เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

ความหมายของการซอละวาต(ประสาทพร)แด่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.)

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

ความหมายของการซอละวาต(ประสาทพร)แด่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.)

 

"แท้จริงอัลลอฮฺและมะลาอิกะฮฺ (เทวทูต) ของพระองค์ประสาทพรแก่ศาสดา

 โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย! พวกเจ้าจงประสาทพรให้เขาและกล่าวทักทายเขาโดยคารวะ"

 (อัล-กุรอาน 33/56)

 

วิธีหนึ่งที่ดีที่สุดในการที่จะได้รู้จักบุคลิกภาพของมหาบุรุษนั้น คือการศึกษาผลงานประพันธ์ของพวกท่าน และรับฟังถ้อยคำของพวกท่าน ดังที่อิหม่ามอะลีได้กล่าวไว้ในหนังสือ

นะฮฺญุล-บะลาเฆาะฮฺ :

 

"มนุษย์นั้นซ่อนอยู่เบื้องหลังลิ้นของเขา"

 

หมายความว่า ด้วยคำพูดของเรานี้เองที่เป็นการแนะนำตัวเองออกไป ไม่ใช่ใบรับรองใดๆ ของเรา

 

คนในกลุ่มที่แตกต่างกันด้วยหน้าที่การงานก็จะใช้สำนวนภาษาที่แตกต่างกันไป กลุ่มนักการเมืองก็มีสำนวนภาษาของตัวเอง เช่นเดียวกับกลุ่มแพทย์, คนขับรถ และอื่นๆ สำนวนภาษาของคนขับรถบรรทุกแตกต่างไปจากของบรรดาศาสตราจารย์ เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเขาพูดคุยกัน คุณก็จะสามารถบอกได้เลย จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความชำนาญในด้านนี้ของคุณว่าพวกเขาอยู่ในระดับไหนของสังคม

 

จะขอนำเสนอถ้อยคำแห่งวิทยปัญญาของท่านอิหม่ามริฎอ(อ.) สักบทหนึ่ง เป็นฮะดีษ(รายงานคำพูด) ที่กล่าวถึงความหมายของการซอละวาต(ประสาทพร) ซึ่งเรากล่าวกันอยู่ทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง อย่างไรก็ตาม พวกเราหลายคนอาจจะไม่รู้ถึงความหมายของมันอย่างเพียงพอ

 

เชคศอดูก ผู้รู้ที่ทรงคุณวุฒิท่านหนึ่งของเรา ซึ่งมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 แห่งปีฮิจเราะฮฺ ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ "อุยูน-อัคบารุล-ริฎอ" (น้ำพุแห่งวิทยปัญญาของอิหม่ามริฎอ) ข้าพเจ้าได้อ้างอิงฮะดีษ (รายงานคำพูด) จากหนังสือเล่มนี้

 

อิมามริฎอ(อ.) กล่าวว่า "โอ้ อัลลอฮฺ! โปรดประสาทพรให้แก่บุคคลผู้หนึ่งซึ่งในนมาซประจำวันได้รับเกียรติด้วยการประสาทพรแก่เขา"

 

การสลาม(อวยพร) และซอละวาต(ประสาทพร) ให้แก่ท่านศาสดา เป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ใน

กุรอาน ในบทที่ 33 โองการที่ 56 ความว่า:

 

"แท้จริงอัลลอฮฺและมะลาอิกะฮฺ (เทวทูต) ของพระองค์ประสาทพรแก่ศาสดา

โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย! พวกเจ้าจงประสาทพรให้เขาและกล่าวทักทายเขาโดยคารวะ"

 (อัล-กุรอาน 33/56)

 

ฉะนั้น การส่งสลาม(อวยพร) และซอละวาต(ประสาทพร)ให้แก่ศาสดาแห่งอิสลาม เป็นลักษณะพิเศษที่เห็นเด่นชัดประการหนึ่งของศาสดาของเรา ซึ่งศาสดาท่านอื่นๆ ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้รับมาก่อน มุสลิมทั่วโลก นับตั้งแต่สมัยที่โองการข้างต้นได้ถูกประทานลงมา จนกระทั่งถึงวันแห่งการพิพากษา จำเป็นต้องให้การซอละวาต(ประสาทพร) แก่ท่านศาสดาแห่งอิสลาม มุสลิมที่อะซาน(เรียกสู่การนมาซ) และอิกอมะฮฺ(เรียกให้ยืนขึ้นเพื่อนมาซ) วันละห้าเวลา และแม้แต่ในนมาซประจำวันของพวกเขา พวกเขาก็ได้ส่งการซอละวาต(ประสาทพร) ให้แก่ศาสดาแห่งอิสลาม

 

เรื่องนี้ตรงกับคำสัญญาอันสูงส่งที่ว่า "และเราได้ยกย่องให้แก่เจ้าแล้ว ซึ่งการกล่าวถึงเจ้า"

(อัล-กุรอาน 94/4)

 

มารยาทในการส่งคำประสาทพร

 

เมื่อคุณอยู่ต่อหน้าบุคคลที่มีเกียรติ์สูง คุณจะใช้สรรพนามชั้นสูง เช่น พระองค์, ท่าน, ดร., ฯพณฯ ท่าน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เมื่อบุคคลผู้นั้นไม่อยู่แล้ว และเราพูดถึงเขาเราอาจไม่สนใจที่จะใช้สรรพนามเหล่านั้น ในมารยาทของอิสลาม สรรพนามอันสูงส่งที่สุดใช้สำหรับอัลลอฮฺ(ซ.บ.) และถัดมาก็ใช้กับผู้บริสุทธิ์ทั้ง 14 ท่าน มุสลิมที่มีความรู้เชื่อว่าพวกเขาอยู่และควรจะอยู่ต่อหน้าเบื้องพระพักตร์ของอัลลอฮฺ และผู้บริสุทธิ์ทั้ง 14 ท่านอยู่เสมอ ดังนั้น พวกเขาจึงกล่าวถึงพระนามชื่อของพระองค์และท่านเหล่านั้นด้วยความเคารพเป็นอย่างสูง ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่า อิหม่ามโคมัยนี(ร.ฎ.) เคยกล่าวถึงพระนามของอัลลอฮฺ(ซ.บ.) โดยไม่มีคุณลักษณะอันสูงส่งของพระองค์อยู่ด้วยเลย

 

การซอละวาต(ประสาทพร) แก่ท่านศาสดาและวงศ์วานผู้บริสุทธิ์ของท่านจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้เอง

 

มรรคผลของการซอละวาต(ประสาทพร)

 

1.     เป็นการกระทำที่มีคุณค่ามากที่สุดในตาชั่งของคุณ

 

2.     เป็นการแก้ไขชดเชยความบาป

 

"ใครก็ตามที่ไม่สามารถแก้ไขชดเชยความบาปของเขาได้ เขาก็ควรจะกล่าวซอละวาต (ประสาทพร) ให้แก่ท่านศาสดามุฮัมมัด และอะฮฺลุลบัยต์ (วงศ์วาน) ของท่านศาสดา เพราะมันจะทำลายความบาปจนหมดสิ้น"

 

3. เป็นกุญแจของการตอบรับคำวิงวอน

 

มีรายงานฮะดีษ(คำพูด) หลายบทที่ระบุว่า เพื่อที่จะให้คำวิงวอนขอของคุณได้รับการตอบรับนั้น คุณจะต้องเริ่มต้นคำวิงวอนด้วยการซอละวาต(ประสาทพร) และจบด้วยการซอละวาต เพราะการซอละวาต(ประสาทพร)นั้น เป็นคำวิงวอนที่ได้รับการตอบรับอย่างแน่นอน และอัลลอฮฺ(ซ.บ.)นั้น คือผู้ทรงเมตตาจนเกินกว่าที่จะตอบรับเฉพาะคำขึ้นต้นและลงท้ายของคำวิงวอนของคุณ แต่ไม่ตอบรับคำวิงวอนขอที่อยู่ระหว่างนั้น

 

4. การรำลึกถึงท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) เท่ากับการรำลึกถึงอัลลอฮ์ (ซ.บ)

 

"ใครก็ตามที่รำลึกถึงอัลลอฮฺ จะได้รับรางวัลตอบแทน 10 ประการ และใครก็ตามที่รำลึกถึงท่านศาสดาจะได้รับรางวัลตอบแทน 10 ประการ เพราะอัลลอฮฺทรงเชื่อมศาสนทูตของพระองค์ไว้กับพระองค์เอง"

 

จากฮะดีษ(คำรายงาน) ของอิมามริฎอ (อ.) การซอละวาต(ประสาทพร) แก่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) และลูกหลานของศาสดา เท่ากับการตัสบีฮฺ(การสดุดีความบริสุทธิ์ของพระองค์อัลลอฮ์), ตะฮฺลีล(การสดุดีความเป็นเอกะของพระองค์อัลลอฮ์) และตักบีร(การสดุดีความเกรียงไกรของพระองค์อัลลอฮ์)

 

5. เป็นคำที่ดีที่สุดในมัสญิดอัล-ฮะรอม (มัสญิดศักดิ์สิทธิ์)

 

บางคนได้มาหาอิมามศอดิก(อ.) และกล่าวกับท่านว่าเขาได้ไปเยือนมัสญิดศักดิ์สิทธิ์ในนครมักกะฮฺ ในระหว่างที่เขาประกอบพิธีการอยู่นั้น เขาจำบทวิงวอนอื่นๆ ไม่ได้เลยนอกจากการซอละวาต(ประสาทพร) แก่ท่านศาสดามุฮัมมัด ท่านอิมามได้ตอบแก่เขาว่า ท่านได้จำบทวิงวอนที่ดีที่สุดแล้ว

 

6. ซอละวาต (ประสาทพร) เป็นการรักษาอาการหลงลืม

 

เป็นการพิสูจน์ในทางปฏิบัติว่า การซอละวาต(ประสาทพร) จะช่วยรักษาโรคหลงลืมได้

 

7. นมาซประจำวันจะเป็นโมฆะถ้าไม่มีการซอละวาต (ประสาทพร)

 

มัรญิอฺ(ผู้วินิจฉัยบทบัญญัติศาสนา)ทั้งหมดลงความเห็นว่า การซอละวาต(ประสาทพร) และ

ตะชะฮุด(ปฏิญาณตน) อยู่ในกฎข้อบังคับเดียวกัน และในกรณีเจตนาไม่กล่าวซอละวาต การนมาซนั้นถือเป็นโมฆะ นิกายชาฟิอี และฮัมบาลี ก็มีความเห็นเช่นเดียวกันนี้ในการกล่าวตะชะฮุด

(ปฏิญาณตน) เช่นกัน

 

ซอละวาตในจักรวาล

 

จักรวาลทั้งปวงขอการประสาทพรให้แก่ท่านศาสดา "อัลลอฮฺและมะลาอิกะฮฺ(เทวทูต)ของพระองค์ประสาทพรแก่ศาสดา" นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมท่านศาสดาจึงเป็น "พรสำหรับจักรวาล"

 

การปฏิบัติตามขั้นตอนแห่งธรรมชาตินี้ ผู้ศรัทธาได้ถูกบัญญัติให้ส่งคำประสาทพรให้แก่ท่านศาสดา

 

ตามข้อเท็จจริงแล้ว กฎเกณฑ์ทั้งหลายของอิสลามล้วนสอดคล้องกลมกลืนไปกับกฎของธรรมชาติ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้อิสลามได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งธรรมชาติ จักรวาลได้ขอการประสาทพรให้แก่ "พรของโลก" อยู่เป็นนิจสิน ดังนั้น ผู้ศรัทธาจึงถูกบัญญัติให้ทำตามกฎธรรมชาติข้อนี้ด้วยเช่นกัน

 

ความหมายของการซอละวาต(ประสาทพร)

 

1. ซอละวาต (ประสาทพร) คือพหูพจน์ของคำว่า ซอลาต ซึ่งมีความหมายว่า "การเรียกร้อง" (ดุอาอฺ) การเรียกร้องที่แท้จริงนั้นก็คือ การที่คนผู้เรียกพยายามที่จะดึงความสนใจจากคนผู้ถูกเรียก ประเภทของการดึงดูความสนใจ ถ้ามันมาจากแหล่งที่สูงกว่าเราเรียกว่า เราะฮฺมัต (พร) และถ้ามันมาจากแหล่งที่ต่ำต้อยกว่าเราเรียกว่า "ดุอาอฺ"(คำวิงวอน)

 

2. เป็นข้อเท็จจริงในหลักความเชื่อของอิสลามที่ว่า การมีอยู่ของศาสดามุฮัมมัด(ศ.) นั้น เป็นสิ่งที่มีอยู่สิ่งแรกที่มาจากอัลลอฮฺ หรือกล่าวได้ว่า การมีอยู่ของท่านนั้นอยู่บนยอดสูงสุดของบรรดาสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย ซึ่งหมายความว่า การประสาทพรแห่งการมีชีวิต ซึ่งมีอยู่ในการประสาทพรอื่นๆ ทั้งหลายนั้น มีแก่ท่านศาสดาเป็นคนแรก แล้วจึงไปยังสิ่งอื่นๆ คำวิงวอนของเราต่ออัลลอฮฺจะไม่ไปถึงยังพระองค์นอกจากโดยการผ่านศาสนทูตของพระองค์ เช่นเดียวกับที่การประสาทพรของอัลลอฮฺก็จะไม่มาถึงยังสิ่งถูกสร้างทั้งหลายของพระองค์นอกจากโดยผ่านศาสนทูตของพระองค์

 

เพราะฉะนั้น การซอละวาต(ประสาทพร)ของอัลลอฮฺที่มีแก่ท่านศาสดา ในเมื่อมันมาจากอัลลอฮฺผู้ทรงนาจ พระองค์ได้ส่งการประสาทพรแก่ศาสนทูตของพระองค์อยู่เป็นเนืองนิตย์ และดังนั้น ท่านศาสดาจึงได้เป็น "เราะฮฺมะตุน ลิล อาละมีน" (พรของจักรวาล)

 

การซอละวาตของมนุษย์แก่ท่านศาสดา คือการวิงวอนจากอัลลอฮฺให้ส่งการประสาทพรของพระองค์ให้แก่พวกเขาโดยผ่านท่านศาสดา ผู้ซึ่งเป็น เราะฮฺมะตุน ลิล อาละมีน(พรของจักรวาล) นั่นเอง

 

การซอละวาต(ประสาทพร)ของเทวทูต ดังที่ท่านอิหม่าม(อ.) ได้ระบุไว้ในฮะดีษข้างต้นนั้น คือ "ตัซกียะฮฺ" ตัซกียะฮฺหมายถึง การปลดเปลื้องและขจัดมลทิน ในที่นี้หมายถึงอะไร?

 

เทวทูตแต่ละท่านเป็นเสมือนคุณลักษณะอันงดงามอย่างหนึ่งของพระเจ้า ไม่มีเทวทูตท่านใดที่จะเป็นได้เหมือนคุณลักษณะอันสวยงามได้ทั้งหมด ในขณะที่ท่านศาสดาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด มีคุณลักษณะที่งดงามและสูงส่งทุกประการ นี่คือเหตุผลที่ทำให้ท่านมีความสูงส่งกว่าเทวทูตทั้งหลาย

 

มาถึงตรงนี้ บรรดาเทวทูตล้วนทำการปลดเปลื้องและขจัดมลทินให้แก่ท่านศาสดาอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ท่านเป็นอิสระจากความสามารถใดๆ ของพวกเขา นี่คือความหมายของการที่บรรดาเทวทูตก้มกราบแก่อาดัม ซึ่งหมายถึงบรรดาเทวทูตนั้นเป็นทาสรับใช้ของท่านศาสดาและอะฮฺลุลบัยต์(วงศ์วาน)ของท่าน

 

วิธีการกล่าวซอละวาต(ประสาทพร)

 

สิ่งที่ปรากฏอยู่ในอัล-กุรอานเกี่ยวกับวิธีการซอละวาต(ประสาทพร) ที่ต้องปฏิบัตินั้น คือการส่งคำประสาทพรให้แก่ท่านศาสดา ไม่มีการกล่าวถึง "อาละ" (ครอบครัวอันบริสุทธิ์ของท่าน)

 

มาถึงตรงนี้ ชีอะฮฺจึงถูกตั้งคำถามว่า ทำไม และด้วยพื้นฐานใด ที่พวกเขาได้เพิ่มคำว่า "อาละ" เข้าไปในการซอละวาต(ประสาทพร)?

 

คำตอบของคำถามนี้อยู่ที่กรณีแวดล้อมที่เกิดขึ้นหลังการประการโองการนี้

 

นักอรรถธิบายอัล-กุรอานส่วนใหญ่ได้กล่าวว่า เมื่อโองการนี้ถูกประทานลงมานั้น บรรดาสาวกได้ถามท่านศาสดาแห่งอิสลามว่า "โอ้ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ เรารู้วิธีการกล่าวสลาม(อวยพร) แก่ท่าน แต่เราจะกล่าวซอละวาต(ประสาทพร) ให้แก่ท่านว่าอย่างไร (ซึ่งเป็นสิ่งใหม่สำหรับพวกเขา) ท่านศาสดา(ศ.) กล่าวตอบว่า

 

"อัลลอฮุมมะ ซอลลิ อะลา มุฮัมมัด วะอาลิ มุฮัมมัด กะมา ซอลลัยตะ อะลา อิบรอฮีม อินนะกะ ฮามิดุน มะญีด"

 

นักวิชาการฝ่ายซุนนีหลายท่านได้ลงความเห็นว่าฮะดีษ(รายงานคำพูด)นี้มีความถูกต้องแม่นยำ

 

ยิ่งไปกว่านั้น มีสายรายงานฮะดีษ(คำพูด) ที่ท่านศาสดาได้เตือนประชาชนไม่ให้ส่งการซอละวาต(ประสาทพร)ที่ไม่ครบบริบูรณ์ให้แก่ท่าน เมื่อมีผู้ถามว่า การซอละวาต(ประสาทพร)ที่ไม่ครบบริบูรณ์หมายถึงอะไร ท่านตอบว่า : คือการซอละวาตให้แก่ฉันโดยไม่รวม "อาลิฮ์"(อะฮ์ลุลบัยต์) ของฉันด้วย

 

เป็นเรื่องน่าสนใจยิ่งที่จะกล่าวว่า ท่านมุสลิม ได้เปิดหัวข้อในซอฮิฮฺ (บันทึกสายรายงานฮะดีษที่ถูกต้อง) ของท่านในหัวข้อเรื่อง "บทว่าด้วยการซอลาวาต (ให้พร) แก่ท่านศาสดามุฮัมมัด"

 

ท่านได้กล่าวถึงฮะดีษ(รายงานคำพูด) เพียงสองบทในหัวข้อนี้ ที่เกี่ยวกับวิธีการซอละวาต(ประสาทพร) ที่ควรปฏิบัติ ทั้งสองฮะดีษระบุว่าให้กล่าว "มุฮัมมัดและ อาลิมุฮัมมัด" อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าท่านมุสลิมเอง หรือบางทีอาจเป็นผู้ตีพิมพ์ ที่ได้ละเลยข้อความภายในหัวข้อนี้ เพราะบนส่วนบนสุดของหัวข้อนี้ ที่มีชื่อของท่านศาสดาระบุอยู่นั้น มีประโยคที่พิมพ์ไว้ว่า "ซอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม" คำว่า "อาลิ" ถูกตัดออกไป ซึ่งเป็นเรื่องแปลกแต่จริง

 

แปล/เรียบเรียงโดย : เญาฮาเราะห์

ขอขอบคุณเว็บไซต์อะฮ์ลุลบัยต์อะคาเดมี

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม