ความจริงที่มัสยิดนะบะวี ตอนที่ 2

ความจริงที่มัสยิดนะบะวี ตอนที่ 2

 

สิ่งที่เป็นยอดปรารถนาของมุสลิมทุกคนที่เดินทางไปเยือนมัสยิดนะบะวีย์ ณ นครมะดีนะฮ์ ก็คือ การได้ไปยืนอยู่ต่อหน้าสถานที่ฝังศพของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เพื่อกล่าวสลามต่อท่าน ซอลาวาตให้ท่าน รำพึงรำพันถึงความรักความคิดถึง ความปรารถนาที่จะได้พบท่าน และวิงวอนขอการชะฟาอะฮ์จากท่าน (ซ็อลฯ)

 

        เมื่อเราไปยืนอยู่หน้าสถานที่ฝังศพของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และแหงนดูบริเวณรอบ ๆ จะพบแผ่นป้ายสีเขียวกรอบสีทอง บางแผ่นมีประโยคภาษาอาหรับสีทอง บางแผ่นไม่มี เป็นกรอบสีทอง พื้นสีเขียวเพียงเท่านั้น เราอาจสงสัยว่า ข้อความนั้นคืออะไร? แล้วทำไมบางแผ่นไม่มีข้อความ!

 

        กรอบสี่เหลี่ยมนี้คือบทกลอน บุรดะฮ์สรรเสริญท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ที่ประพันธ์โดยอิมามบูสิรี (ค.ศ.1211-1294) ซึ่งเป็นนักวิชาการสายซูฟีชาวอียิปต์แห่งเมืองอเล็กซานเดรีย เนื่องจากท่านป่วยหนักและได้บนบานไว้ว่า ถ้าหายจากอาการป่วยท่านจะแต่งกลอนสรรเสริญท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เมื่อท่านหายท่านจึงแต่งบนกลอนบุรดะฮ์นี้ขึ้นมา เนื่องจากท่านเป็นกวีที่มีชื่อเสียง บทกลอนของท่านมีความไพเราะมาก มุสลิมจึงนิยมนำมาอ่านกันในช่วงเมาลิดนบี ซึ่งบ้านเราก็นิยมอ่านเมื่อเราจัดงานเมาลิด

 

         ผู้ปกครองอาณาจักรอุศมานียะฮ์ จึงนำเอาบทกลอนบุรดะฮ์นี้มาจำหลักไว้รอบสถานที่ฝังศพของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เพื่อเป็นการสรรเสริญสดุดีต่อท่าน

 

        เมื่อราชวงศ์อัลสะอู๊ด ตั้งประเทศซาอุดิอาระเบีย จึงได้บูรณะสถานที่ฝังศพของท่าน เมื่ออุลามาอ์วะฮาบีย์ประจำราชสำนักมาเห็นเข้า และบอกว่าบทกลอนบางบทสรรเสริญท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มากเกินไป เข้าข่ายชิริก จึงสั่งให้ลบออกบางบท เราจึงได้เห็นกรอบสีเขียวที่มีบทกลอนบุรดะฮ์บ้าง และที่ถูกลบออกไปบ้าง แบบกระพร่องกระแพร่ง เพราะการฟัตวาของอุลามาอ์วะฮาบีย์นี่เอง

 

        แม้แต่การแสดงความรักต่อบุคคลที่นำแสงสว่างทางนำจากพระผู้เป็นเจ้ามาสู่โลกนี้ และเป็นผู้ที่พระองค์ทรงมอบสิทธิในการชะฟาอะฮ์ให้กับบ่าวของพระองค์ พวกเขาก็ยังห้ามไม่ให้กระทำ

เมียะฮ์รอบตะฮัจญุด

(กรุณาดูภาพประกอบ)

 

        จากสิ่งที่เราเรียนรู้จะพบว่า ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มีความรักในการละหมาดมากที่สุด นอกจากละหมาดฟัรดูแล้ว ท่านยังทำละหมาดในยามค่ำคืนมากที่สุด จนมีวจนะรายงานว่าท่านละหมาดเกือบทั้งคืน โดยยืนละหมาดจนเท้าบวม น้ำตาที่หลั่งออกมาด้วยความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ (ซบ.) จนเคราของท่านเปียกชุ่ม

 

        เคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่า ท่านศาสดาของเรายืนละหมาดยามค่ำคืนบริเวณใดในมัสยิดนะบะวีย์?

 

        เมื่ออยู่ในมัสยิดนะบะวีย์ ด้านทิศเหนือของสถานที่ฝังศพของท่าน จะเห็นแผงกระเบื้องเซรามิคที่มีลวดลายวงกลมสีฟ้าพื้นขาวสูงจรดเพดานตั้งอยู่ โดยด้านล่างเป็นชั้นอัลกุรอานยาวตลอดแนว

         (ตำแหน่งในกรอบสีแดง ภาพที่ 1 และตามภาพที่ 2 และภาพที่ 3)

 

         บริเวณนี้มีชื่อเรียกว่า เมียะฮ์หรอบตะฮัจญุดซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังห้องที่เคยเป็นบ้านของท่านหญิงฟาติมะฮ์บุตรีของท่าน

         ส่วนตำแหน่งในกรอบสีน้ำเงินของภาพที่ 1 คือสถานที่ที่ท่านหญิงฟาติมะฮ์ละหมาด จึงมีชื่อเรียกว่า เมียะฮ์หรอบฟาติมะฮ์” (ลักษณะจริงตามภาพที่ 4)

         เมียะฮ์หรอบตะฮัจญุดในสมัยการปกครองของอาณาจักรอุศมานียะฮ์ ยังสามารถเห็นได้ชัดเจน และมีโค้งเมียะฮ์หรอบตั้งไว้ (ตามภาพที่ 5)

         ภาพที่ 6 คือการเปรียบเทียบของเดิมกับการปิดกั้นในยุคแรกของราชวงศ์อัลสะอู๊ด

         ภาพที่ 7 คือสภาพของเมียะฮ์หรอบตะฮัจญุจในปัจจุบัน คือถูกปิดอย่างมิดชิดและมีชั้นวางอัลกุรอานยาวตลอดแนว จนไม่สามารถมองเห็นว่านั่นคือเมียะฮ์หรอบ

 

         สภาพดังกล่าวผู้ที่ไม่มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์ จะไม่รู้ว่าบริเวณนี้คือสถานที่หนึ่งที่มีสิริมงคลมากที่สุดแห่งหนึ่งในมัสยิดนะบะวีย์ และอยู่ในบริเวณ เราเฎาะฮ์ซึ่งคือส่วนหนึ่งของสวนสวรรค์ ทั้งยังทำผนังกระเบื้องเซรามิคปิดไว้ พร้อมกับนำวางชั้นหนังสือมาวางตลอดแนว เพื่อไม่ให้เห็นสภาพของเมียะฮ์หรอบตะฮัจญุดที่แท้จริง

 

         อาจจะมีคำถามว่า เพราะเหตุใดจึงกล่าวว่าบริเวณเมียะฮ์หรอบตะฮัจญุดเป็นสถานที่ที่มีสิริมงคลมากที่สุดแห่งหนึ่งในมัสยิดนะบะวีย์?

 

         หากสถานที่หนึ่งซึ่งมนุษย์ที่ดีที่สุดในโลก ยืนละหมาดจนเท้าบวม ขอดุอาอ์ หลั่งน้ำตาร่ำไห้ด้วยความยำเกรงต่ออัลลอฮ์เกือบตลอดคืน และทุกคืน เป็นเวลานับสิบปี แล้วสถานที่นี้จะยังไม่มีความพิเศษเหนือสถานที่อื่นอีกหรือ? และสถานที่ที่กล่าวถึงนี้ก็คือเมียะฮ์หรอบตะฮัจญุดนั่นเอง!

 

        แต่พวกเขากลับปิดบังสถานที่แห่งนี้ไปจากมวลมุสลิมทั้งโลก โดยอ้างว่าการให้ความสำคัญหรือขอดุอาอ์จากสถานที่หนึ่งสถานที่ใดมากเกินไป เป็นการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ หรือกระทำชิริกนั่นเอง

 

        นี่คือตรรกกะของราชวงศ์อัลสะอู๊ดและอุลามาอ์สำนักคิดวะฮาบีประจำราชสำนัก ที่มีปัญหากับสำนักคิดอื่น ๆ ของอิสลามทั้งหมด

 

        ปัญหาอยู่ที่ว่า ตรรกะนี้มีความถูกต้องตามศาสนบัญญัติหรือไม่? และมวลมุสลิมทั้งโลกเขายอมรับหรือไม่? ...ลองช่วยกันหาคำตอบดูครับ

 

เรียบเรียง : Fareed Denyingyoch

ขอขอบคุณเว็บไซต์ islamicstudiesth