เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

เตาฮีด (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า) ตอนที่ 9

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

บทเรียนอูศูลุดดีน (รากฐานของศาสนา)

เรื่องเตาฮีด (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า) ตอนที่ 9

เมื่อมนุษย์รู้จักความรู้ทั้งสี่ประเภทแล้ว คือ ความรู้จากประสบการณ์ ความรู้จากสติปัญญา ความรู้จากการยอมจำนนและความรู้จากการประจักษ์แจ้งเห็นจริง ถามว่าความรู้อันไหนบ้างที่สามารถตอบโจทย์ในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า การพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าใช้ความรู้จากวิธีการใดได้บ้าง สามารถใช้จากความรู้ทั้งสี่ประเภทได้หรือไม่

 

เรื่องแรกในการพิสูจน์ศาสนานั้นต้องพิสูจน์ก่อนว่าพระผู้เป็นเจ้ามีหรือไม่มี เพราะนิยามของศาสนาคือ การเชื่อว่ามีพระเจ้า และเชื่อว่ามีคำสั่งมาจากพระเจ้า จึงเรียกว่าศาสนาดั้งนั้นต้องพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าก่อน คำถามคือ ความรู้ประเภทไหนที่สามารถพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าได้ เพราะเรื่องการพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้านั้นมันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติเมื่อเป็นเช่นนี้ ความรู้ที่ได้มาจากประสบการณ์ (ตะญัรรุบี) ก็ไม่สามรถนำมาใช้ได้ เพราะมันสามารถใช้พิสูจน์สิ่งที่สามารถสัมผัสได้ด้วยสัมผัสทั้งห้าเท่านั้น

ขอบเขตของวามรู้นี้มีจำกัด จะให้ไปพิสูจน์เรื่องเหนือธรรมชาติไม่ได้ ดั้งนั้นความรู้แบบ ตะญัรรุบี(ความรู้จากประสบการณ์)จึงไม่ตอบโจทย์ เรามาดูว่าความรู้ต่อไปจะสามารถพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าได้หรือไม่ ความรู้ที่มาจากการยอมจำนน (ตะอับบุดี) ความรู้นี้นั้นจะมีได้อย่างสมบรูณ์นั้นจะต้องผ่านขั้นตอนอื่นๆมาก่อน มนุษย์จะเชื่อในเรื่องพระผู้เป็นเจ้า มนุษย์จะเชื่อในเรื่องวันกียามัต มนุษย์จะเชื่อในเรื่องนรกสวรรค์ ได้นั้นมนุษย์จะต้องรู้ก่อนว่าผู้ที่มาบอกนั้นเป็นผู้สัจจริง มี่ความน่าเชื่อถือ จะต้องศรัทธาในตัวของผู้ที่มาบอกหรือของศาสดาก่อน หรือการที่มนุษย์จะศรัทธาความรู้ต่างๆในอัลกุรอานได้นั้น เราจะยอมรับอัลกุรอานก่อน ดังนั้นความรู้นี้ก็ยังไม่ตอบโจทย์ เบื้องต้นความรู้นี้ไม่สามารถพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าได้ แต่จะเป็นความรู้อันดับสอง ที่นี้เราลองมาดูความรู้อันดับต่อไป คือ ความรู้ที่ได้มาจาการประจักษ์แจ้งเห็นจริง(ชูฮูดี)ว่าสามรถพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าได้หรือไม่ เบื้องต้นก็เช่นเดียวกันไม่สามารถใช้ได้ เพราะก่อนที่มนุษย์จะเห็นพระผู้เป็นเจ้า เห็นมาลาอิกัต เห็นนรกเห็นสวรรค์ด้วยตาแห่งจิตวิญญาณได้นั้น ต้องผ่านการขัดเกลา การพัฒนาต่างๆอย่างมากมาย ต้องชำระหัวใจให้สะอาดบริสุทธิ์จนกว่าจะไปถึงตำแหน่งแห่งชูฮูดี (ประจักษ์แจ้งเห็นจริง) ซึ่งความรู้ที่ใช้ในการขัดเกลานั้นมาจากพระเจ้ามาจากศาสดา หมายความว่าเขาจะต้องศรัทธาในพระเจ้ามาก่อนแล้ว ศรัทธาในศาสดามาก่อนแล้ว แต่ในประเด็นหัวข้ออันนี้เรากำลังจะพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า ความรู้อันนี้ก็ยังไม่ตอบโจทย์ สุดท้ายเหลือความรู้อยู่ประเภทเดียว คือ ความรู้ที่ได้มาจากสติปัญญาโดยตรง (อักลี)เบื้องต้นด้วยสติปัญญาทำให้มนุษย์รู้จักพระผู้เป็นเจ้า ถ้าไม่ใช้สติปัญญามนุษย์ก็ไม่สามารถพบพระผู้เป็นเจ้าได้ เช่นนักวิทยาศาสตร์เบื้องต้นแค่รู้ว่าภูเขาไฟระเบิดมาจากความร้อน ความร้อนที่สะสมอยู่ในโลก แต่เมื่อใช้สติปัญญาคิดดูว่าทำไมภูเขาไฟต้องระเบิด เพราะว่าถ้ามันไม่ระเบิด และเก็บความร้อนเอาไว้นานๆ วันหนึ่งโลกก็จะระเบิดแทน ดั้งนั้นเพื่อระบายความร้อนของโลก เพื่อให้โลกเย็นลง เพื่อให้โลกดำรงอยู่ต่อ จำเป็นต้องมีภูเขาไฟระเบิด เนื่องจากโลกได้โคจรรอบดวงอาทิตย์อยู่ตลอดเวลามันได้เก็บสะสมความร้อนเข้าไปทุกวัน พอมากๆเข้าการะเบิดของภูเขาไฟคือการระบายความร้อนนั้นเอง เมื่อมาถึงตรงนี้มนุษย์พบว่าปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่มีความสอดคล้องกันสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ไม่มีมนุษย์ผู้มีสติปัญญาคนใดจะกล่าวได้ว่าระบบระเบียบความสัมพันธ์อันนี้เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญโดยที่ไม่ผู้สร้าง และจะต้องเป็นผู้สร้างที่มีความรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน

 

ความรู้ทางสติปัญญาเท่านั้นที่จะนำไปสู่การพิสูจน์พระผู้เป็นเจ้า เพียงแค่การใช้สติปัญญาเบื้องต้น มีปรัชญาของตัวเองในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า หรืออีกตัวอย่างหนึ่งปรัชญาของหญิงแก่ ที่พิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า “วันหนึ่งท่านศาสดาแห่งอิสลาม ได้เดินผ่านหญิงแก่ชราที่ปั้นฝ้ายคนหนึ่ง ท่านศาสดาได้ถามว่า โอ้ หญิงผู้ปั้นฝ้าย ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามีพระเจ้า หญิงชราคนหนึ่งที่กำลังปั้นฝ้ายอยู่ก็เอามือออกจากที่ปั้นฝ้าย ที่ปั้นฝ้ายก็เริ่มชะลอลงจนกระทั้งหยุดหมุน หญิงชราก็ได้กล่าวขึ้นว่าโอ้ท่านศาสดาท่านไม่เห็นดอกหรือ เมื่อฉันหยุดหมุนที่ปั้นฝ้ายก็หยุดด้วย มันไม่สามารถหมุนด้วยตัวเองได้ แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่โลกนี้กำลังโคจรอยู่โดยที่ไม่มีผู้ที่ทำให้มันโคจร โดยไม่มีผู้ควบคลุมมันอยู่ นี้คือตัวอย่างของการใช้สติปัญญาเบื้องต้น ท่านศาสดาจึงกล่าวกับบรรดาสาวกที่ติดตามว่า"เป็นหน้าที่ของพวกเจ้าทุกคนที่จะต้องนับถือศาสนาเหมือนกับหญิงชราคนนี้"

 

 

ขอขอบคุณสถาบันศึกษาศาสนาอัลมะฮ์ดี

 

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม