เตาฮีด (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า) ตอนที่ 7

บทเรียนอูศูลุดดีน (รากฐานของศาสนา)

 

เรื่องเตาฮีด (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า) ตอนที่ 7

 

เมื่อมนุษย์ยอมรับว่า จะต้องแสวงหาศาสนาด้วยกับความเป็นมนุษย์ยอมรับว่า จะต้องแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า แต่ก็ถือว่า ยังไม่เพียงพอต้องอาศัยวิธีการที่ถูกต้องด้วย ต้องอาศัยความรู้ที่ถูกต้องในการไปสู่พระผู้เป็นเจ้าด้วย ซึ่งเราจะเห็นได้ในความเป็นจริงแล้ว มนุษย์กำลังแสวงหาพระผู้เป็นเจ้าอยู่ มนุษย์กำลังแสวงหาสัจธรรมในชีวิตอยู่ พบว่ามีคนจำนวนหนึ่ง ไปเป็นฤษีชีไพร มีคนจำนวนหนึ่งทรมานตัวเอง เป็นวันเป็นคืนเพื่อค้นหาสัจธรรม มีคนไม่กินไม่ดื่มเพื่อแสวงหาสัจธรรม มีคนถือสันโดษ สิ่งเหล่านี้ยืนยันว่า มนุษย์กำลังแสวงหาสัจธรรม แต่ประเด็นที่สำคัญคือแล้วอะไรคือวิธีการที่ถูกต้องในการไปสู่สัจธรรม ในการไปสู่การรู้จักพระผู้เป็นเจ้า

 

การไปสู่สัจธรรมหรือพระผู้เป็นเจ้านั้นก็เหมือนกับการแสวงหาความรู้ ต่างกันที่ว่าเรื่องนี้เป็นความรู้ทางศาสนา ไม่ได้เป็นความรู้แบบทั่วไป จำเป็นที่จะต้องรู้จักพื้นฐานที่นำไปสู่ความรู้ก่อน จะต้องรู้ว่าเรื่องการรู้จักพระผู้เป็นเจ้าจะต้องใช้ความรู้แบบไหน วิธีไหน ที่สามารถไปถึงเป้าหมายได้

 

 

ความรู้ในโลกนี้แบ่งออกเป็นสี่ประเภทด้วยกัน

 

1.ตะญัรรุบี : ความรู้ที่เกิดจากการสร้างสมประสบการณ์ มีอยู่มากในวิชาวิทยาศาสตร์ เช่น โธมัท อันวาเอดิสัน ทำการทดลองเป็นพันๆครั้งกว่าจะได้ความรู้ในการผลิตหลอดไฟ ต้องทดลองก่อนจึงจะได้ความรู้มา การสร้างพลังงานนิวเคลียร์ก็เช่นเดียวกัน หรือการผลิตยารักษาโรคต้องมีการทดลองต้องเอาเคมีนั้นมาผสมเคมีนี้ ลองผิดลองถูกมาก่อน กว่าจะได้ยาที่ถูกต้องมา ความรู้แบบนี้มีอยู่มากมาย แต่ส่วนมากจะเป็นความรู้ทางด้านวัตถุ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี แพทย์ ซึ่งเป็นความรู้ที่ต้องใช้สัมผัสทั้งห้ารับรู้

 

2.อักลี : ความรู้ที่มาจากสติปัญญาโดยตรงอยู่ในหมวดของวิชา ปรัชญา ตรรกะ คณิตศาสตร์ เช่นการพิสูจน์ว่าโลกนี้มีผู้สร้าง ตัวอย่างง่ายๆ ตึกราบ้านช่องที่ปรากฏให้เห็น มนุษย์สามารถบอกได้ไหมว่ามันเกิดขึ้นมาเอง ไม่ใช่เลยต้องมีวิศวกร ต้องมีช่างไม้ มีช่างก่อสร้าง มีอุปกรณ์ทุกสิ่งทุกอย่าง จึงสามารถทำให้สิ่งก่อสร้างเกิดขึ้นมาได้ สิ่งก่อสร้างเหล่านั้นจึงเกิดขึ้นมาอย่างมีระบบระเบียบเรียบร้อยสวยงาม โลกนี้ก็เช่นเดียวกันหากมนุษย์พิจารณาไปยังโลกและจักรวาล เราจะพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมีความเป็นระบบระเบียบมีความสอดคล้องสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เป็นระบบอันเดียวกัน ดวงอาทิตย์มี ดวงจันทร์ และดวงดาวต่างๆ ซึ่งสิ่งทั้งหมดมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน มีความสัมพันธ์กับโลก ดวงอาทิตย์ให้ประโยชน์กับโลกนี้อย่างมากมาย ระยะห่างระหว่าง โลกกับดวงอาทิตย์ถูกวางอยู่ในระดับที่พอดีไม่ใกล้และไม่ไกลเกิน ถ้าดวงอาทิตย์ใกล้โลกกว่านี้แค่นิดเดียวก็จะทำให้โลกนี้กลายเป็นจุล หรือถ้าไกลกว่าอีกนิดจะทำให้โลกนี้กลายเป็นน้ำแข้ง การมีของดวงจันทร์ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลง สรรพสิ่งต่างๆมีความขับเคลื่อนไปในระบบเดียวกัน มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันถึงขั้นทีมีคำพูดหนึ่งว่า”เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” ชี้ให้เห็นว่ามันได้เกิดขึ้นมาจากอำนาจเดียวกันมาจากแหล่งเดียว ผู้สร้างต้องมีแค่ผู้เดียว เพราะถ้ามาจากอำนาจสองขั้ว ถ้ามาจากผู้สร้างหลายองค์แล้วนั้นมันจะเกิดความขัดแย้งอย่างมากมาย

 

ตัวอย่างจากอัลกุรอาน ซูเราะฮฺ ฆอชียะฮ์ โองการที่ 17

أَ فَلا یَنْظُرُونَ إِلَى الْابِلِ کَیْفَ خُلِقَتْ

พวกเจ้าไม่พิจารณาไปยังอูฐดอกหรือว่ามันถูกสร้างมาอย่างไร

 

เมื่อมนุษย์ได้ใคร่ครวญไปยังการมีอยู่ของอูฐ จะพบว่าอูฐถูกสร้างมาให้สามารอาศัยอยู่ในทะเลทรายได้อย่างง่ายดาย อูฐมีตาสองชั้น เนื่องจากในทะเลทรายจะเกิดพายุทะเลทรายเมื่ออูฐปิดตาชั้นแรกมันก็ยังสามารถมองเห็นได้โดยที่ทรายนั้นไม่สามารถเข้าตามันได้ อูฐมีที่เก็บน้ำในท้องได้ถึงประมาณ 20-30 ลิตร เพื่อสามารถใช้ในการเดินทางไกลในทะเลทรายที่ไม่มีน้ำได้ อูฐมีเท้าที่ตรงกลางจะเป็นลักษณะที่ลุ่มลงไป เพื่อสามารถที่จะเดินในทะเลทรายได้ ถ้าเป็นกลีบนั้นไม่สามารเดินในทะเลทรายได้ เพราะเท้าจมลงทราย เมื่อมนุษย์ใคร่ครวญดูพบว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องที่สอดคล้องเหมาะสมระหว่างอูฐและทะเลทราย เป็นไปได้อย่างไรที่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ สติปัญญาจะบอกมนุษย์ว่ามันเกิดมาจากผู้สร้างที่ทรงความรู้ ผู้สร้างทรงรอบรู้ ที่สามรถจัดวางทุกสรรพสิ่งได้อย่างเหมาะสม และในสรรพสิ่งอื่นๆก็เช่นกัน เมื่อเราเข้าไปศึกษาจะพบถึงความสัมพันธ์กัน ความถูกต้องเหมาะสมในทุกๆสิ่ง

 

ขอขอบคุณสถาบันศึกษาศาสนาอัลมะฮ์ดี