริงฉันถูกส่งมา เป็นผู้เปิด(กิจการ)และเป็นผู้ปิดคนสุดท้าย

 

 

ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า : ในอนาคตในประชาชาติของฉันจะมีคนโกหกสามสิบคนทั้งหมดจะอ้างว่า เขาคือศาสดา และฉันคือศาสดาคนสุดท้าย จะไม่มีศาสดาหลังจากฉันอีก

 

โอ้มนุษย์ทั้งหลาย  แท้จริงจะไม่มีศาสดาหลังจากฉันอีกแล้ว  และจะไม่มีแนวทางอีกแล้วหลังจากแนวทางของฉัน  แล้วผู้ใดอ้างสิ่งนั้น ดังนั้นคำอ้างของเขาและบิดอะฮ์(อุตริกรรม)ของเขาจะอยู่ในไฟนรก

 

 ฉันคือผู้ตามมาหลังสุด ซึ่งหลังจากมันแล้วจะไม่ศาสดาอีก

 

 ฉันคือศาสดาคนสุดท้ายแห่งบรรดาศาสดา

 

อิมามอะลีได้กล่าวในเรื่องมับอัษของท่านนบี (ศ) ว่า :

อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงส่งมุฮัมมัดมาเป็นรอซูลของอัลลอฮฺ (ศ) เพื่อทำให้สัญญาของพระองค์เสร็จสิ้นและเพื่อทำให้ตำแหน่งนุบูวะฮฺของพระองค์สมบูรณ์แบบ


อิมามอะลี(อ) : ในเรื่องซิฟัตท่านนบี(ศ) : เขาคือ ผู้ซื่อสัตย์แห่งวะฮ์ยูของพระองค์  คนสุดท้ายแห่งรอซูลของพระองค์  ผู้แจ้งข่าวดีแห่งความเมตตาของพระองค์ ผู้เตือนข่าวร้ายแห่งการลงทัญฑ์ของพระองค์

 

อิมามศอดิก(อ)กล่าวว่า :  แท้จริงอัลลอฮฺ อัซซะ ซิกรุฮู  แท้จริงอัลลอฮฺทรงปิดผนึกบรรดาศาสดาด้วยนบีของพวกเจ้า ดังนั้นจะไม่มีนบีหลังจากเขาอีกตลอดกาล และทรงปิดผนึกคัมภีร์ต่างๆด้วยคัมภีร์(กุรอ่าน)ของพวกเจ้า ดังนั้นจะไม่มีคัมภีร์ใดหลังจากเขาอีกตลอดกาล

 

อิมามศอดิก(อ)กล่าวว่า : จนกระทั่งมุฮัมมัด(ศ)ได้มา  แล้วเขาได้มาพร้อมอัลกุรอาน ด้วยหลักธรรมของเขาและแนวทางของเขา  ดังนั้นการอนุมัติของเขา คือการสิ่งอนุมัติตราบถึงวันกิยามะฮฺ และการห้ามของเขา เป็นสิ่งต้องห้ามตราบถึงวันกิยามะฮฺ

 

 ซอฮี๊ฮฺมุสลิม จากสะอีด บิน อัลมุสสัยยิบ จากอามิร บิน สะอัด บิน อบีวักก็อศ จากบิดาเขาเล่าว่า :

ท่านรอซูลุลลอฮฺ (ศ)กล่าวกับท่านอาลี(อ)ว่า : เจ้ากับฉันมีสถานะดั่งมูซากับฮารูน นอกจากว่าจะไม่มีนบีหลังจากฉันอีกแล้ว

 

วิจัยเกี่ยวกับปรัชญา(ฮิกมะฮฺ)ในตำแหน่งนบีคนสุดท้าย

 

   การสนทนาถึงฮิกมัตของตำแหน่งศาสดาคนสุดท้ายนั้นเป็นเรื่องยาว แต่สามารถถึงมัน ณ ที่นี้ แบบสั้นๆว่า ปรัชญาการส่งบรรดาศาสดาของพระเจ้ามายังมนุษย์คือ นำเสนอโปรแกรมพัฒนาสังคมมนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์  ซึ่งจำเป็นจะต้องสร้างความสมบูรณ์ในการประกาศโปรแกรมนี้แก่มนุษยชาติแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไปทีละขั้นตอน  เพราะอุปมาสังคมตลอดระยะเวลาที่ผ่านในอดีต อุปมัยดั่งเด็กน้อยที่ต้องได้รับการอบรมเลี้ยงดูอยู่ในอ้อมอกการอบรมสั่งสอนของบรรดาศาสดา  และด้วยเหตุนี้เอง แท้จริงโปรแกรมของบรรดาศาสดานั้นจะอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินชีวิตของเด็กน้อยผู้นี้ที่มีภาวะแตกต่างกันไป อันจำเป้นจะต้องดำเนินการให้เหมาะสมกับธรรมชาติของเขาและพื้นฐานการรับของเขา

 

   บนพื้นฐานนี้เอง รูปแบบดำเนินการจะต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆสำหรับโปรแกรมของบรรดาศาสดาอยู่ในสี่ขั้นตอน จากสี่ระยะเวลาในอดีตก่อนที่อิสลามจะมาประกาศ และการประกาศเผยแผ่การเปลี่ยนแปลงต่างๆสู่สังคมนี้ได้เสร็จสมบูรณ์ลงด้วยสื่อกลางคือบุรุษสี่ท่านจากบรรดาศาสดาของพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่ พวกเขาเหล่านั้นคือผู้เป็นเจ้าของคัมภีร์และหลักธรรมคำสอน และเราเรียกชื่อพวกเขาว่า  ศาสดาแห่งหลักธรรม คือ ท่านศาสดานูหฺ(โนอาห์)  ศาสดาอิบรอฮีม(อับราฮัม)  ศาสดามูซา(โมเสส)และศาสดาอีซา(เยซู)


  ปรากฏว่าบรรดาศาสดาของพระเจ้าท่านอื่น ล้วนแต่เป็นผู้ประกาศเผยแผ่ตามหลักธรรมของบรรดาศาสดาเหล่านี้ผู้เป็นเจ้าของหลักธรรม  ซึ่งการชี้นำแห่งพระเจ้าได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องจากระหว่างพวกเขา จนกระทั่งสังคมได้ย้อนกลับมามีพื้นฐานเพื่อรองรับการประกาศริซาละฮ์(สาร)สุดท้ายของพระผู้เป็นเจ้า  และ ณ บัดนี้ ถือว่าได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์แบบแล้วซึ่งการประกาศครั้งสุดท้ายของโปรแกรมพัฒนามนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์และเป็นโปรแกรมที่สมบูรณ์ที่สุดสู่มวลมนุษยชาติ โดยอาศัยสื่อจากศาสดาคนสุดท้ายแห่งศาสดาทั้งหลาย อันเป็นแหล่งทุกสิ่งเรียกมันว่า พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน เพื่อการดำเนินการอย่างต่อเนื่องของเหล่าศาสดาทั้งหลายจะได้สิ้นสุดลงด้วยการประกาศสารฉบับนี้

 

ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)ได้อธิบายไว้ในวจนะหนึ่งว่า

 

مثلي في النبيين كمثل رجل بنى داراً، فأحسنها وأكملها وأجملها وترك فيها موضع لبنة لم يضعها، فجعل الناس يطوفون بالبنيان، ويعجبون منه ويقولون: لو تم موضع هذه اللبنة، فأنا في النبيين موضع تلك اللبنة

رواه البخارى ومسلم والترمذى عن جابر، وابن حنبل ومسلم والبخارى عن أبى هريرة

 

อุปมาของฉันในหมู่ศาสดาทั้งหลาย เปรียบอุปมัยเช่น ชายคนหนึ่งได้สร้างบ้านหลังหนึ่ง แล้วเขาสร้างมันอย่างดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด  และตกแต่งมันสวยงามที่สุด และเขาได้เว้นส่วนหนึ่งของมันไว้สถานที่ก้อนอิฐหนึ่ง เขาไม่ได้ใส่มันลงไป  ดังนั้นผู้คนได้เข้ามาเวียนชมการสร้างบ้านหลังนั้น และพวกเขาแปลกใจมัน และพวกเขากล่าวว่า หากเขาเติมก้อนอิฐตรงที่นั้น (ก็จะสมบูรณ์แบบ) และฉันในหมู่บรรดาศาสดาคือสถานที่ของอิฐก้อนนั้น นั่นเอง

 

 ตามตัวอย่างดังกล่าวนี้ แท้จริงอัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงมีเจตนาในช่วงระหว่างที่ส่งบรรดาศาสดาทั้งหลายมา ที่จะสร้างอาคารแห่งมะอฺนาวี(ทางจิตวิญญาณ)ไว้ในโลกใบนี้ เพื่ออบรมสั่งสอนมนุษย์ให้เป็นผู้สมบูรณ์

 

لم يكن العالم يستطيع بدونه ان يربيّ سوي الحيوان

 

กล่าวคือ แท้จริงอัลลอฮ์ (ซบ.) คือวิศวกรของอาคารหลังนี้ เว้นแต่ว่า อาคารของพระองค์หลังนี้นั้นต้องใช้เวลาหลายศตวรรษ นั่นเป็นเพราะ พระองค์คือผู้ทรงกำหนดกะเกณฑ์ที่จะจัดเตรียมส่วนประกอบต่างๆของอาคารและพื้นที่อาคารของพระองค์เองตามระยะเวลาเป็นช่วงๆ  และตัวอย่างอิฐก้อนปฐมฤกษ์สำหรับอาคารแห่งจิตวิญญาณหลังนี้คือท่านศาสดาอาดัม อะลัยฮิสสลาม ส่วนก้อนสุดท้ายของมันคือ ท่านศาสดาคนสุดท้าย (ศ) พร้อมกันนั้นการส่งนบีคนสุดท้ายมา ถือว่าสถาบันอบรมสั่งสอนสังคมมนุษยชาติได้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้วทั้งหมดทุกด้าน  ซึ่งโปรแกรมของสถาบันนี้ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการพัฒนาลูกหลานมนุษย์ทั้งหมดสู่ความสมบูรณ์ จากทั้งสองด้านคือทางวัตถุและทางจิตวิญญาณ จนถึงวาระสุดท้ายของโลก และนั่นคือการสิ้นสุดตำแหน่งนุบูวะฮฺ

 

แต่ตำแหน่งอิมามะฮฺ(อิม่าม)ผู้นำประชาชาติและผู้ชี้นำทางของพวกเขายังจะต้องดำเนินต่อไป ภายหลังการสิ้นสุดตำแหน่งนุบูวะฮฺโดยสื่อกลางจากท่านศาสดาคนสุดท้าย(ศ)ผ่านมาสู่อะฮ์ลุลบัยต์ (อ) ตามที่อัลกุรอานได้ประกาศไว้ว่า

 

إِنَّمَا أَنْتَ مُنْذِرٌ وَلِكُلِّ قَوْمٍ هَادٍ

แท้จริงเจ้า(มุฮัมมัด)เป็นเพียงผู้ตักเตือนเท่านั้น และสำหรับทุกประชาชาติย่อมมีผู้นำ

(อัลเราะอฺดุ : 7 )


และมีหะดีษของทั้งสองฝ่าย(ซุนนี่/ชีอะฮ์)กล่าวไว้ชัดเจนถึงความหมายของคำ

“ อัลฮาดี – الهَادِيُّ “ ในที่นี้หมายถึง ท่านอิม่ามอาลี (อ) ตามที่กล่าวไว้ในหนังสือตารีคดามัสกัส :  
เมื่อโองการ ((
إِنَّمَا أَنْتَ مُنْذِرٌ وَلِكُلِّ قَوْمٍ هَادٍ   -แท้จริงเจ้า(มุฮัมมัด)เป็นเพียงผู้ตักเตือนเท่านั้น และสำหรับทุกประชาชาติย่อมมีผู้นำ)) ประทานลงมา ท่านนบี(ศ)กล่าวว่า : ข้าพเจ้าเป็นผู้ตักเตือน และอาลีคือผู้นำ

 

 ต่อจากนั้นตำแหน่งอิมามะฮฺ(ผู้นำ)ภายหลังจากท่านอิม่ามอาลีได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องในอะฮ์ลุลบัยต์ของท่าน ตามที่มีรายงานจากท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ) กล่าวว่า :

(( ข้าพเจ้าคือ ผู้ตักเตือน และอาลีเป็นผู้นำ และทุกอิม่าม ผู้ชี้นำสำหรับศตวรรษหนึ่งที่เขาอยู่ในสมัยนั้น ))

 

มีอีกรายงานหนึ่งจากท่านอิม่ามบากิร(อ) กล่าวว่า :

(( ท่านรอซูลุลลอฮฺ คือ ผู้ตักเตือน และท่านอาลีคือ ผู้นำ และขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า มัน(ตำแหน่งผู้นำ)จะไม่สลายไปจากเรา และมันยังคงอยู่ในเราตราบถึงวันสิ้นโลก ))

 

และยังมีรายงานย้ำถึงความจริงของเรื่องนี้ไว้ในฮะดีสษะเกาะลัยน์ อันเป็นรายงานที่มุตะวาติร และเชื่อมั่นได้แน่นอนอีกเช่นกัน  ด้วยเหตุนี้ตำแหน่งอิมามะฮฺ ผู้นำของพระเจ้า สำหรับอะฮ์ลุลบัยต์ของท่านศาสดา(ศ)จึงดำเนินต่อมา จนกระทั่งระยะเวลาเกือบสามศตวรรษ  แต่หลังจากท่านอิม่ามฮาซัน อัสกะรี(อ) สิ้นชีพลง  ส่งผลให้พระเจ้าต้องใช้วิทยปัญญา  ที่จะต้องเก็บซ่อนตัวอิม่าม(คนที่12 ) ภายหลังจากเขา (เขาคือบิดาแห่งจิตวิญญาณของประชาชาติอิสลาม) มิให้ปรากฏต่อสายตาผู้คน  โดยท่านได้มอบหมายกิจการของสังคมมุสลิม ที่เป็นเสมือนเด็กกำพร้าไว้ในการดูแลของบรรดาฟุกอฮาอฺและอุละมาอ์  ตามที่มีรายงานจากท่านอิม่ามฮาซัน อัสกะรี(อ)ว่า

 

حدثني أبي عن آبائه عليهم السلام عن رسول الله صلى الله عليه وآله أنه قال: أشد من يتم اليتيم الذي انقطع من أمه وأبيه ، يتم يتيمٍ انقطع عن إمامه ولا يقدر على الوصول إليه ، ولايدري كيف حكمه فيما يبتلى به من شرائع دينه، ألا فمن كان من شيعتنا عالماً بعلومنا فهذا الجاهل بشريعتنا المنقطع عن مشاهدتنا يتيم في حجره، ألا فمن هداه وأرشده وعلمه شريعتنا ، كان معنا في الرفيق الأعلى

 

บิดาฉันเล่าให้ฉันฟัง จากบรรดาบิดาของพวกท่าน (อ) จากท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ) แท้จริงท่านกล่าวว่า : ความรุนแรงที่สุดจากความกำพร้าของเด็กกำพร้าที่ขาดทั้งมารดาและบิดาของเขา คือความกำพร้าของเด็กกำพร้าที่ขาดอิม่ามผู้นำของเขา และเขาไม่สามารถติดต่อถึงผู้นำของเขาได้ และไม่รู้ว่าฮุก่ม(หลักปฏิบัติตน)ของเขาเป็นอย่างไรในสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่กับมันจากในแง่ของหลักศาสนาของเขา   พึงรู้เถิดว่า ผู้ที่เป็นชีอะฮ์ของเรา ที่เป็นผู้รู้วิชาการต่างๆของเรา  และผู้ไม่รู้เรื่องหลักศาสนาของเขาคนนี้ เขาถูกตัดขาดจากการพบเห็นกับเรา เขาคือเด็กกำพร้าที่อยู่ในอ้อมอกของเขา(ผู้รู้)  จงรู้เถิดว่า ผู้ใดชี้นำเขา ให้คำแนะนำแก่เขาและสอนชะรีอัตของเราแก่เขา  ผู้นั้นจะได้อยู่กับเรา ณ. ที่อัลลอฮ์

 

และจากฮิกมัตการฆ็อยบะฮ์ของท่านอิม่ามมะฮ์ดี(อ)นั้นถือว่า เป็นการฝึกฝนทดสอบมนุษย์ด้วยรูปแบบการปกครองต่างๆที่แอบอ้างว่ามีความยุติธรรม ให้อิสระเสรี และให้สิทธิมนุษยชน  โดยมนุษย์จะรับรู้จากช่วงเวลาแห่งการทดสอบนี้ว่า การปกครองชี้นำจากบรรดาผู้นำของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมในโลกนี้ได้  และประชาชาติอิสลามก็จะได้รับรู้เช่นเดียวกันว่า แท้จริงการครอบครองโปรแกรมสมบูรณ์ที่สุดไว้เป็นกรรมสิทธิ์นั้นยังไม่เพียงพอที่จะนำสู่สังคมมุสลิมตามที่สัญญาและตามที่ต้องการได้ แต่ทว่าตำแหน่งอิมามะฮ์ของอะฮ์ลุลบัยติน-นุบูวะฮ์นั้นคือสิ่งจำเป็นที่จะต้องดำรงอยู่เคียงข้างกับมันด้วยเช่นกัน

 

 แน่นอนได้มีการกล่าวอธิบายถึงปรัชญานี้ไว้ในรายงานจากท่านอิม่ามศอดิก(อ)ว่า :

กิจการนี้(วันสิ้นโลก)จะยังไม่เกิด จนกว่าจะไม่หลงเหลือบุคคลประเภทใดจากมนุษย์ นอกจากพวกเขาขึ้นมาปกครอง สวนหนึ่งจากผู้คน จนกระทั่งไม่มีคนจะกล่าวว่า แท้จริงเราหากเราได้ขึ้นมาปกครอง เราจะให้ความยุติธรรมอย่างแน่นอน ต่อจากนั้นอัลกออิม(อิม่ามมะฮ์ดี) ก็จะปรากฏตัวออกมาสถาปนาพร้อมกับสัจธรรมและความยุติธรรม


หลังจากที่จัดเตรียมสนามทางการเมืองการปกครองและสังคมสำหรับรัฐอิสลามแห่งโลกได้สมบูรณ์แล้ว  บุคคลที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเก็บไว้ผู้เดียวเท่านั้นก็จะปรากฏตัวออกมาเพื่อสถาปนาความยุติธรรม  และพร้อมกับการปรากฏสิ่งนั้น ในไม่ช้าพันธะสัญญาของพระเจ้าก็จะเป็นจริง  ผู้พิพากษาด้วยการเผยแพร่อิสลามไปทั่งทุกมุมโลก นี่คือสัญญาที่ในคัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวย้ำไว้สามครั้งคือ :

هُوَ الَّذِي أَرْسَلَ رَسُولَهُ بِالْهُدَى وَدِينِ الْحَقِّ لِيُظْهِرَهُ عَلَى الدِّينِ كُلِّهِ

(อัลลอฮฺ) คือผู้ที่ได้ส่งรอซูลของพระองค์มาพร้อมกับคำแนะนำ และศาสนาแห่งสัจธรรม เพื่อที่จะทรงให้ศาสนาแห่งสัจธรรมนั้นประจักษ์เหนือศาสนาทุกศาสนา

(อัต-เตาบะฮ์ : 33   ,อัลฟัตฮุ : 27 และอัศ-ศ็อฟฟุ : 9  )

 

ขอขอบคุณเว็บไซต์q4wahabi

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม