เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

ลัยละตุลก็อดรฺ (รัตติกาลแห่งอานุภาพ) ตอนที่ 4

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

ลัยละตุลก็อดรฺ (รัตติกาลแห่งอานุภาพ) ตอนที่ 4

โดย ฮุจญตุลอิสลาม วัลมุสลีมีน ซัยยิด สุไลมาน ฮูซัยนี

 ภายใต้บริบทที่ว่า

فزت ورب الکعبة

“วันนี้ ข้าประสบความสำเร็จแล้ว โอ้พระผู้อภิบาลแห่งกะอบะฮฺ”

 

อิมามอะลี(อ)ประเสริฐกว่านบีอิบรอฮีม(อ)

 

หลังจากนั้น ‘เศาะศออะฮ์ บิน ซูฮาน’ ก็ได้ถามต่อ...

ระหว่างท่านกับนบีอิบรอฮีม(อ)ใครประเสริฐกว่ากัน ?

อิมามอะลี(อ)ได้ตอบกับ ‘เศาะศออะฮ์’ ว่า...

“แน่นอนฉันย่อมประเสริฐกว่าอิบรอฮีม (อ)”

‘เศาะศออะฮ์ บิน ซูฮาน’ ถาม “ท่านประเสริฐกว่าตรงไหน?”

ท่านอิมามอะลี(อ)ได้ตอบว่า...

“ฉันมีความยากีน มีความศรัทธา มีอีหม่านที่สมบูรณ์ มีความเข้าใจทุกความเร้นลับ โดยไม่ต้องขอข้อพิสูจน์ ไม่ต้องการสิ่งยืนยันใดๆจากพระองค์อัลลอฮ (ซบ)”

แต่กลับกัน ท่านนบีอิบรอฮีม(อ) เกิดความสงสัยว่า อัลลอฮ(ซบ.)นั้น ทรงฟื้นชีวิตผู้ที่ตายแล้วขึ้นมาอย่างไร เช่นไร?”

ท่านอิมามอะลี(อ)ได้ยกโองการหนึ่งในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานใจความว่า...

 

وَإِذْ قَالَ إِبْرَاهِيمُ رَبِّ أَرِنِي كَيْفَ تُحْيِي الْمَوْتَىٰ ۖ قَالَ أَوَلَمْ تُؤْمِنْ ۖ قَالَ بَلَىٰ وَلَٰكِنْ لِيَطْمَئِنَّ قَلْبِي ۖ قَالَ فَخُذْ أَرْبَعَةً مِنَ الطَّيْرِ فَصُرْهُنَّ إِلَيْكَ ثُمَّ اجْعَلْ عَلَىٰ كُلِّ جَبَلٍ مِنْهُنَّ جُزْءًا ثُمَّ ادْعُهُنَّ يَأْتِينَكَ سَعْيًا ۚ وَاعْلَمْ أَنَّ اللَّهَ عَزِيزٌ حَكِيمٌ

 

 

(ซูเราะฮฺ อัล บากอเราะฮฺ โองการที่ 260 )

 

 

“وَإِذْ قَالَ إِبْرَاهِيمُ رَبِّ أَرِنِي كَيْفَ تُحْيِـي الْمَوْتَى

 

 

“ และจงรำลึกถึงขณะที่อิบรอฮีม กล่าวว่า โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน โปรดทรงให้ฉันเห็นด้วยเถิดว่า พระองค์จะทรงให้บรรดาผู้ที่ตายแล้วฟื้นชีพขึ้นอย่างไร”

 


قَالَ أَوَلَمْ تُؤْمِن

 

 

“อัลลอฮ์ ถามกลับว่าเจ้ามิเชื่อดอกหรือ?? ไม่ศรัทธาดอกหรือ?”

 


قَالَ بَلَى وَلَـكِن لِّيَطْمَئِنَّ قَلْبِي

 

 

“อิบรอฮีมกล่าวว่า ไม่ !!! หามิได้แต่ทว่าเพื่อสร้างความมั่นใจ เพื่อหัวใจของฉันจะได้สงบ”

 

จะเห็นได้ว่า อิมามอะลี(อ) เป็นผู้ที่มีความยากีนและอีหม่านสูงกว่าบรรดาศาสดา

นี่คือ หัวหน้าในมัซฮับที่เรานับถือ ท่านมีความซอบัรที่สูงกว่าบรรดาศาสดา

ดังนั้น คนที่เป็นชีอะห์ของอะลี อิบนิ อะบีฏอลิบ ก็คือ คนที่เดินบนแนวทางอันนี้ เขาจะต้องมีความซอบัรที่สูง ความยากีนที่สูง เขาจะต้องมีความเข้าใจศาสนาที่ลึกซึ้ง ถึงจะเรียกเขาว่าเป็นชีอะห์ของอะลี อิบนิ อะบีฏอลิบได้ปราศจากความสูงส่งเหล่านี้ไม่มีใครสามารถที่จะรักษาศาสนาของตัวเองให้อยู่รอดและดำรงอยู่ได้

 

การทดสอบมนุษย์นั้น หนักหน่วงเป็นอย่างมาก มีในทุกยุคทุกสมัย ในขณะที่นบีอิบรอฮีม(อ)ขอดูเช่นนี้ แต่ท่านอิมามอะลี(อ) ได้บอกกับ ‘เศาะศออะฮ์’ ว่า แต่สำหรับฉันนั้น...


لو كشف الغطاء  “ เลากาชิฟัลฆิฏออฺ”

 

“ม่านทั้งหมด ถ้าอัลลอฮ (ซบ)ทรงเปิด”

 

ما ازددت يقينا

 

“หากม่านทั้งหมดถูกเปิดออก อีหม่านความศรัทธา ความยากีนของฉันก็จะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว เพราะมันสมบรูณ์ตั้งแต่เดิม มันไปถึงความสมบรูณ์แล้ว”

 

ความรู้ ความศรัทธา ความยากีน ความเชื่อมั่น ความรู้แจ้งเห็นจริงมันสมบูรณ์มาแต่เดิม จะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว มันไปถึงความสมบูรณ์แล้ว

นี่คือความรู้ ความสูงส่งในแนวทางอันนี้ ที่ผู้ใดบอกกับตนเองว่า เป็นชีอะฮ์ อะลี อิบนิ อะบีฏอลิบ จะต้องทำความเข้าใจ

ศาสนานี้นั้นต้องนับถือ ด้วยกับความรู้แจ้งเห็นจริงและความชัดแจ้ง

ศาสนานี้นั้นต้องนับถือ ด้วยกับความสว่างไสวทางจิตวิญญาณอย่างแท้จริง ในระดับขั้นความรู้ของตัวเอง ในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง

แน่นอน ! ระดับขั้นอีหม่านความรู้ของมนุษย์นั้นมีไม่เท่ากัน แต่จะเอาเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับระดับความรู้ของตัวเอง เอาเฉพาะที่เป็นปัญหาของตัวเอง เพื่อหาข้อสรุปว่า การนับถือศาสนาของเรานั้น ไปถึงขั้นรู้แจ้งเห็นจริงแล้วหรือยัง?

ถ้ายัง ? เรายังอ้างตัวไม่ได้ ว่า เป็นชีอะห์ของอะลี อิบนิ อะบีฏอลิบ

 

มีเรื่องมากมาย ถ้ายังมีข้อสงสัยในสิ่งที่อัลลอฮ์(ซบ)ทำกับพวกเขาอยู่ ทำไมอัลลอฮ์(ซบ)ทำอย่างนี้กับเรา ทำไมอัลลอฮ์(ซบ)ให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับเรา แสดงว่าความเข้าใจในศาสนาของเรานั้นยังไปไม่ถึงขั้น

 

เรากำลังพูดถึงระดับขั้นของแต่ละคน ซึ่งในแต่ละคนจะพบปัญหาที่แตกต่างกัน ดังนั้น หน้าที่ของทุกคนในการนับถือศาสนานั้นจะต้องทำหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องกับตัวเองนั้นชัดแจ้งให้ได้ เขาจึงควรจะถูกเรียกได้ว่าเป็น “ชีอะฮฺของอะลี อิบนิ อะบีฏอลิบ” เขาจึงควรถูกเรียกได้ว่า “เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการนับถือศาสนา”

 

ถ้าเราให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้ เราจะรู้ว่าชีวิตของเรานั้นไม่มีเวลาให้กับเรื่องที่ไร้สาระ

ชีวิตของเรา จะต้องหาคำตอบในเรื่องราวของศาสนา

ชีวิตของเรานั้นจะต้องเคลียร์ดวงใจของเรา ให้สว่างไสวในการนับถือศาสนาและไม่มีเวลาไปยุ่งกับสิ่งที่ไร้สาระ

ซึ่งในบางครั้ง สิ่งไร้สาระนั้น เป็นเพราะความไม่เข้าใจ จึงทำให้เรามองว่าเป็นสาระของชีวิต เป็นปัญหาไปหมดทุกเรื่อง เรื่องที่ไม่เป็นปัญหาเราก็ทำให้เป็นปัญหา ผลของมันก็ไม่มีอะไร แต่อย่าลืมว่าสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้ามาในชีวิตเหล่านี้ มันจะดึงและรั้งเรา ไม่ให้ใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าที่เฝ้ารอให้เราใกล้ชิดกับพระองค์

 

อัลลอฮ์(ซบ)ไม่ได้สร้าง ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ) ท่านอิมามอะลี(อ) มาใกล้ชิดกับพระองค์เท่านั้น แต่อัลลอฮ(ซบ)สร้างมนุษย์ทุกคนให้มาใกล้ชิดกับพระองค์

“พระองค์รอ...รอ...ที่จะต้อนรับ รอ...ที่จะตอบแทน”

ปราศจากการรู้แจ้งเห็นจริงในศาสนา มนุษย์ไม่สามารถไปถึงตำแหน่งนี้ได้

ดังนั้น ในสถานะภาพของอิมามอะลี(อ)นั้น สูงส่งเป็นอย่างมาก และสถานะภาพนี้ แม้นแต่บรรดาศาสดาจำนวนหนึ่งก็ไปไม่ถึง

นี่คือ ความยิ่งใหญ่

 

นี่คือ มะกอมที่ยิ่งใหญ่ ที่เราเข้าใจว่า ทำไมอะฮ์ลุลบัยตฺ(อ) จึงถูกเลือกให้เป็นอิมามในยุคที่สิ้นสุดระบบนบีและระบบนบูวัต และเราจะได้รู้อีกเช่นกันว่า เรานั้นเป็นประชาชาติที่อัลลอฮ์(ซบ) รักมากสักขนาดไหน ??? ที่เราเกิดมาภายใต้การชี้นำอันนี้ ภายใต้การฮิดายะฮฺของอะฮ์ลุลบัยตฺ(อ) คือ การฮิดายะฮฺที่อัลลอฮ์(ซบ)ทรงเลือกให้กับมนุษย์ยุคนี้ (เลือกให้มนุษย์ยุคสุดท้าย)

 

ดังนั้น ความรู้ทางศาสนาจะต้องเสริมเพิ่มเติมเสมอเพราะ ปราศจากความรู้ มนุษย์ไม่สามารถจะเข้าใกล้ชิดกับอัลลอฮ์(ซบ)ได้

 

 

ขอขอบคุณเพจห้องมหา'ลัย คมความคิด

(บทบรรยายพิเศษ)

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม